ขอขอบคุณ wm ที่เีขียนบทความ ที่มีประโยชน์อย่างนี้ ให้เราได้เรียนรู้
ผมไม่เคยเจอเวบไหน ที่ให้พื้นที่ ใช้ชีวิตและทำมาหากิน แล้ว ยังสอนให้รู้จัก การทำมาหากินที่ถูกต้อง
และยังสามารถ ทำมาหากิน สู่ การ สร้าง องค์กรธุรกิจ ได้ต่อไป


ผมเคยพูดคุยกับเจ้าของร้านอาหารเสริมรายนึงในห้าง ซึ่งเป็นที่รู้กันอยู่แล้ว ในการค้าขายสินค้าประเภทนี้
คือ มีทั้ง สินค้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็คือ สินค้าที่ อย. กับ สินค้าไม่มี อย. ซึ่งผิดกฎหมาย


ตามความเข้าใจของผม คือ สินค้ากลุ่มนี้ จำเป็นต้องควบคุม ปริมาณสารอาหารที่จำเป็นต้องควบคุม
เพราะหากได้รับเกินขนาด อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต ถึงแก่ความตายได้
ซึ่งมีข่าวปรากฏ ออกมาให้เห็นอยู่บ้าง

ดังนั้น การต้องกำกับสินค้าประเภทนี้ ให้ต้องจด อย. จึงเป็นสิ่งจำเ็ป็นอย่างยิ่ง
เพื่อช่วยป้องกันอันตรายให้กับประชาชนเป็นเบื้องต้น ก่อนสินค้าจะวางจำหน่าย
หาก เขาซื้อสินค้าเราซึ่งไม่มี อย. กิน แล้ว "ตาย" เราจะรับผิดชอบ ไหว หรือครับ ?

หลายคน อาจบอกว่า กินแล้ว ไม่ตาย ก็มี อันนี้ก็จริงครับ มีจริงครับ คนที่ กินสินค้าไม่มี อย. แล้วไม่ตาย
แต่ ประเด็นสำคัญ อยู่ที่ หากคนๆนั้น ใครก็ตาม กิน แล้ว "ตาย"
เพราะิกินสินค้าที่ไม่มี อย. จากเรา เราจะรับผิดชอบ ไหวไหม ?
หากเรารู้ว่า เรารับผิดชอบไม่ไหว แล้วอะไรล่ะ ที่เรารับผิดชอบไหว ?

เราก็ขาย สินค้าที่มี อย. ซิครับ นี่คือ สิ่งที่เรารับผิดชอบไหว เพราะไม่ผิดกฎหมาย
หากเกิดปัญหาขึ้น อย. ก็ออกมารับรอง แทนเรา ให้แล้วว่า ไม่มีปัญหา จึงให้ตราประทับ ให้ขายได้
หากมีคนกิน สินค้าที่มี อย. แล้ว "ตาย" จริง อย. ก็รับผิดชอบ
นี่คือ ความรับผิดชอบของ อย.
(ดูข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับ อย. ได้ที่ลิงก์ด้านล่างโพสต์นี้ครับ)

ดังนั้น สิ่งที่เราควรรับผิดชอบให้ได้ ก็คือ บอกความจริงทั้งหมดเท่าที่เรารู้ เกี่ยวกับสินค้าชิ้นนั้น
หาก สินค้าชิ้นนั้น มีโอกาสเกิดอันตรายตอนไหน เราก็ควรบอกเขาให้หมด
เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจเองว่า ควร หรือ ไม่ควร ซื้อสินค้าชิ้นนี้

แต่ เจ้าของร้านทั้งหลายที่ขายสินค้าที่ไม่มี อย. มักบอกว่า หากไม่ขายสินค้าไม่มี อย. แล้วจะเอารายได้มาจากไหน
ใช่ครับ รายได้ส่วนใหญ่ มาจากสินค้าไม่มี อย. เพราะในสินค้าที่ วัตถุดิบ และ ต้นทุนผลิตเท่ากัน
สินค้าที่มี อย. ต้องทำเรื่องขอ อย. ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น
ทำให้ ต้นทุนเพิ่มขึ้น กว่า สินค้าที่ไม่มี อย. ทำให้ ต้องขายราคาสูงกว่า

