Previous
Next
Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
Page 1 of 3 1 2 3 LastLast
Results 1 to 10 of 41

Thread: ทรงพระเจริญ ; พ่อหลวงของปวงชนชาวไทย

Hybrid View

  1. #1
    Join Date
    Jul 2011
    Posts
    541
    Blog Entries
    37

    วันนี้ วันที่ ๑๒ สิงหา วันแม่แห่งชาติ



    วันนี้ วันที่ ๑๒ สิงหา วันแม่แห่งชาติ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
    ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงเมตตาต่อพสกนิกรตลอดมา


    จึงขอนำงานหนึ่งที่พระองค์ท่านทรงงานเพื่อช่วยเหลือราษฎรเมื่อครั้งที่ทั้งสองพระองค์เสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมราษฎรที่ประสบภัยน้ำท่วมใหญ่ในภาคอีสาน ที่จังหวัดนครพนม เมื่อปี พ.ศ.2513

    จากบทความ “ผ้าไหม” สายใยรัก จาก “พระราชินี” ถึง “ราษฎร” สำนักข่าวเจ้าพระยา วันอาทิตย์ 18 ตุลาคม 2552



    ที่มา:นิตยสารดิฉัน ฉบับวันที่ 15 สิงหาคม 2549

    ภาพราษฎรที่หมอบกราบ นำผ้าไหมผืนงามขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ อาจเป็นภาพที่คุ้นตาประชาชนทั่วไป

    แต่เบื้องหลังภาพเหล่านั้น ยังมีความเป็นมา มีความรักและความผูกพันระหว่าง “พระราชินี” สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถกับ “ราษฎร” ที่ต่อเนื่องยาวนานกว่า 30 ปี

    ห้องทรงงาน

    ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ฑีขะระ เล่าว่า “ห้องทรงงาน” ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ นั้น เต็มไปด้วย “ผ้าไหมไทย” หลากสีหลากลวดลาย ที่เดินทางมาจากภูมิภาคต่างๆ กันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515



    ผ้าไหมไทยเดินทางมาสู่ “ห้องทรงงาน” ได้ก็เพราะน้ำพระทัยห่วงใยและแน่วแน่ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงต้องการจะช่วยเหลือราษฎรที่ทุกข์ยากเดือดร้อน ให้สามารถช่วยเหลือตัวเอง และยืนอยู่บนขาของตัวเองได้อย่างมั่นคง



    เป็นการสนองพระราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งที่ทั้งสองพระองค์เสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมราษฎรที่ประสบภัยน้ำท่วมใหญ่ในภาคอีสาน ที่จังหวัดนครพนม เมื่อปี พ.ศ.2513



    ครั้งนั้นสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ทอดพระเนตรฯเห็นราษฎรที่มาเฝ้าฯ ล้วนนุ่งห่มผ้าไหมไทยที่ทอใช้เองอย่างงดงาม



    สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งทรงสนพระทัยศึกษาชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจากการทอผ้าไหม



    ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ผู้สนองงานในมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ มาแต่เริ่มแรกเล่าว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มีพระราชเสาวนีย์ให้ท่านผู้หญิงสุประภาดา เกษมสันต์ อดีตราชเลขานุการในพระองค์ฯ นำคIะออกไปเลือกซื้อผ้าที่ชาวบ้านทอเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2515



    ครั้งแรกไปที่เรณูนคร ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวคล้ายสันกำแพง แต่เรณูนครสมัยนั้นยังเล็กๆ ก็ซื้อผ้ากลับมาได้ไม่กี่ผืน ส่วนมากเป็นผ้าฝ้ายย้อมคราม ผ้าไหมก็พอมีบ้างแต่ไม่มาก



    …พอนำกลับมาทูลเกล้าฯ ถวาย รับสั่งว่าไม่ใช่ผ้าที่ได้ทอดพระเนตรรับสั่งให้ท่านผู้หญิงสุประภาดาและดิฉันกลับไปใหม่ คราวนี้ ให้ไปเดินตามบ้านชาวบ้าน แล้วไปขอซื้อผ้าจากชาวบ้าน







    …เลยมาคิดว่า ครั้งแรก ทั้งท่านผู้หญิงสุประภาดาและดิฉันคงยังไม่เข้าใจในพระราชประสงค์อย่างถ่องแท้



    การเดินทางไปขอซื้อผ้าถึงบ้านชาวบ้านครั้งต่อ ๆ มานั้น ทำให้ท่านผู้หญิงสุประภาดาและดิฉันได้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้านพร้อมกันไปด้วย



    ชาวบ้านอีสานสมัยนั้นเขายากจนจริงๆ ดังที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงคาดไว้ อยู่บ้านใต้ถุนสูงเก่าๆ หลังเล็กๆ และใช้เสาสองเสาของบ้านเป็นส่วนหนึ่งของกี่ทอผ้าไปด้วย



    …ส่วนที่นอกชานก็จะมีกระจาดเลี้ยงไหม คลุมด้วยผ้าขาวม้าเก่าๆ แต่สะอาด



    …และส่วนใหญ่ก็จะมีแต่คนแก่นั่งทอผ้า ส่วนสาวๆ ก็เริ่มไปทำงานโรงงาน หรือไม่ก็ไปรับจ้าง



