กลับมาดูที่ตัวอย่าง เลขาฯ ชงกาแฟอีกครั้ง หากเราลองนึกภาพดู สมมุติว่า บริษัท ที่คุณเป็นผู้บริหารอยู่ เป็นบริษัทก่อสร้างก็แล้วกัน และ เลขาฯ คนนั้น เกิดมีภาพที่อยากเห็น เป็นร้านกาแฟจริงๆ แต่คุณไม่เคยให้เขาได้มีโอกาสตรวจสอบภาพที่อยากเห็นเลย คุณให้เติบโตในการทํางานไปเรื่อยๆ ธุรกิจคุณขยายตัวไปได้ดี เลขาฯคุณ ก็พัฒนาศักยภาพได้ดี จนคุณให้เขาเติบโตเป็นผู้จัดการ ฝ่ายการตลาด คุณคิดว่าองค์กรของคุณเริ่มลงตัว และดํารงอยู่ได้ด้วยเจตนาตน คุณจึงเกษียณจากการทํางาน
คุณก็คงคิดว่า ทุกอย่างลงตัว เตรียมจะพักผ่อน แต่คุณกลับไม่รู้ตัวว่า ผู้จัดการฝ่ายการตลาดของคุณ มีภาพที่อยากเห็นอยู่ทุกวันๆ เป็นร้านกาแฟ ซึ่งตัวเขาเองก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำ แต่ด้วยเหตุนี้ ทิศทางขององค์กรคุณ เริ่มหันเหไปทางการขายกาแฟมากขึ้น ซึ่งไม่ได้อยู่ในภาพที่คุณอยากเห็นตอนเริ่มต้นองค์กรแน่ๆ
สุดท้าย คุณยังไม่เข้าใจ ว่าเหตุเกิดเพราะอะไร แต่ทนดูไม่ได้ คุณก็ต้องกลับมาแก้ไขปัญหาองค์กรต่อ แต่ถ้าเข้ามาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าผ่านไป แต่ไม่รู้ว่า เหตุที่ทําให้เจตนาเพี้ยนนี้ เพราะอะไร สักพัก เจตนาก็คงเพี้ยนไปในแนวทางกาแฟเหมือนเดิมอีกเมื่อเจตนาขององค์กรเพี้ยนไปจากเดิม การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมขององค์กร ก็ยิ่งเพี้ยน
แล้วคุณก็ต้องเข้ามาแก้ไขปัญหาอีก แล้วคุณจะได้เกษียณไหม สรุปว่า องค์กรคุณ รักษาเจตนาตนได้ไหม หากคุณเลือกอีกทาง โดยการให้ เลขาฯ ของคุณ ได้มีโอกาส หาภาพที่ตนเองอยากเห็น และพร้อมที่จะสนับสนุนเขา ให้ไปยังภาพที่เขาอยากเห็น ผมเชื่อแน่ว่า เขาจะเป็นมิตรแท้ของทั้งคุณ และองค์กรของคุณ
มีสิ่งหนึ่งที่คุณเอกราชทั้งสอนผม และเขียนไว้ในหนังสือ “ความลับของคน” คือ
ผมยอมรับ ว่าผมเป็นคนที่เห็นแก่ตัวมากๆ คนหนึ่ง ดังนั้น การตัดสินใจ และเหตุผลในการตัดสินใจ ในบทความที่ผมเขียนนั้น มาจากทิศมีหัวคิดจนสุดทั้งสิ้น คุณลองย้อนกลับไปอ่านก็ได้ ทั้งหมดทั้งปวงที่ผมเขียนอธิบายมา เพราะกลัวว่าตนเองจะไม่ได้เกษียณทั้งสิ้น จึงต้องนึกภาพเสียหลายๆภาพ คิดอะไรซับซ้อนมากมายการตัดสินใจอะไรก็ตาม จะมีเหตุมาจาก 2 ทิศ ทิศมีหัวคิด ที่เห็นแต่ประโยชน์ตน และทิศมีหัวใจ ที่เป็นไปเพื่อคนอื่นบ้าง ทั้ง 2 ทิศ นั้น เมื่อเดินไปจนสุดทางแล้ว ผลของการตัดสินใจจะออกมาเหมือนกัน
