2. องค์กรธุรกิจ
ความเข้าใจก่อน เข้าสู่ระบบพี่เลี้ยงธุรกิจ
ตอนนั้นผมไม่เข้าใจความหมายของคําคํานี้มากนัก หากย้อนนึกไป คงเข้าใจว่า เป็นองค์กร ที่หวังผลกําไรทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น บริษัท ห้างหุ้ส่วน หรือ อะไรทํานองนั้น
ความเข้าใจหลัง เข้าสู่ระบบพี่เลี้ยงธุรกิจ
องค์กร เป็นสิ่งมีชีวิต ที่มีเจตนาในการคงอยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่ง เจตนานั้น ได้รับการสืบทอดมาจาก ตัวผู้ก่อตั้งองค์กร อายุขององค์กรนั้น ขึ้นอยู่กับ เจตนาขององค์กร
หากเจตนานั้น ไม่ได้แก้ปัญหาใดๆ ให้สังคมที่อยู่ องค์กรนั้น ก็ไม่สามารถดํารงชีวิตอยู่ต่อไปได้
เมื่อมามอง คําว่า องค์กรธุรกิจ องค์กรธุรกิจ นั้นคือ องค์กรที่มีเจตนาในการทําธุรกิจ องค์กรธุรกิจนั้น จําเป็นต้องอยู่ได้ด้วยผลกําไรจากธุรกิจ แต่ไม่ได้หมายความว่า จะต้องแสวงหาแต่ผลกําไรอย่างเดียว ซึ่งก็ขึ้นกับเจตนาขององค์กร ว่าจะ “พอ” ในแง่ของการแสวงหาผลกําไรเมื่อไร และจะ “ให้” คืนกับสังคมที่ตนอยู่ ในรูปแบบใด ซึ่งเจตนานั้น แรกเริ่มเดิมที ก็มาจาก เจตนาของผู้ก่อตั้งองค์กรเป็นสําคัญ ว่าผู้ก่อตั้งคนนั้น มีภาพที่อยากเห็น เป็นแบบใด
สิ่งที่ได้เรียนรู้ จากระบบพี่เลี้ยงธุรกิจ
ผมเชื่อว่า คนทุกคน ที่อยากจะเริ่มต้นธุรกิจนั้น ต้องเคยผ่านการ อ่าน และศึกษา เรื่องราวขององค์กรธุรกิจ ที่ประสบความสําเร็จในอดีตมาบ้าง ไม่มากก็น้อย บางองค์กรนั้น มีอายุผ่านมาเป็น ร้อยปี ผู้ก่อตั้งก็ได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่ตัวองค์กร ก็ยังมีชวิตอยู่ต่อ นั่นเพราะอะไร
ผมเชื่อว่า ผู้เริ่มก่อตั้งธุรกิจใหม่ หลายๆคน รวมทั้งผมด้วย ก็มองแค่ผิวเผินว่า ก็ องค์กรเหล่านั้น มีสินค้าอยู่แล้ว เงินก็มี ลูกค้าก็มี คนทํางานก็มีแล้ว ก็ต้องยังอยู่ได้สิ ก็มันตั้งตัวได้แล้วนี่
หนึ่งในภาพบรรยากาศในห้องประชุม สมัย คุณ โคโนสึเกะ มัตซูชิตะ ยังบริหารงานอยู่
ขอบคุณรูปจาก http://images.google.com/hosted/life...46279b0c060e80
คุณเอกราชก็อธิบายให้ผมเข้าใจว่า หากว่ามีเหตุเพียงเท่านี้ ทําให้องค์กรยังอยู่ได้ แล้วทําไม บริษัท หลายๆบริษัท ที่มาถึงรุ่นที่ 2 (ที่เรียนก็สูงกว่า ใช้ความรู้สมัยใหม่กว่า) บริหารแล้วเจ๊ง หรือต้องขายกิจการ ทั้งๆที่รุ่นแรก สร้างองค์กรไว้ ดูจะเจริญรุ่งเรืองเสียด้วยซ้ำ แล้วทําไมองค์กรอย่าง ฮอนด้า โตโยต้า มัสซูชิตะ จึงเจริญงอกงาม กลายเป็นองค์กร ที่สร้างงาน สร้างคน ได้มากมาย ให้แก่ประเทศญี่ปุ่น