    การขอซื้อผ้าจากชาวบ้านในครั้งแรกๆ นั้น ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์เล่าว่าเต็มไปด้วยความลำบาก



    ต้องไปอ้อนวอนขอซื้อ เพราะส่วนใหญ่ชาวบ้านเขาจะทำไว้นุ่งเองเราไปขอซื้อ เขาก็ถามว่าจะซื้อไปทำไม เราก็บอกสมเด็จฯ จะทรงช่วยเหลือทรงให้มาซื้อผ้ากลับไปถวาย ปัญหาอีกอย่างคือชาวบ้านขายไม่เป็น เพราะเขาไม่เคยขาย เคยแต่นำผ้าที่ทอแล้วไปแลกข้าว



    …ซึ่งพอคิดไปคิดมาแล้ว ราคาผ้าตกผืนละ 50 บาท 80 บาท เท่านั้นเอง ในปี พ.ศ.2515 เมื่อทรงทราบก็รับสั่งให้ราคาแค่นี้ไม่ได้ ก็ให้ชาวบ้านไปผืนละ 200-300 บาท ชาวบ้านก็ตกใจบอกว่าไม่มีผ้าให้เท่ากับจำนวนเงินนี้



    …เราต้องบอกนี้เป็นเงินพระราชทาน ให้เก็บไว้เป็นขวัญถุง จะได้มีกินแล้วก็งอกเงย ชาวบ้านเขาถึงยอมรับเงิน



    เมื่อนำผ้าไหมที่ซื้อจากชาวบ้านกลับมาทูลเกล้าฯ ถวาย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ก็ทรงสอนและพระราชทานให้ความรู้เรื่องผ้าไหมไทย



    ทรงสอนว่าเส้นไหมไทยที่คุณภาพเลิศที่สุดเรียกว่า “ไหมน้อย” ซึ่งอยู่ชั้นในสุดของรังไหม เป็นเส้นไหมที่เล็กละเอียด ส่วนเส้นที่เป็นปุ่มปมจะอยู่ชั้นนอก



    …ทรงสอนว่าผ้าไหมไทยที่ทำจากไหมน้อยจะนุ่ม และสามารถใส่ผ้าเข้าไปในรูแหวนและดึงลอดออกมาทั้งผืนได้ ซึ่งแสดงถึงความละเอียดของ “แพรไหม” สิ่งเหล่านี้ทรงศึกษาและทรงสอนพระราชทานทั้งสิ้น



    …จากนั้นก็รับสั่งให้ท่านผู้หญิงสุประภาดานำคณะกลับไปหาผู้ทอคนเดิม นำผ้าชิ้นเดิมกลับไป แล้วบอกให้เขาทอเพิ่มอีก จะทรงรับซื้อ



    จากหมู่บ้านหนึ่ง การซื้อผ้าไหมจากชาวบ้านของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ก็เริ่มขยับขยายไปยังอีกหมู่บ้าน ตามทางเกวียน และเสียงปู๊นที่ลากยาวของชาวบ้าน บอกระยะทางที่ห่างไกลระหว่างหมู่บ้านหนึ่งกับอีกหมู่บ้านหนึ่ง



    และขยับขยายไปยังจังหวัดต่างๆ จนทั่วภาคอีสานทั้ง 16 จังหวัด กระทั่ง “ห้องทรงงาน” ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินาถ เต็มไปด้วย “ผ้าไหมไทย”



    พร้อม ๆ กับ “ผ้าไหม” ก็ขยับขายไปสู่การส่งเสริมงานฝีมือแขนงอื่นๆ ที่ชาวบ้านทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทยบรรจงสรรค์สร้างขึ้นด้วยหัวใจซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ

    พระกุศโลบาย ผ่าน “ใยไหม”

    ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์เล่าว่า คำสอนอีกอย่างของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ คือทรงสอนให้รักษา “สัญญา” ที่ให้ไว้กับชาวบ้าน บ้านไหน เรื่องอะไร ต้องกลับไปทำตามสัญญา และมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ก็ดำเนินตามพระดำรัสในเรื่องนี้มาตลอด



    …อย่างครั้งแรก ๆ ที่เรากลับไปให้ชาวบ้านทอผ้าผืนใหม่ให้ ชาวบ้านก็บอกโอย..ไม่มีเวลา ต้องทำนา ทำสวน ต้องหาเช้ากินค่ำ



    …จะทอผ้าได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ จะเลี้ยงไหมได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะสมัยก่อนต้องทำตั้งแต่เลี้ยงไหม และทำทุกอย่างครบวงจรอยู่ในบ้าน เราก็บอกไม่เป็นไร ได้เมื่อไรก็เมื่อนั้น



    …แต่ปีหน้า เดือนนี้จะกลับมานะ ถ้ามาแล้วได้ผ้าก็เอาไป ถ้าไม่ได้ก็รอไปอีกปีหนึ่ง



    …แล้วรับสั่งว่า “ต้องให้เงินชาวบ้านไว้ล่วงหน้าเป็นมัดจำก่อน เขาจะได้มีเงินใช้จ่ายในช่วงที่นั่งทอผ้าไหม” แต่ชาวบ้านไม่ยอมรับเงินล่วงหน้าง่ายๆนะคะ ต้องคะยั้นคะยอกัน เพราะชาวบ้านกลัวว่ารับเงินแล้ว ไม่ได้ทำจะผิดสัญญา