และที่เลวร้ายกว่านั้น ผู้ผลิตสินค้าไม่มี อย. ใส่วัตถุดิบบางตัว สารเคมีบางตัว เกินกว่าปริมาณที่ อย.กำหนด
เพราะยิ่งใส่มาก ยิ่งให้ได้ผลไวขึ้น ยังไงก็ไม่ผ่าน อย.แน่
และผู้บริโภคเองก็ต้องการเห็นผลไว จึงซื้อสินค้า ไม่มี อย. ไปใช้ แต่ "ตาย" ไวด้วยเช่นกัน
(ข้อนี้คง ลืม กันไปแล้ว ว่า เราทุกคน "ตาย" ได้)


ดังนั้น เราจึงควรเลือกว่า เราจะทำผิดกฏหมายต่อไป ?
หากมีลูกค้าซื้อสินค้าไม่มี อย. นั้นจากเรา กิน แล้ว "ตาย" เราจะไม่สนใจที่จะรับผิดชอบ ก็คงห้ามหรือบังคับอะไรไม่ได้
และหากตัดสินใจเช่นนี้ ก็เท่ากับ มีลูกค้าที่ต้องเสี่ยง กิน แล้ว "ตาย" จากสินค้าที่ไม่มี อย. ที่เราขายต่อไป

หรือ เราเลือก ทำให้ ถูกต้องตามกฎหมาย ?
"เคารพต่อข้อตกลงในการอาศัยอยู่ร่วมกัน" ตามที่ wm เขียนในบทความนี้

รายได้ที่เคยได้จากสินค้าที่ไม่มี อย. ลดลง จริง
แต่ หากเรายืนหยัดกับลูกค้าของเราได้อย่างชัดเจน กิน สินค้าที่มี อย. ดีต่อชีวิตเขาอย่างไร ปลอดภัยอย่างไร
ผมเชื่อจริงๆ ว่า คุณสามารถทำมาหากินต่อไปได้


และจากตัวอย่าง ร้านอาหารเสริมร้านหนึ่ง ที่ผมคุยด้วย
เริ่มต้น เขาขายสินค้าไม่มี อย.ด้วย รายได้เขาประมาณ 3 แสนบาทต่อเดือน

แต่ หลังจากที่เขาเข้าใจ รู้สึกและยอมรับแล้วว่า
เขาไม่อยากเป็นคนหนึ่งที่มีส่วนให้ ลูกค้าเขา กิน แล้ว "ตาย" ซึ่งเขายอมรับว่า "รับผิดชอบไม่ไหว"
และ การขายสินค้าที่ไม่มี อย. เป็นการ "ไม่เคารพต่อข้อตกลงในการอาศัยอยู่ร่วมกัน"
ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย จะทำให้เขาไม่สามารถทำมาหากินต่อไปได้

เขาจึงเลือกที่จะเอา สินค้าที่ไม่มี อย. ออกจากร้าน และ ขายสินค้าที่มี อย. ที่ไม่ปลอม อย. ด้วย
และเขาบอกความจริงเท่าที่เขามีความรู้ในสินค้านั้น กับ ลูกค้า
รายได้ต่อเดือน ทุกวันนี้ ประมาณ 2 แสนบาทต่อเดือน
เขาก็ยังอยู่ได้ ยอมละรายได้ลงบ้าง เพราะไม่อยากให้ใครตาย


ดังนั้น ผมเชื่อว่า หากผู้ขายทำการค้าอย่าง "สุจริตใจ" ด้วย หัวใจ ไม่ใช่ ทำเหมือน สุจริตใจ
และ "เคารพต่อข้อตกลงในการอาศัยอยู่ร่วมกัน"
ตามที่ wm ได้เีขียนบทความมาให้ได้เรียนรู้กันแล้ว
ผู้ขายสามารถทำมาหากินต่อไปได้ และมีลูกค้าที่ยินดีซื้อสินค้า และใช้บริการมากขึ้น แข็งแรงและมั่นคง ได้อย่างแท้จริง

ขอบคุณครับ


----------------------------------------------------------------
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ อย.

- สามารถเข้าไปดู วิสัยทัศน์ของ อย. ได้ที่นี่ครับ
- ขออนุญาต อย.