ผมยกตัวอย่าง ตามความเข้าใจของผมนะครับ สมมุติว่า คุณเป็นผู้บริหารบริษัท อยู่บริษัทหนึ่ง แล้วคุณมีเลขาฯ หน้าห้องอยู่คนหนึ่ง คุณง่วงนอน อยากกินกาแฟ เลยให้เลขาฯหน้าห้องคุณ ไปชงกาแฟมาให้คุณ
จากเหตุการณ์นี้ ใครเป็นคนอยากกินกาแฟ คุณอยากใช่ไหม แต่คุณใช้คนอื่นไปชงกาแฟ อย่างนี้คุณ รับผิดชอบความอยากของตนไหม แล้วคุณลองนึกภาพดู ในชีวิตประจําวัน ในแต่ละวัน คุณมีพฤติกรรม ที่มีเหตุลักษณะนี้ กี่ครั้ง แล้วถ้าจะแก้ไข จนเหตุเหล่านี้หายไป คุณคิดว่า คุณจะใช้เวลากี่ปี
ถึงตอนนี้ บางคนอาจจะเกิดคําถามขึ้นมาว่า แล้วไง ทําไมผมต้องแก้ไขเหตุเหล่านี้ด้วย ผมกล้าพูดเลย
ว่า ถ้าคุณไม่แก้ไขเหตุลักษณะนี้ให้หมด คุณไม่มีวันสร้างองค์กรที่พึ่งเจตนาตน ได้เลย
ส่วนเหตุผล ว่าทําไมสร้างองค์กรที่พึ่งเจตนาตน ไม่สําเร็จนั้น คุณลองอ่านบทความนี้ต่อไปจนจบ แล้วคุณจะได้คาตอบเองครับ (แต่ถ้าใครยังเถียงต่อว่า อ้าว ก็ผมไม่ได้อยากสร้างองค์กรสําเร็จนี่ ถ้าคุณคิดอย่างนี้จริงๆ ผมแนะนําให้คุณป็ดบทความนี้แล้วไปทําสิ่งที่คุณคิดว่าควรทําดีกว่าครับ)
คุณเอกราชมักจะยกตัวอย่าง การสร้างองค์กร ก็เหมือนกับการเดินเรือ ภาพที่อยากเห็น คือ แผ่นดิน ที่เราอยากไป ผู้นําองค์กร ก็เหมือนกัปตันเรือ แล้วเหตุที่ต้องออกเรือ ไปแผ่นดินใหม่ ก็เพราะกัปตันอยากไป กัปตันอยากเห็น
คนที่เป็นกัปตัน ก็ควรต้องใส่ใจ และรับผิดชอบ เหตุทุกเหตุ ที่ทําให้เรือลํานั้นไปถึงแผ่นดินใหม่ ที่เขาอยากเห็นได้
คนที่เป็นกัปตันเรือส่วนใหญ่ เข้าใจว่า แค่หาเรือ หาบุคคลากรบนเรือให้ครบ หาแผนที่ แล้วก็ออก เดินทาง แล้วตัวเอง ก็บอกเปาหมาย ให้แผนที่แก่บุคคลากรบนเรือ พอให้แล้ว ก็นั่งกินเหล้าทุกวัน นอนรอ เมื่อไรเรือจะถึงแผ่นดินใหม
ระบบทุนนิยม มักจะทําให้ผู้เริ่มตั้งองค์กรธุรกิจ เข้าใจผิดๆแบบนี้
เข้าใจว่า ประเมินหาธุรกิจใหม่ ที่จะทําเงินได้ หาคนมาทํางาน ลงเงิน แล้วก็จบ จริงๆ ผมยืนยันว่ามันไม่ใช่ หากว่า กัปตันเรือ มีทัศนคติแบบนี้ พอออกเรือไปสักพัก บุคคลากรในเรือสักคนที่พัฒนาตนเองขึ้นมา จนพร้อมจะเป็นกัปตัน ก็คงจะยึดตําแหน่งกัปตัน แล้วก็หันหัวเรือไปสู่แผ่นดินที่ตัวเขาเองอยากไป
หรือไม่ บุคคลากรในเรือ ก็คอยๆ ลาออกไปอยู่เรือลําอื่น แผ่นดินที่กัปตันคนเดิมอยากเห็น ก็จะไม่มีทางไปถึง ถึงตอนนี้ บางคน อาจเข้าใจว่า ต้องระวังบุคคลากรในเรือ ไม่ให้พฒนาขึ้นมาเป็นกัปตัน
อย่าเข้าใจแบบนั้นเป็นอันขาดนะครับ ผมกําลังจะเขียนอธิบาย เรื่อง ทีมงานภายในองค์กร ในอีก 4‐5 ย่อหน้าถัดไปนี่แหละ ไว้รออ่านกันตรงนั้นนะครับ
ที่ผมกล้ายืนยันว่า กัปตันเรือ ต้องรับผิดชอบความอยากที่จะไปให้ถึงแผ่นดินใหม่ จนสุดทางนั้น เพราะ