    …รับสั่งเสมอว่า “ถ้าฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ก็ต้องให้ชาวบ้านออกทำไร่ ทำนาของเขา แต่ยามที่คอยข้าวออกรวง คอยข้าวสุก ชาวบ้านจะมีเวลาว่างก็ค่อยให้เขาทอผ้า เขาจะได้ไม่ต้องออกไปรับจ้างหางานนอกบ้าน”



    สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ยังพระราชทานเกียรติช่างทอผ้าชาวบ้านอย่างสูงยิ่ง ดังที่ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์เล่าว่า




    ทรงสอนให้สังเกต ให้เรียนรู้จากชาวบ้าน รับสั่งว่า “ชาวบ้านคือ ครูที่ดีที่สุด ให้เรียนรู้จากเขา”



    นอกจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะทรงสนับสนุนให้ชาวบ้านทอผ้าไหมเพื่อเพิ่มรายได้ให้ครอบครัวแล้ว ยังทรงสอนให้ชาวบ้านเป็นนักอนุรักษ์



    คืออนุรักษ์ลวดลายผ้าไหมไทยแต่โบราณไว้ไม่ให้สูญหาย รวมถึงอนุรักษ์พันธุ์ไหมไทยแท้ ๆ ควบคู่กันไปด้วย



    ทรงสนับสนุนให้ชาวบ้านอนุรักษ์การทอผ้าลวดลายโบราณ รับสั่งว่า “ผ้าขี้ริ้วที่ชาวบ้านถูเรือนก็ต้องดูด้วย เพราะลายผ้าจะอยู่ตรงนั้น” คือธรรมชาติของคนเรามักจะนำผ้าเก่ามาทำผ้าขี้ริ้ว



    …เราไปถึงเห็นผ้าขี้ริ้วก็รีบคลี่ดู แล้วก็เห็นว่าลายสวยจริงๆ พอถามว่าผืนนี้ใครทอ เขาก็บอกว่ายายทอไว้ แม่ทอไว้ มันเก่าแล้วเลยนำมาทำผ้าขี้ริ้วเราก็บอกให้ชาวบ้านทอลายนั้นเลย ลายนี่ละสวย ชาวบ้านเขาก็ทอมา



    …และทรงกำชับเสมอว่า อย่าไปออกแบบสี ออกแบบลายให้ชาวบ้าน แต่ต้องพยายามไม่ให้เขาทิ้งลวดลายเก่า



    …ต่อมา จึงทรงจัดให้มีการประกวดผ้าไหมทุกปี ที่พระตำหนักภูพานฯ จังหวัดสกลนคร เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ชาวบ้านทอผ้าลายโบราณอย่างน้อย 1 ชิ้นใน 1 ปี



    ผ้าไหม ยังช่วยให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงทราบถึงวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของราษฎร กระทั่งทรงหาหนทางแก้ปัญหานานาประการให้แก่ราษฎรของพระองค์ได้



    ทรงสอนว่า “เวลาไปซื้อผ้าไหมให้ดูความเป็นอยู่ของเขาด้วย ดูว่าเขารับประทานอะไร เขามีข้าวอยู่ในบ้านไหม มีมากมีน้อยแค่ไหน ดูว่าเขาหามาได้วันหนึ่งแล้วรับประทานหมดไปวันหนึ่งหรือเปล่า มีเก็บมีเหลือไหม”



    …และเมื่อทรงทราบปัญหาของชาวบ้านไม่ว่าจะเป็นเรื่องเจ็บไข้ไม่สบาย ไม่มีเงินให้ลูกเรียนหนังสือ ทำนาทำไร่ไม่ได้ผล ก็โปรดฯให้ขยายคณะซื้อผ้าไหมให้มีคนเพิ่มมากขึ้น



    …คือมีหมอไปด้วย มียาไปด้วยจำนวนหนึ่ง จากรถคันหนึ่งกลายเป็นรถ 2 คัน 3 คัน ต่อมาก็มีนักเกษตรในพระองค์ที่จบปริญญาด้านเกษตรพืชไร่ สาขาต่างๆ เพื่อให้ความรู้และแก้ปัญหาให้ชาวบ้าน ลูกหลานครอบครัวใดเรียนดีแต่ยากจน ก็ทรงสนับสนุนให้ทุนการศึกษา



    ส่วนการตั้งราคาผ้าไหมให้ชาวบ้านนั้นทรงแนะให้ตั้งราคาที่ร้านผ้าไหมขายให้คนซื้อเพราะแสดงว่าเป็นราคาที่ร้านค้าบวกกำไรไว้แล้วชาวบ้านก็จะได้ราคาเดียวกับร้านค้า



    โปรดฯ ให้ตั้งราคาผ้าไหมให้ชาวบ้านอย่างสมเหตุสมผล แต่ไม่ให้ตั้งราคาขายผ้าไหมแพงเกินควร เพราะไม่ได้ทรงทำธุรกิจ ทรงหวังให้คนไทยทุกคนมีโอกาสใช้ผ้าไหมไทย



    ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์เล่าจากประสบการณ์ที่ได้จากการออกร้านขายผ้าไหมศิลปาชีพตามงานต่างๆ มาเป็นเวลานานว่า



    เป็นที่น่าปลื้มใจคือ มีหลายคนบอกว่าอยากร่วมถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศล แต่ไม่มีเงินมาก ได้ซื้อผ้าไหมศิลปาชีพไปใส่ ก็ถือว่าโดยเสด็จพระราชกุศลเหมือนกัน



    “ผ้าไหม” สายใยแห่งความผูกพัน



    คนไทยหลายคนอาจไม่ทราบว่า เมื่อเริ่มแรกที่ทรงตั้งโครงการ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงตรวจตรา “ผ้าไหม” และงานของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ด้วยพระองค์เองทุกชิ้น ทุกผืนมาเป็นระยะเวลายาวนาน



    และตลอดเวลายาวนานนั้นมีพระอาการ “แพ้ฝุ่น” ที่สะสมอยู่ในผืนผ้า แต่ก็ทรงอุตสาหะและทรงอดทนที่จะ “ทรงงาน” เพื่อราษฎรของพระองค์ตลอดมา



    พระราชินี ศิลปาชีพ และเมื่อใดทรงพบปัญหา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ก็จะพระราชทานแนวทางช่วยเหลือและแก้ปัญหาทุกครั้งไป



    ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์เล่าว่า



    ปัญหาของผ้าไหมไทย ส่วนหนึ่งเกิดจากเรื่องคุณภาพของเส้นไหม แต่ก่อนชาวบ้านปลูกหม่อน เลี้ยงไหม ซึ่งเป็นไหมพันธุ์ไทยแท้ ๆ กันเองไม่มีปัญหา



    …มาเริ่มมีปัญหาเมื่อมีคนนำเส้นไหมเข้าไปขายให้ชาวบ้าน ซึ่งแต่ก่อนชาวบ้านที่ไม่ได้เลี้ยงไหมเอง จะไปขอซื้อไหมจากบ้านที่เลี้ยงไหมอย่างเดียว แต่ไม่ได้ทอผ้า เพราะว่าแก่แล้ว ทอผ้าไม่ไหว โดยวิธีนี้ชาวบ้านก็ได้ช่วยเหลือจุนเจือกันเองในหมู่บ้านเดียวกัน



    …แต่เส้นไหมที่พ่อค้านำเข้าไปขาย ไม่ใช่ไหมพันธุ์พื้นเมืองเหมือนก่อน แต่เป็นไหมพันธุ์ผสม หรือไหมก็เป็นไหมที่ลักลอบนำเข้ามาจากชายแดน



    …หากเป็นไหมพันธุ์ผสมคุณภาพดียังไม่เป็นไร แต่ส่วนใหญ่พ่อค้าจะนำไหมพันธุ์ผสมที่คุณภาพไม่ดีไปขาย



    …พ่อค้าจะบอกให้ชาวบ้านเอาเส้นไหมไว้ก่อน แล้วบอกว่าพอถึงเดือนพฤศจิกายน ซึ่งจะมีงานผ้าไหมที่พระตำหนักภูพานฯ พอชาวบ้านขายผ้าไหมให้ “พระราชินี” ได้ ก็จะมาเก็บเงิน



    แต่เมื่อคุณภาพของผ้าไหมเปลี่ยน มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ก็ไม่รับซื้อ



    ชาวบ้านก็ร้องห่มร้องไห้ มาสารภาพความจริงให้ฟัง และบอกว่าจะเอาเงินไปใช้หนี้ แต่เราก็ต้องใจแข็ง ให้ไปเฉพาะค่ารถ แล้วก็บอกว่าอย่าทำอย่างนี้อีก ให้นำผ้าชิ้นนั้นกลับไปให้พ่อค้าก็แล้วกัน พอปีต่อไปก็ดีขึ้น



    สาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้เนื้อผ้าไหมแตกต่างไปจากเดิมนั้น ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์เล่าว่าเกิดจากกรรมวิธีในการ “สาวไหม”



    เมื่อก่อนชาวบ้านจะสาวไหมลงกระบุง สาวออกมาก็จะได้ไหมเส้นกลม ๆ หยิกๆ ชาวบ้านจะเอาทรายหรือก้อนกรวดใส่ลงไปทีละกำมือ เพื่อไม่ให้เส้นไหมพันกัน สาวไหมแล้วก็ใส่ทรายสลับกันไปเรื่อย ๆ จากนั้นจึงจะนำไหมที่สาวได้มาใส่ถุง เพื่อทำเป็นไจไหม



    …แต่สมัยใหม่ สาวไหมปุ๊บเอาเข้าวงล้อเลย ไม่ได้ลงกระบุงก่อนเส้นไหมเลยแบนเรียบ ไม่กลมเหมือนเดิม เพราะเส้นไหมโดนกดทับกัน ทำให้เนื้อผ้าไม่เหมือนก่อน



    เมื่อไหมเกิดปัญหา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถก็มีพระราชดำริว่าน่าจะมีสถาบันหลักที่ทำหน้าที่ดูแลเรื่องหม่อนไหม เพื่อสร้างมาตรฐานให้ผ้าไหมไทย รวมถึงอนุรักษ์และดูแลไม่ให้ไหมพันธุ์ไทยแท้สูญหายไป