หากว่า เหตุ ที่ทําให้องค์กรยังมีชีวิตอยู่ หลักจากรุ่นผู้ก่อตั้ง มีแค่เพียงที่ผมกล่าวข้างต้น ทุกๆ องค์กร คง สามารถเจริญงอกงามได้อย่าง มัสซูชิตะ แล้วสิ
คําถามเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ทาให้ผมเริ่มฉุกคิด ถึงความแตกต่าง ระหว่างองค์กร ที่อยู่ด้วยเจตนาตน และองค์กรที่อยู่ได้เพราะผู้ก่อตั้ง แต่ยังไม่ทันที่ผมจะคิดหาคําตอบออก
คุณเอกราช ก็สอนต่อว่า ทุกๆองค์กร อยู่ได้ด้วยเจตนาของมัน หากว่า เจตนานั้น ยังแก้ปัญหาให้สังคม หรือสิ่งแวดล้อมที่มันอยู่ได้ องค์กร ก็ยังคงอยู่
อย่างเช่น มัสซูชิตะ ที่เริ่มต้น ผลิตหม้อหุงข้าวคุณภาพสูง แต่ราคาต่ำ ให้คนญี่ปุ่นช่วงหลังสงครามโลกฯ เพราะเป็นห่วงๆ ทุกๆครอบครัว ว่าจะไม่มีหม้อหุงข้าวดีๆ ใช้
ซึ่งเจตนา ณ ตอนนั้น ของมัสซูชิตะ เป็นเจตนาที่มุ่งแก้ปัญหาให้สังคมที่ตัวเขาอยู่ และหากเจตนานี้ ได้รับการสืบทอดให้แก่ผู้นําองค์กร จากรุ่น สู่รุ่น เจตนาขององค์กร ก็ยังเป็นเจตนา ที่ม่งแก้ปัญหาให้แก่สังคม
(หมายถึงว่า มีทิศทาง ในการสร้างอุปกรณ์ไฟฟ้า ในการแก้ปัญหา ของชาวญี่ปุ่น ทุกๆบ้าน ไม่ได้หมายความว่า ยังคงมุ่งมันผลิตหม้อหุงข้าวต่อ เพียงอย่างเดียว)
อย่างนี้องค์กรจึงจะอยู่ได้ ด้วยเจตนาตน
ลองนึกภาพต่อ หากองค์กรที่สร้าง ถึงแม้มีเจตนาชัด ไม่ได้มเจตนาเพื่อแก้ปัญหาสังคม สมมุติเช่น
นายหน้าขายข้าวที่กดราคาชาวนาต่ำ แต่ไปขายต่อแพงๆ เจตนาอย่างนี้ นอกจากจะไม่แก้ปัญหาสังคมแล้ว ยังสร้างปัญหาซ้ำเข้าไปอีก ซึ่งถ้าชาวนาเขาไม่มีทางเลือก เพราะไม่มีช่องทางอื่นปล่อยสินค้า ก็จําเป็นต้องเลือก นาหน้ารายนี้ เลือกเพราะไม่มีตวเลือกอื่น
หากว่า ต่อมา มีคนเล็งเห็นปัญหานี้ เริ่มสร้างองค์กรค้าข้าว โดยมีเจตนา เป็นไปเพื่อ ต้องการให้ ชาวนาระบายสินค้าของตนจริงๆ ไม่ได้เจตนาเพื่อจะเอากําไรอย่างเดียว โดยการกดขี่ชาวนา
ผมกล้ายืนยันได้เลยว่าเงื่อนไขการรับซื้อขาว ก็จะต่างกับ องค์กรแรก อย่างลิบลับ
และแน่นอนว่า ทันทีที่ชาวนาเห็นเงื่อนไข ก็คงตัดสินใจเลือกค้าขายกับองค์กรนี้ทันที องค์กรแรก ก็คงจะเจ๊งไปโดยปริยาย
อีกสิ่งหนึ่งที่คุณเอกราชย้ำเสมอ ในขณะที่สอนผม และในหนังสือ “ความลับของคน” ที่คุณเอกราชเป็นคนเขียนนั้น คือ
การสร้างองค์กรธุรกิจก็เช่นกัน ผู้ที่เริ่มสร้างองค์กรนั้น ก็ต้องมองให้เห็นทั้ง ปัญหาที่จะเกิดขึ้น ใน “ตัวองค์กรเอง" และ “สิ่งแวดล้อมขององค์กร”เวลาที่เรามอง สรรพสิ่งต่างๆ เราต้องมองให้ครบ ทั้ง “ตัวเรา” และ “สิ่งแวดล้อม”