ผมเอง เคยผ่านเหตุการณ์ เรือแตก บุคคลากรลาออก มาแล้ว และสาเหตุที่เรือแตกนั้น ก็เพราะกัปตัน ซึ่งคือผมเอง มัวแต่นั่งกินเหล้าไงครับ (คําว่านั่งกินเหล้านี้คือ ใช้ให้คนอื่นทํางาน ที่เป็นความอยากของเรา)
ผมยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมง่ายๆ สมมุติว่า บริษัท A มีกันอยู่ 2 คน คนหนึ่งเป็นผู้นํา อีกคนเป็นคนที่มาทํางานด้วย แล้วมีงานเข้ามา 2 งาน ผู้นํารู้อยู่แล้ว ว่างาน อันไหนหนักว่า อันไหนเบากว่า
แต่ก็เลือก ให้คนที่มาทํางานด้วย ทํางานที่หนักกว่า ตัวเองเลือกทํางานเบา คนที่มาทํางานด้วย จะรู้หรือไม่รู้ ก็แล้วแต่ ว่างานอันไหนหนัก งานอันไหนเบา แต่ก็ถูกใช้ให้ทํางานหนักไปแล้ว แล้วเหตุการณ์นี้ ก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ เป็นประจํา
เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ เลขาฯชงกาแฟ ด้านบน เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ละเอียดขึ้น แต่ก็เกิดจากเหตุเดียวกันคือ ไม่รับผิดชอบ ต่อความอยากตน ซึ่ง ถ้าผู้นําองค์กร มีเหตุแบบนี้อยู่ แต่ไม่เร่งแก้ไข องค์กรก็คงจะพัง ในไม่ช้า
ลองนึกภาพกันต่อนะครับ สมมุติว่า ผู้นําบริษัท A เป็นคนที่ประเมินโอกาสทางธุรกิจแม่น และองค์กร ก็ช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วยซ้ำ แล้วธุรกิจ ก็เกิดการขยายตัว รับบุคคลากรเพิ่ม คนที่เข้ามาทํางานด้วย คนเดิม ก็เลยมีลูกน้อง แต่พอ มีงานเข้ามาให้ทํา ตัวเอง ก็เลือกทํางานสบาย ให้ลูกน้องทํางานหนัก อย่างที่ตัวเองเคยประสบมา ตอนเริ่มตั้งองค์กร
แสดงว่า ผู้นาองค์กรนี้ ได้สร้างวัฒนธรรม “การเกี่ยงงาน” ให้กับองค์กรไปแล้ว
แล้วต่อมา หากการแข่งขันระหว่างองค์กร ในธุรกิจ ที่บริษัท A ทําอยู่ สูงขึ้น องค์กรที่มีวัฒนธรรมการเกี่ยงงาน จะไปรอดได้อย่างไรครับ
ปัญหา เรื่องการ ไม่รับผิดชอบ ต่อสิ่งที่ตนอยาก นั้น ผมจึงกล้าบอกว่า กว่าเราจะฝึกตนจนแก้เหตุนี้ได้ หมดนั้น อาจจะกินเวลากันเป็นค่อนชีวิตทีเดียว (ผมเองก็อยู่ในระหว่างการฝึกเช่นกันครับ)
ต่อมา เป็นเรื่อง ทีมงานคนอื่นๆ ในองค์กร นะครับ เราคงปฏิเสธไม่ได้ ว่าการสร้างองค์กรนั้น ต้องมีทีมงานคนอื่นๆ มาทํางานด้วยกัน แต่สิ่งที่ ผู้เริ่มตั้งองค์กรส่วนใหญ่ มองเห็นคือ มาทํางานแทนเรา แล้วรับค่าจ้าง
แค่นั้น แค่การเริ่มสร้างองค์กรธุรกิจ โดยมีทัศนคติแบบนี้ ก็ไม่มทางสร้างองค์กรธุรกิจ ที่อยู่ได้ดวยเจตนาตน ไม่ได้แล้วครับ
คุณเอกราช ย้ำผมเสมอว่า สิ่งสําคัญที่สุด ที่ต้องคํานึงถึงคือ ทีมงานทุกคน ที่เข้ามาทํางานกับเรา นั้น พวกเขาเป็น คน เหมือนเรา เมื่อเป็นคนเหมือนเรา แสดงว่า เขาเองก็ต้องมีภาพที่เขาอยากเห็น เขาเองก็ต้องมีความอยากของเขา และเขามีเวลาชีวิตจํากัด เท่าๆกับ ที่เรามี
ดังนั้น สิ่งที่สําคัญที่สุด ที่ผู้นําองค์กร ต้องย้ำกับตัวเองอยู่เสมอคือ ต้อง ให้โอกาสทีมงานทุกคน อย่าง น้้อยให้เท่ากับที่ตวเองได้รับโอกาส ทั้งจากคนอื่น และตัวเอง บางคนที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว อาจจะเริ่มงง ว่าการให้โอกาสตัวเอง คืออะไร
ก่อนจะพิจารณาเรื่อง การให้โอกาสตนเองนั้น สิ่งสําคัญที่คุณเอกราชเน้นย้ำผมเสมอ และผมเองก็อยากให้คุณระลึกอยู่เสมอ คือ ไม่ว่าเราจะทําอะไรก็ตาม ไม่ว่าสิ่งนั้น จะสําเร็จ หรือไม่สําเร็จ การที่เราได้เริ่มลง มือทําอะไรสักอย่าง แสดงว่า มีคนให้โอกาสเราอยู่ ไม่มีทางที่คุณจะได้เริ่มทําสิ่งใด โดยที่ไม่มีใครให้โอกาสคุณ
เพราะฉะนั้น การที่คุณควรจะต้องคอยมองหาอยู่เสมอ ว่าใครกําลังให้โอกาสคุณ และคุณรับผิดชอบต่อสิ่งที่คุณได้รับ มากน้อยเพียงใด หากไม่อย่างนั้น คุณกําลังสร้างวัฒนธรรม “ทรยศ เนรคุณ” ไว้ในองค์กรคุณ
กลับมาที่เรื่องให้โอกาสตนเอง ผมยกตัวอย่างก็แล้วกัน ถ้าคุณอยาก เกษียณงาน และมีรายได้ในระดับหนึ่ง โดยไม่ต้องทํางาน แล้วคุณกําลังสร้างองค์กรธุรกิจอยู่ เพื่อให้สิ่งที่คุณอยากนั้น เป็นจริง นั่นแหละ นอกเหนือจากโอกาสที่คุณได้รับจากคนอื่นๆ คุณกําลังให้โอกาสตัวเอง ในการไปสู่ สิ่งที่คุณอยาก
ผมขอกลับไปใช้ตัวอย่าง ผู้บริหารที่ใช้ เลขาฯ ชงกาแฟให้ตัวเองนะครับ บางคน อาจจะบอกว่า การที่ให้เลขาฯ ไปชงกาแฟนั้น เป็นส่วนหนึ่งของงานที่เขาต้องทําอยู่แล้ว หรือว่า ซ้ำร้าย อาจจะบอกว่า ตอนรับเข้ามาทํางาน ก็ได้เขียน ไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ว่าต้องชงกาแฟด้วย
หากคุณคิดแบบนั้นจริงๆ คุณคงต้องตรวจสอบตัวเองแล้วหล่ะ
ตอนคุณรับ เลขาฯ คุณเข้ามาทํางาน คุณได้ให้โอกาสเขาหาตัวเอง แล้วบอกคุณหรือไม่ ว่าสิ่งที่เขาอยาก ภาพที่เขาอยากเห็น คืออะไร สมมุติว่า สิ่งที่เขาอยาก คือ อยากเป็ดร้านกาแฟ แล้ว คุณก็ให้เขา ชงกาแฟให้คุณทุกวัน แล้วคุณช่วยคอมเมนต์ รสชาติให้ แล้วพร้อมจะสนับสนุนเขาไปเป็ดร้านกาแฟ เมื่อเขาพร้อม นั่นแสดงว่า คุณกําลังเริ่มให้โอกาสเขาแล้วหล่ะ
แต่ถ้าไม่ใช่ หรือคุณไม่เคยถามเขาเลย ว่าสุดท้าย ภาพทีอยากเห็น คืออะไร และก็ให้เขาทํางานตามที่คุณอยากให้ทํา คุณก็กําลังไม่รับผิดชอบต่อความอยาก ของคุณอยู่นั่นเอง
คําถามต่อมา แล้วถ้า ไม่ให้โอกาสทีมงาน เท่ากับที่เราให้โอกาสตัวเอง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับองค์กรที่เรา กําลังสร้างหล่ะ
มีต่อ Post ด้านล่างนะครับ