    และยังเป็นการยกระดับคุณภาพผ้าไหมไทยแต่ละประเภท เพราะจะทำให้ทราบถึงที่มาของไหมแต่ละชนิด



    จากพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ “สถาบันหม่อนไหมแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” จึงได้รับการจัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2547



    หน้าที่หลักของสถาบันก็คือ การรักษาพันธุ์ไหมและพัฒนาพันธุ์หม่อนให้มีคุณภาพดีขึ้น และกระจายไหมพันธุ์ไทยแท้ให้ชาวบ้าน รวมถึงแยกประเภทของผ้าไหม ตามคุณลักษณะของไหมและกระบวนการผลิต เพื่อผู้ซื้อจะได้เลือกซื้อตามความพอใจ



    ผู้อำนวยการสถาบันหม่อนไหมแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ พีระพงศ์ เชาน์เสฎฐกุล เล่าว่า ความจริงชาวบ้านไทยรู้จักวิธีการพัฒนาพันธุ์ไหมมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยนำไหมจากหมู่บ้านหนึ่งไปผสมกับพันธุ์ไหมของอีกหมู่บ้านเพื่อให้ไหมรุ่นต่อมามีคุณภาพที่ดีขึ้น



    “ปัญหาคือสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยเอื้อต่อการฟักเป็นตัวของหนอนไหม พอหนอนไหมในกลุ่มเดียวกันฟักออกมา ก็มีการผสมกันเองอย่างรวดเร็ว ทำให้คุณภาพของสายพันธุ์ด้อยลงไป



    …สถาบันฯ จึงเข้ามาแก้ปัญหาโดยพยายามรักษาพันธุ์ไหมไทยไว้ และชาวบ้านมาซื้อไข่ไหมจากสถาบันฯ ซึ่งขายให้ชาวบ้านในราคาถูก



    …เวลาจะเลี้ยงในรอบใหม่ ก็มารับไข่ไหมจากสถาบันฯ ไปใหม่ วิธีนี้จะช่วยแก้ปัญหาความด้อยของสายพันธุ์ที่เกิดการผสมกันเองของหนอนไหมในกลุ่มเดียวกันได้



    …โดยชาวบ้านสามารถขอรับไข่ไหมจากสถาบันฯ ซึ่งมีหน่วยงานกระจายอยู่ใน 24 จังหวัด ทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ได้



    สาบันหม่อนไหมแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ ยังมีหน้าที่ดูแลเรื่อง “ตรานกยูง” ซึ่งเป็นตราที่ขอพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มาใช้เป็นตราสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงวัสดุ และกระบวนการผลิตที่แตกต่างกันของผ้าไหมแต่ละชนิด



    สีของ “ตรานกยูง” ที่แตกต่างกัน จะบ่งบอกชนิดของเส้นไหม การสาวไหม การทอ ไปจนถึงขึ้นตอนการย้อม เพื่อให้ผู้ซื้อมั่นใจว่าซื้อผ้าไหมได้ตรงตามวัตถุประสงค์และยังสร้างมาตรฐานให้ผ้าไหมไทย



    สถาบันหม่อนไหมแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ คิดค่าธรรมเนียมการลงทะเบียนเพียง 500 บาท ต่อความยาวของผ้า 1 พันเมตร และยังอนุญาตชาวบ้านที่รวมกลุ่มกันทอผ้าไหม ลงทะเบียนร่วมกันได้



    สำหรับ “ตรานกยูง” นั้นจะติดอยู่ที่ผ้าไหมทุกเมตร โดยก่อนจะมีการให้ “ตรานกยูง” สถาบันหม่อนไหมแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ จะเข้าไปตรวจสอบการทอผ้าไหมทุกกระบวนการผลิต และพิจารณาว่าผ้าที่ทอสำเร็จนั้นเข้าข่ายการใช้ “ตรานกยูง” สีใดในจำนวน “ตรานกยูง”4 สี



    “หน่วยงานไม่ว่าจะเป็นของรัฐหรือเอกชน จะได้ประโยชน์จากมาตรฐานที่ชัดเจนนี้ แม้แต่สมาชิกมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ก็ต้องได้รับการตรวจสอบเพื่อขอรับ “ตรานกยูง” จากสถาบันฯ เช่นเดียวกัน

    ผ้าไหม…เรื่องของ “สายใย” ที่ไม่สิ้นสุด

    ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ยังเล่าว่า เส้นใยของผ้าไหมยังช่วยกระชับตวามสัมพันธ์ในครอบครัวให้แน่นแฟ้นขึ้น “จากเดิมที่ผู้ชายเห็นว่างานเลี้ยงไหมเป็นของผู้หญิง แต่มาผู้ชายเริ่มหันมาช่วยรดน้ำพรวนดินต้นหม่อน ช่วยภรรยาเก็บใบหม่อน ล้างใบหม่อน ช่วยหั่นใบหม่อนเพื่อเลี้ยงไหม



