จากที่เพื่อนๆ สรุปไว้ ด้านใต้นี้ ขออนุญาตนำมาแปะตรงนี้ ให้ได้ทราบทั่วกัน
จากบทความที่ได้อ่านสรุปเป็น 6 ประเด็นได้ว่า
1. มีโอกาสไอเป็นเลือดเพราะว่า
เพราะ "สิ่งที่เราเรียกว่า ฝุ่น" นั้น มันไม่ใช่ "ฝุ่น" แบบที่เราๆ เคยรู้จักกันเช่นในสมัยอดีต แต่ มันเป็น โลหะ หนัก และ ที่สำคัญ ที่สุด สำหรับ โลหะหนัก ที่เราตรวจพบ ใน "ฝุ่น" ที่เราเรียกกันในกรุงเทพนั้น ส่วนใหญ่ ประกอบด้วยโลหะ "แคดเมียม" และแคดเมียมที่เกินนั้น เกินระดับที่เรียกว่าอันตรายเกือบ ถึง 5 เท่า ซึ่งถือว่า สูงมาก และ อันตรายมาก
2. อันตรายขนาดไหน
แค่พิจารณาแค่ตัวโลหะหนักตัวปัญหา ตัวเดียวที่ เจอว่า สูงเกือบ 5 เท่า ซึ่งก็คือแคดเมียม มาพิจารณาผลกระทบต่อชีวิต พบว่า มีโอกาส สร้างปัญหาสุขภาพมากกว่าแค่ ไอเป็นเลือด เพราะสูงสุดของการรับโลหะหนักชนิดนี้เข้าไปในร่างกายเกินกำหนดนั้น จะก่อให้เกิดโรคร้ายแรงถึงชีวิต ซึ่งแล้วแต่ว่าได้รับสารทางใด และ ระบบใดในร่างกายผู้นั้นอ่อนแอสุด ผลกระทบสูงสุดถึงตาย เพราะร่างกายมนุษย์ไม่สามารถขับ โลหะหนัก ออกได้เอง
3. หายนะที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต
ความน่ากลัวสูงสุดสูงสุดที่เกิดนั้น จบด้วยชีวิต ไม่ใช่แค่เป็นการประมาณการณ์ ทางวิทยาศาสตร์ แต่หากเป็นร่องรอย หายนะ สูงสุดที่ บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์โลกให้ เราได้เรียนรู้ ได้ศึกษา อย่างโรคที่ชื่อว่า "อิไต อิไต" (แคดเมี่ยมรั่วไหล)ที่เคยเกิดขึ้นกับ #คนญี่ปุ่น เป็นโรคที่มีความเจ็บปวด ทรมานมากๆ จนต้องร้องครวญคราง อิไต อิไต (ปวด ปวด) นี้คือเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริงแล้วในอดีต
4. หายนะที่กำลังจะมีโอกาสเกิดขึ้นกับเรา
มีผลงานวิจัยแจ้งว่า เด็ก ที่อายุไม่ถึง 20 ปี ได้รับพิษนี้มากๆ แทนที่ปอดจะได้เจริญเติบโตเต็มที่ (ปอดของคนจะโตเต็มที่ได้ถึงอายุ 20 ปี) กลายเป็นว่า ปอดต้องหายไป ไม่โตเต็มที่ตามวัย และยังเป็นต้นเหตุของ มะเร็งปอด และ ส่งผลกระทบต่อเด็กในท้อง
และจริงๆ แล้ว บางงานวิจัย ระดับระบุ ว่า "ถึงแม้ไม่ท้องตอนนี้ ก็ ส่งผล ต่อเด็กที่จะเกิดในอนาคตได้ หากแม่ได้รับโลหะหนักมากไป เพราะไปส่งผล ต่อ ยีนที่ทำงานระดับพันธุกรรม"
5. หายนะเหล่านั้นเคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต กำลังมาถึงเราในปัจจุบัน เราจะออกจากหายนะนั้นได้อย่างไร
หากเราสามารถช่วยกันป้องกันสาเหตุการเกิดฝุ่นพิษ เช่น ลดการเผาไหม้ในอุตสาหกรรมหรือการปลูกต้นไม้เพิ่ม เป็นสิ่งพื้นฐานที่ควร "ต้องทำ" เพื่อช่วยกัน ลด และ ป้องกัน ฝุุ่นพิษนี้
และนอกจากป้องกัน "ฝุ่นพิษโลหะหนัก" โดยตรง ไม่ให้ สัมผัส หรือเข้าสู่ร่างกายเราแล้ว (ซึ่งทำได้ยากเหลือเกิน ในที่ที่มีฝุ่นพิษอยู่ทุกที่)
คือการนำโลหะหนักออกจากร่างกาย ซึ่งโดยร่างกายของมนูษย์ ไม่สามารถเอาโลหะหนักออกจากร่างกายเราเองได้ แต่ตามประวัติศาสตร์ ที่ได้ มีการศึกษา ใช้งาน และบันทึกไว้แล้ว ในการเอาชนะหายนะ จากโรค "อิไต อิไต" (แคดเมี่ยมรั่วไหล) ได้นั้น มนุษย์ อย่างเราใช้พืชที่ ชื่อว่า "คลอเรลล่า" ช่วยเราในการเอาโลหะหนัก ที่หลงเข้ามาสู่ร่างกายเราแล้วออกเองไม่ได้
แต่ก็จงระวังคลอเรลล่าที่ปนเปื้อน เพราะ คลอเรลล่านั้นเป็นพืชที่สามารถดูดซับโลหะหนักอันเป็นพิษจากสิ่งแวดล้อมที่คลอเรลล่าอาศัยอยู่ ดังนั้น หากสถานที่ผลิต อาหารที่ใช้ สิ่งแวดล้อมที่เติบโต ปนเปื้อนแม้เพียงนิดเดียว คลอเรลล่านั้นจะนำพิษมาเก็บไว้ในเซลล์แทน
กินไปกินมา จะกลายเป็นได้พิษแทนหากไปเจอยี่ห้อที่ไม่ปลอดภัยจริง
ในบทความแนะนำว่า ให้กินคลอเรลล่ายี่ห้อเฟบิโก้ ตามเหตุผลในลิงค์นี้ https://goo.gl/kSR4Bw
6. สุดท้าย สำหรับคนที่อ่านแล้วยังงง ลังเลสงสัย ว่า แค่ "ฝุ่นที่เป็น โลหะหนักขนาดเล็ก" มันจะอะไรกันหนักกันหนา
ทางผู้เขียนบทความได้เปรียบเปรยไว้แล้วว่า
"ถ้านึกถึงภัยของโลหะหนักขนาดเล็กไม่ออก ให้เปรียบเปรยถึง เหยื่อสงครามระเบิดนิวเคลียร์ กลุ่มที่โดนแค่การปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสี หรือ ชาวเวียตนามที่โดนฝนเหลืองแบบผิวๆ แต่เลือดออกจากอวัยวะต่างๆของร่างกาย เสียหายไปทุกระบบ ไปจนถึงพิกลพิการกันข้ามเจนเนอเรชั่น
ความน่ากลัวที่เหมือนกันคือ มองไม่เห็น สัมผัสแต่น้อย พิษภัยซึมลึก และ ยาวนาน"
สรุปได้เท่านี้ สงสัย อะไรเพิ่มเติมคิดว่าค้นในอินเตอร์น่าจะได้คำตอบที่มากพอสำหรับการรับมือเรื่องนี้ได้ โดยไม่ต้องประมาทหรือวิตกกลัวจน ไม่สามารถ หาอะไรที่เราทำและพึ่งตนเองให้รอดพ้นช่วงสถานการณ์ดังกล่าวได้เลย
--------------------------------------------------------------
ขอบคุณการสรุปของ คุณ Thevending Wikilala