ผมยกตัวอย่าง เลขาฯ อยากเป็ดร้านกาแฟด้านบนก็แล้วกันครับ
หากเราใช้ทิศ “มีหัวคิด” ก็ตองคิดเยอะ อย่างที่ผมเขียน
หากเราใช้ทิศ “มีหัวใจ” ก็แค่รู้สึกว่า อยากให้เลขาฯ ได้ไปสู่ภาพที่เขาอยากเห็น
ผมรับรองได้ ว่าการตัดสินใจสุดท้าย ออกมาเหมือนกันทุกประการ คุณลองเลือกเอาแล้วกันครับ ว่าจะตัดสินใจด้วยเหตุไหน
กลับมาที่เรื่อง การให้โอกาสทีมงานต่อนะครับ ตอนนี้ หลายๆคนที่อ่าน คงเกิดคําถามว่า อย่างนี้ ทุกคนออกเดินทางไปสู่ภาพที่อยากเห็นกันหมด แล้วใครจะทํางานอยู่ต่อหล่ะ
หากคุณคิดแบบนี้จริงๆ คุณก็ต้องรีบตรวจสอบตัวเองนะครับ เพราะหากไม่ระวัง คุณก็จะหาวิธี “ขัง” คนในองค์กรคุณ ไม่ให้ไปสู่ภาพที่เขาอยากเห็นแล้วปัญหาก็จะเกิด อย่างที่ผมยกตัวอย่างไว้ด้านบน
ต่อมา คุณลองละคําถามด้านบนไว้ก่อน และนึกภาพไปเรื่อยๆ ว่าแต่ละคนเจอภาพที่ตนอยากเห็น แล้ว
ก็ไปสู่ภาพนั้นกันเรื่อยๆ แล้วก็มีคนใหม่ ที่วนเข้ามาในองค์กรคุณเรื่อยๆ แล้วเกิดมีคนหนึ่ง แล้วเกิดมีภาพที่อยากเห็น เป็นส่วนหนึ่งของภาพที่คุณอยากเห็น หรือตรงกับที่คุณอยากเห็นพอดี แล้วคุณจะทําอย่างไรหล่ะ ก็ลองใช้วิธีเดียวกับ ที่คุณใช้กับคนอื่น ให้โอกาสเขา ไปสู่ภาพที่อยากเห็น แล้วองค์กร ที่เขาจะต้องสร้าง ก็จะหน้าตาเหมือนองค์กรคุณหน่ะสิ แล้วจะสร้างมาเป็นคู่แข่งกันหรืออย่างไร
แล้วคําถามก็เกิดขึ้นในใจว่า แล้วทําไมไม่ให้เขาดูแลองค์กรคุณต่อหล่ะ นั่นแหละครับ คําตอบ เขานั่นแหละ จะเป็นผู้บริหารที่ไม่ทําให้เจตนาองค์กรของคุณเพี้ยนไปจากที่คุณวางไว้
แต่สิ่งสําคัญที่สุด คือ คุณต้องให้โอกาสเขา ได้เป็นเจ้าขององค์กรด้วย เพราะขนาดคน อื่นยังได้เป็นเจ้าขององค์กรกัน มาตรฐานโอกาสที่คุณให้กับทุกๆคน ควรจะเท่ากัน จริงไหม
พอกลับมาดูเรื่องการเป็นเจ้าขององค์กร แล้วคุณที่เป็นผู้ก่อตั้งองค์กรหล่ะ จะทําอย่างไร ต้องโอน กรรมสิทธิ์เจ้าของทั้งหมดไปให้เขาเหรอ คําตอบคือ ไม่ใช่ คุณก็แบ่งหุ้นที่คุณมีอยู่ ให้เขาตามสมควร เพื่อให้เขาได้เป็นเจ้าขององค์กรเช่นกัน
แต่คําว่าตามสมควรนี้ควรเป็นเท่าไร ผมเอง ณ ตอนนี้ ก็ยังไม่สามารถให้คําตอบคุณได้เช่นกัน
ผมว่า หากคุณเดินมาถึงจุดนี้แล้ว อยากได้กรอบคิดเพื่อตัดสินใจ ผมแนะนําว่า คุณควร
เชิญคุณเอกราชมาเป็นพี่เลี้ยงธุรกิจ จะดีที่สุดครับ