    …ขณะนี้ผู้ชายบางครอบครัวลงมือ “มัดหมี่” เอง และผู้ชายบางบ้านทอผ้าเองก็มี สุขอนามัยในครอบครัวก็ดีขึ้น เพราะไหมชอบความสะอาด มีแมลงวันไม่ได้ เพราะมีเมื่อไหร่ตายยกกระด้ง แล้วไหมแพ้ควันบุหรี่ โดนควันบุหรี่ไหมก็ตาย ผู้ชายบางบ้านจึงเลิกสูบบุหรี่ไปเลยก็มี



    …ฉะนั้นเวลามีงานผ้าไหมที่พระตำหนักภูพานฯ ชาวบ้านที่ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณจึงเก็บผ้าไว้ไม่ยอมขายให้ใคร แม้เราจะบอกให้เขาขายเถอะ ถ้าขายแล้วได้ราคาดี แต่เขาก็อยากรอขาย พระราชินี อยากให้มูลนิธิฯของ “พระราชินี” ได้ผ้าชิ้นที่ดี ๆไป
    ขอบคุณ สำนักข่าว เจ้าพระยา และ นิตยสารดิฉัน
    Thanks JJberry, nattarika, juthamard, IAm, Siambrandname Webmaster, bookerian ขอบคุณ ผู้โพสต์ข้อความนี้
    Like kwangtung ถูกใจ ข้อความนี้ ที่สุด

  2. #2
    IAm's Avatar
    IAm is offline Trusted Member
    Join Date
    Jun 2010
    Posts
    448
    Blog Entries
    4
    ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ขอให้ทรงมีพระพลานามัยเเข็งแรง


    ฝากติดตาม Business Social Group ของร้านแอมด้วยนะคะ ^^ ขอบคุณค่ะ
    Iam-Better2U เพราะเราใช้ เราดีขึ้น เราจึงสรรสิ่งที่ดีสำหรับคุณ

    ร่วมรณรงค์ใส่ลิ้ง เปิดโลก SBNTown ใน sign
    กระทู้ แนะนำความรู้ในการใช้เครื่องมือของชุมชน SBN Town ที่ทำให้พวกเราสามารถใช้งานได้อย่างเท่าเทียมกัน
    Thanks Wiarathis, Karen C, juthamard ขอบคุณ ผู้โพสต์ข้อความนี้

  3. #3
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    812
    มองพระองค์ท่านทีรัยน้ำตาไหลทุกทึ ท่านทรงงานหนักเหลือเกิน แต่สิ่งหนึ่งที่ลูกจะพยายามทำให้ดีที่สุดคือเปนคนดีค่ะ
    ขอพระองค์ทรงพระเจริญ มีพลานามัยแข็งแรงอยู่กับปวงชนชาวไทยไปนาน ๆ
    รักในหลวงที่สุดค่ะ
    Thanks Siambrandname Webmaster ขอบคุณ ผู้โพสต์ข้อความนี้
    Like Karen C, IAm ถูกใจ ข้อความนี้ ที่สุด

  4. #4
    iDnOuSe4's Avatar
    iDnOuSe4 is offline Trusted Member
    Join Date
    Sep 2010
    Location
    Nontaburi
    Posts
    1,250
    Blog Entries
    6
    ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
    ชวนเพื่อนใส่ลิ้ง เปิดโลก SBNTown ในลายเซ็นเพื่อแนะนำเพื่อนๆ ในการใช้เครื่องมือของชุมชนให้มีทักษะเท่ากัน
    Thanks Siambrandname Webmaster ขอบคุณ ผู้โพสต์ข้อความนี้

  5. #5
    karnpitcha is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    1
    ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
    Like Karen C ถูกใจ ข้อความนี้ ที่สุด

  6. #6
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    8

    Red face

    ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ

  7. #7
    LoVeLy~PrEtTy~Me is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    1
    ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน เป็นมิ่งขวัญของชาวไทยตลอดไปค่ะ ^^

  8. #8
    Join Date
    Jul 2011
    Posts
    541
    Blog Entries
    37
    "The music for my sand story was written by His Majesty the King himself. This music is really beautiful and inspiring. His Majesty is trully a genious person!"

    Kseniya Simonova



    งานทั้งหมดที่เกิดขึ้น ในคลิปวีดีโอศิลปะนี้ เกิดขึ้นจากจิตใจที่รับผิดชอบของคนเพียงคนเดียว

    ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

  9. #9
    Join Date
    Jul 2012
    Posts
    6

  10. #10
    Join Date
    Jul 2011
    Posts
    541
    Blog Entries
    37

    จดหมายเปิดผนึกของผมครับ ผศ.นพ.ภากร จันทนมัฎฐะ


    ขอนำบทความที่เขียนถึงงานของพระองค์ท่านมาเผยแพร่

    วันนี้ วันที่ ๑๒ สิงหา วันแม่แห่งชาติ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
    ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุ​ณ ที่ทรงเมตตาต่อพสกนิกรตลอดม​า

    ข้าพเจ้าเป็นเพียงอาจารย์แพทย์โรคหัวใจซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในรพ.รามาธิบดี

    เมื่อหลายปีก่อน ข้าพเจ้าได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถให้เป็นแพทย์ติดตามเสด็จ และนับเป็นจุดเริ่มต้นของประสบการณ์ชีวิตที่ดีที่สุดของข้าพเจ้า