ที่ผมได้สื่อสารไปข้างต้น ถึงเรื่องเจตนาขององค์กร ที่แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมนั้น เป็นเรื่อง “สิ่งแวดล้อมขององค์กร” ทั้งสิ้น บางองค์กร ถึงแม้จะมีเจตนาที่ดี แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมได้จริง แต่ไม่ได้ระวัง ป้องกัน ปัญหาที่เกิดขึ้น ภายในตัวองค์กรเอง องค์กร ก็ไม่สามารถอยู่ได้เช่นกัน
เอาหล่ะ ต่อมา เราจะมาพูดถึงเรื่อง “ตัวขององค์กรเอง” นะครับ
เมื่อเราใช้ วิธีการมอง “ตัวเรา” และ “สิ่งแวดล้อม” ที่คุณเอกราชถ่ายทอดให้ เข้ามามองที่ “ตัวของ องค์กรเอง” เราก็จะพบว่า “ตัวเรา” ก็คือ ตัวเราเอง และ “สิ่งแวดล้อม” ก็คือ ทีมงานคนอื่นๆ ในองค์กร
ผมเชื่อว่า ผู้ที่เริ่มสร้างองค์กรเกือบทุกคน ก็คงมอง ออกถึงสองสิ่งนี้ แต่ส่วนใหญ่ (รวมทั้งตัวผมเอง) เลือกจะสนใจแต่ ตัวเราเอง ไม่เคยสนใจ ใส่ใจ ถึง ทีมงานคนอื่นๆ ในองค์กร
คิดว่า องค์กรนี้ เป็นของเราคนเดียว ทีมงานคนอื่น คือคนที่เราใช้ เงิน “จ้าง” มาทํางาน
ถ้าหาก ณ ตอนนี้ คุณยังคิดอย่างนี้อยู่ ต้องทบทวนตัวเองแล้วนะครับ อย่างนี้ ไม่มีทางสร้างองค์กรสําเร็จได้เลย (ที่ผมกล้าฟันธง เพราะผมก็เพิ่งรู้ตัว และเปลี่ยนทัศนคติ มาเมื่อไม่นานมานี้)
การมองตัวเราเอง ให้เห็นชัดอย่างถ่องแท้นั้น เป็นเรื่องยาก เพราะต่างคน ก็ถูกหล่อหลอมมาไม่
เหมือนกัน ความอยากภายใน ก็ย่อมไม่เหมือนกัน นั่นจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ที่ผมจะสามารถอธิบาย ถึงปัญหาที่มาจาก ภายใน ของตัวผู้นําองค์กร ได้ครอบคลุมทั้งหมดทุกคน
ในบทความนี้ ผมทําได้แค่เพียง อธิบายความเข้าใจของผม ในสิ่งที่คุณเอกราชได้ถ่ายทอดมาตลอด 1 ปีเศษที่ผ่านมา ซึ่ง หากคุณต้องการแนวทางแก้ปัญหาที่เหมาะกับตัวคุณนั้น
ผมว่า คุณคงต้องเชิญคุณเอกราชมาเป็นพี่เลี้ยงธุรกิจแล้วหล่ะ หรือไม่ก็ ต้องอ่านหนังสือ
"อ่านก่อน ที่ชีวิตจะหมดความหมาย ไปมากกว่านี้" "ความลับของคน" และ "ความจริงที่ทําให้รวย ที่คุณเอกราช" เป็นคนเขียน
ผมมั่นใจ ว่าความรู้ ที่มีในหนังสือเหล่านี้ จะช่วยคุณได้อย่างมากทีเดียว
ถ้าถามถึงความเข้าใจของผม ตลอด 1 ปีเศษ ที่คุณเอกราชพยายามถ่ายทอด เกี่ยวกับตัวผู้นําองค์กร
เองนั้น คือ
ถ้าอ่านถึงตรงนี้ หลายๆคน อาจจะงง ถ่ายทอดมา1 ปี มีแค่นี้เองเหรอการยอมรับ และรับผิดชอบ ต่อความอยากของตน
การยอมรับ และรับผิดชอบ ต่อความอยากของตน ฟังดูเป็นประโยคง่ายๆ แต่กินความหมายลึกล้ำ (ผมเองใช้เวลาปีเศษมาแล้ว ยังทําความเข้าใจ ความหมายของมันได้ไม่หมดเลยครับ) ผมกล้าพูดเลยว่า ด้วยประโยคแค่นี้ หากเข้าใจมันจริงๆ คุณนําไปใช้ฝึกตนได้ค่อนชีวิตเลยเชียวหล่ะ
มีต่อ Post ถัดไปนะครับ