    ครั้งแรกที่ได้รับใช้เบื้องพระยุคลบาทนั้น ข้าพเจ้า ทั้งตื่นเต้น ทั้งกังวล แต่ด้วยพระจริยวัตรที่งดงามและเป็นกันเอง ทำให้ข้าพเจ้าคลายความประหม่าและความกังวลลงไปได้ แม้หลายครั้งจะเหน็ดเหนื่อยจากภารกิจ แต่ข้าพเจ้าอดคิดไม่ได้ว่า เป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ความงดงามของการมองชีวิตจากพระองค์ท่าน

    ก่อนหน้านี้ เมื่อข้าพเจ้าดูข่าวในราชสำนักโทรทัศน์มักถ่ายทอดโครงการต่างๆของท่านและจบแต่เพียงเท่านั้นแต่สำหรับข้าพเจ้าแล้วส่วนที่ดีที่สุดเริ่มต้นหลังจากนั้น นั่นคือ ช่วงเวลาที่พระองค์ท่านประทับอยู่กับราษฎรหลังจากทรงตรวจเยี่ยมโครงการต่างๆเสร็จแล้ว เพื่อมอบความช่วยเหลือให้แก่ประชาชนของพระองค์ ข้าพเจ้าได้เห็นสมเด็จพระราชินีประทับนั่งพับเพียบกับพื้นและไถ่ถามราษฎรถึงความทุกข์ยากของเขาเหล่านั้นด้วยพระองค์เองทั้งที่พระชนมายุเพียงนี้แล้วแต่หลายครั้งที่พระองค์ทรงงานนานถึง 6 ชั่วโมงโดยมิได้ลุกเลยเพื่อให้การดูแลผู้ยากไร้อย่างดีที่สุด

    ครั้งหนึ่งข้าพเจ้านั่งใกล้พระองค์ท่านจนได้ยินการสนทนา และทราบว่าหญิงชาวบ้านผู้มาเข้าเฝ้านั้นมีความทุกข์เรื่องหนี้สินสามีจากเธอไปและทิ้งเธอให้เผชิญหนี้สินตามลำพังพร้อมด้วยลูกเล็กๆอีก 2 คนข้าพเจ้ามองเห็นว่าความทุกข์ยากแห่งชีวิตได้ฝากริ้วรอยไว้บนใบหน้าของเธอมากเพียงใดในแววตามีแต่ความสิ้นหวังและลูกๆปราศจากความเบิกบานอย่างที่เด็กๆ ควรจะมี เมื่อรับสั่งถามว่าเป็นหนี้เท่าไร เธอผู้นั้นไม่ยอมตอบเพียงแต่ทูลว่าหนี้นั้นมากมายเหลือเกินและข้าพเจ้าได้ยินสมเด็จพระราชินีรับสั่งว่า “ไปบอกเจ้าหนี้นะคะว่าพระราชินีจะใช้หนี้ให้” ข้าพเจ้าถึงกับน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว

    ผู้สูงศักดิ์ที่สุดของแผ่นดินประทับอยู่ท่ามกลางชาวบ้านยากไร้ทรงมอบความรักความช่วยเหลือให้เด็กๆจะได้รับขนมแจก, ผู้ป่วยจะมีแพทย์ดูแล,ผู้สูงอายุจะได้รับแว่นสายตา,ผู้ยากไร้จะได้รับพระราชทานความช่วยเหลือเรื่องทุนรอนไม่มีผู้ใดที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือข้าพเจ้าเคยสงสัยว่า ต้องใช้พระราชทรัพย์มากเพียงใดเพราะทุกครั้งที่ราษฎรนำผลผลิตของตนมาก็ได้รับคำตอบว่า พระราชินีรับซื้อทั้งหมดค่ะ

    ข้าพเจ้าพบว่าพระองค์ต้องใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์และเงินที่มีผู้ทูลเกล้าฯถวายเข้ามูลนิธิศิลปาชีพหลายล้านบาทต่อวันช่วยเหลือผู้คนที่สังคมส่วนใหญ่พากันลืมเลือนผู้คนที่ไม่มีโอกาส สิ่งที่ข้าพเจ้าได้เห็น คือ สมเด็จพระราชินีได้คืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ให้แก่คนยากไร้ที่มิได้รับความใส่ใจจากผู้ใด ข้าพเจ้าเชื่อว่าในสายพระเนตรของพระองค์ผู้ที่ยากไร้ก็เป็นคนไทยที่พระองค์ทรงรักข้าพเจ้าเสียดายที่หลายครั้งโทรทัศน์ไม่อาจถ่ายทอดความรักความเอื้ออาทรของพระองค์ได้

    ครั้งหนึ่งสมเด็จพระราชินีเสด็จไปหมู่บ้านห่างไกลติดชายแดนพม่าข้าพเจ้าอดสงสัยไม่ได้ว่า ณ.หมู่บ้านไม่กี่ครัวเรือนแห่งนี้ ทำไมต้องเสด็จมาด้วยและข้าพเจ้าก็ได้รับคำตอบว่า หมู่บ้านแห่งนี้เป็นเส้นทางลำเลียงยาเสพติดจากพม่าเข้าสู่ไทย การให้ชาวบ้านมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจะช่วยลดปัญหายาเสพติดให้แก่ลูกหลานไทยและยังช่วยอนุรักษ์ป่าต้นน้ำอีกด้วย ข้าพเจ้าจึงได้ตระหนักถึงพระมหากรุณาธิคุณทางอ้อมอันยิ่งใหญ่ต่อข้าพเจ้าเองและปวงชนชาวไทย

    ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเห็นผลงานศิลปหัตถกรรมต่างๆและรู้สึกทึ่งในความวิจิตรงดงามเมื่อสอบถามว่าเป็นผลงานของผู้ใดก็ได้รับคำตอบว่าเป็นของชาวบ้านชาวเขาซึ่งไร้การศึกษา ในตอนแรกข้าพเจ้าเองไม่เชื่อแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงได้ สมเด็จพระนางเจ้าฯได้สอนเรื่องยิ่งใหญ่ให้แก่ข้าพเจ้านั่นคือความเชื่อมั่นในศักยภาพของมนุษย์พระองค์ทรงใช้ความอดทนค่อยๆสอนจากชาวบ้านที่ไม่มีความรู้ใดๆสามารถสร้างงานศิลป์ที่คนไทยทั่วประเทศต้องภาคภูมิใจ

    ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นครูแพทย์สมเด็จพระราชินีได้ปลูกฝังให้ข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะศรัทธาในศักยภาพของผู้คนเมื่อคราวเสด็จไปเยี่ยมราษฎรในหมู่บ้านทุรกันดารมีคุณลุงท่านหนึ่งมาขอรับพระราชทานความช่วยเหลือพวกเราที่เป็นแพทย์จำได้ว่าคุณลุงท่านนี้ตามมา 2-3แห่งแล้วและขอรับพระราชทานความช่วยเหลือทุกครั้งแพทย์ท่านหนึ่งจึงกล่าวตำหนิไปแต่สมเด็จพระราชินีทรงได้ยินและรับสั่งว่า “อย่าไปว่าเขาเลยค่ะคุณหมอเพราะเขาจนจึงได้ทำแบบนี้”

    หลายครั้งที่พระองค์ท่านทรงประสบเหตุการณ์ในทำนองนี้แต่พระองค์ยังเชื่อมั่นในส่วนดีของผู้คนเสมอ ข้าพเจ้าเห็นว่าทุกครั้งที่ประทับอยู่ท่ามกลางราษฎรที่ยากไร้มีปัญหาต่างๆมากมายมาให้ทรงแก้ไขแต่สมเด็จพระราชินีทรงมีพระพักตร์ที่เปี่ยมด้วยความสุขเสมอแม้จะทรงงานหลายชั่วโมงต่อเนื่องโดยมิได้พักพระองค์มิได้มีท่าทีเหนื่อยหน่ายพระองค์ทรงจำได้แม้แต่ผู้ป่วยเล็กน้อยสักคนและมักตรัสถามแพทย์ถึงอาการผู้ป่วยในพระบรมราชานุเคราะห์ด้วยความห่วงใยเสมอข้าพเจ้าพบว่าแม้คนที่ดูเล็กน้อยในสายตาของชาวโลกมีค่าเสมอในสายพระเนตรของพระองค์

    นี่เป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยที่ข้าพเจ้าประทับใจในพระองค์ท่านชาวโลกต่างรู้ดีว่า ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์และพระราชินีที่ประเสริฐที่สุดในโลก แต่น่าเสียดาย...เสียดายที่คนไทยส่วนหนึ่งมองไม่เห็นแม้แต่บางคนในรามาธิบดีเองกลับไม่ตระหนักว่าเรามีอาชีพ มีเงินเดือนมีเกียรติ เพราะเราทำงานในรามาธิบดีทำงานภายใต้พระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ท่านหลายคนถูกปลุกปั่นให้เชื่อในหลักการของทุนสามานย์ถูกกระแสสังคมครอบงำความคิดเรื่องทุนนิยมเห็นค่าดัชนีตลาดหุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ สำคัญกว่าความถูกต้อง ความเป็นธรรม และจริยธรรม

    สำหรับข้าพเจ้าแล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถทรงเป็นพระเจ้าที่ทรงพระชนม์อยู่ท่ามกลางพวกเราพระองค์ทรงเปี่ยมด้วยความรักความเมตตา หากคนไทยไม่สนใจสิ่งที่พระองค์ทรงสอนและกระทำเป็นแบบอย่างหากสังคมไทยยังคงปล่อยปละให้ผู้คนดูหมิ่นจาบจ้วงพระองค์โดยไม่ทำอะไรและยังคงปลูกฝังระบบทุนนิยมสามานย์ให้แก่ลูกหลานของเราจุดจบของประเทศไทย คงไม่พ้นช่วงชีวิตของเรา
    ผศ.นพ.ภากร จันทนมัฎฐะ
    หน่วยโรคหัวใจ ภาควิชาอายุรศาสตร์ รพ.รามาธิบดี


    บทความโดย ผศ.นพ.ภากร จันทนมัฎฐะ

    ขอบคุณข้อมูลและภาพจากลิงค์

    Last edited by yourfwd; 08-12-2012 at 11:49 AM.

Page 1 of 3 1 2 3 LastLast

Tags for this Thread

Posting Permissions

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •