Previous
Next
Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
Results 1 to 9 of 9

Thread: 7 สัญญาณ ที่บ่งบอกว่า ร่างกายเราได้รับสารพิษมามากเกินพอ

Hybrid View

  1. #1
    Join Date
    Jun 2010
    Posts
    336

    Re: 7 สัญญาณ ที่บ่งบอกว่า ร่างกายเราได้รับสารพิษมามากเกินพอ

    บทความดีมากเลยครับ เท่าที่ตรวจสอบดู น่าจะเป็นคนหนึ่งที่พิษเกินด้วย เพราะรู้สึกอยากกาแฟ กับ น้ำอัดลม แต่ไม่เคยรู้ ว่าเป็นอาการของการสะสมพิษ

    สงสัยต้อง หาทางดูแลตัวเอง เรื่องการสะสมพิษแล้วครับ
    ชวนเพื่อนใส่ลิ้ง เปิดโลก SBNTown ใน sign เพื่อแนะนำเพื่อนๆ ในการใช้เครื่องมือของชุมชนให้มีทักษะเท่ากัน
    Thanks iDnOuSe4 ขอบคุณ ผู้โพสต์ข้อความนี้
    Like iDnOuSe4 ถูกใจ ข้อความนี้ ที่สุด

  2. #2
    iDnOuSe4's Avatar
    iDnOuSe4 is offline Trusted Member
    Join Date
    Sep 2010
    Location
    Nontaburi
    Posts
    1,250
    Blog Entries
    6

    สถิติชี้ชัด สารพิษใกล้ตัวจริง

    สารพิษใกล้ตัวจริง จากสถิติ และบทความ จากนักวิจัย ที่น่าเชื่อถือ ดังต่อไปนี้


    (ขอบคุณรูปภาพจาก http://www.thaipan.org/sites/default...ntitled-72.PNG)

    เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thailand Pesticide Alert Network: Thai-PAN) แถลงผลการเฝ้าระวังการตรวจสารเคมีกำจัดศัตรูพืชปนเปื้อนในผักที่คนไทยนิยมบริโภคมากที่สุด 10 ชนิด ประกอบไปด้วยคะน้า ผักกาดขาว กะหล่ำปลี แตงกวา ถั่วฝักยาว มะเขือเปราะพริกแดงกะเพรา กวางตุ้ง และผักบุ้งจีน โดยเก็บตัวอย่างผักจากโมเดิร์นเทรด ซึ่งประกอบไปด้วยห้างเทสโก บิ๊กซี แมคโคร และผักที่มีตราเครื่องหมาย Q รับรอง และจากตลาดสดจำนวน 4 แห่ง ได้แก่ตลาดไท ปากคลองตลาด สี่มุมเมือง และตลาดบางใหญ่ ปรากฏว่าพบโดยภาพรวมมีผักที่มีสารเคมีตกค้างเกินมาตรฐาน (ค่าเอ็มอาร์แอล) ของกระทรวงสาธารณสุขสูงถึง 22.5%

    จากการตรวจสอบพบว่า ผักที่พบการปนเปื้อนมากที่สุดคือกะเพรา พบว่าสารพิษเกินมาตรฐานถึง 62.5% ถั่วฝักยาวและคะน้าพบ 32.5% ผักบุ้งจีน กวางตุ้ง และมะเขือเปราะพบตกค้าง 25% แตงกวาและพริกแดงพบค่อนข้างน้อยคือ 12.5% ส่วนผักกาดขาวปลี และกะหล่ำปลีไม่พบการตกค้างเลย

    จากบทความเรื่อง ไทยแพนพบสารพิษตกค้างในผักเกินมาตรฐานถึง 22.5% กะเพราเจอหนักสุด 62.5%


    (ขอบคุณรูปภาพจาก http://www.thaipan.org/sites/default...?itok=ePg3mA3S)

    ศ.สมพนธ์ วรรณวิมลรักษ์และคณะ มหาวิทยาลัยมหิดล สำรวจผักคะน้า 117 ตัวอย่างใน 12 ตลาดที่จังหวัดนครปฐม พบว่ามีสารพิษตกค้างเกินมาตรฐาน 29.1% ในบรรดาสารพิษที่พบเกินมาตรฐานมากที่สุด 6 อันดับแรก มีคาร์โบฟูราน ซึ่งเป็นสารพิษร้ายแรงที่ไม่มีการอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนรวมอยู่ด้วย

    นักวิชาการคณะนี้ยังได้ทำการทดลองการล้างผักคะน้าด้วยวิธีการต่างๆ โดยพบว่าแต่ละวิธีการให้ผลในการล้างสารแต่ละชนิดได้ไม่เท่ากัน ตัวอย่างเช่นในสารโพรฟีโนฟอส การล้างด้วยด่างทับทิม น้ำส้มสายชู และโซเดียมไบคาร์บอเนตได้ผลน้อยมาก (ล้างออกได้ 20-40%) แต่ล้างด้วยน้ำไหล จะล้างออกได้ครึ่งหนึ่ง ในขณะที่สารไซเปอร์เมทริน สามารถล้างออกครึ่งหนึ่งด้วยน้ำส้มสายชู แต่ล้างไม่ออก(ล้างออกได้เพียง 10-20%)ด้วยด่างทับทิม โซเดียมไบคาร์บอเนต และน้ำไหล

    จากบทความเรื่อง 29.1% ผักคะน้ามีสารพิษตกค้างเกินมาตราฐานการล้างออกด้วยวิธีการที่เหมาะสมที่สุดยังล้างออกได้เพียงครึ่งเดียว
    Last edited by iDnOuSe4; 02-09-2016 at 01:03 PM.
    ชวนเพื่อนใส่ลิ้ง เปิดโลก SBNTown ในลายเซ็นเพื่อแนะนำเพื่อนๆ ในการใช้เครื่องมือของชุมชนให้มีทักษะเท่ากัน
    Thanks s ขอบคุณ ผู้โพสต์ข้อความนี้

  3. #3
    iDnOuSe4's Avatar
    iDnOuSe4 is offline Trusted Member
    Join Date
    Sep 2010
    Location
    Nontaburi
    Posts
    1,250
    Blog Entries
    6

    กลไกการกำจัดสารพิษ (elimination) ตามธรรมชาติของร่ายกายมนุษย์



    การกำจัดสารพิษ (elimination) การกำจัดสารพิษของร่างกายมี 2 แบบ

    1. สารพิษส่วนใหญ่จะถูก กำจัดแบบ first order คือ "อัตราการกำจัดสารพิษขึ้นอยู่กับความ เข้มข้นของสารพิษในเลือด" หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สารพิษออกจากร่างกายเป็น "สัดส่วน คงที่" ตัวอย่างเช่น ถ้าผู้ป่วยได้รับสารพิษเข้าไป 1000 หน่วยร่างกายสามารถกำจัดสารพิษได้ชั่วโมงละ 10% จำนวนสารพิษที่เหลืออยู่แต่ละ ชั่วโมงจะเท่ากับ 1000,900,810...

    2. ส่วนการกำจัดสารพิษแบบ zero order นั้นคือ "อัตราส่วนการกำจัดสารพิษไม่ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารพิษ" แต่สารพิษถูกกำจัดออกไปด้วย"ปริมาณคงที่" ในตัวอย่างเดียวกันสารพิษจะถูกกำจัดชั่วโมงละ 10 หน่วย สารพิษที่เหลืออยู่จะเท่ากับ 1000,990,980... สารพิษที่ถูกกำจัดแบบ zero order มีไม่มากนักได้แก่ alcohol, aspirin และ phenytoin สาเหตุที่เป็นแบบนี้เพราะสารพิษในร่างกายมีมากเกินกว่าที่เอ็นไซม์ของตับจะ ทำลายสารพิษได้จึงเกิดภาวะ saturation ของเอ็นไซม์นั้น


    (ขอบคุณรูปภาพจาก http://tmedweb.tulane.edu/pharmwiki/...tch.php/pk.png)

    ในร่างกายนั้นอวัยวะที่มีบทบาทสำคัญในการ กำจัดสารพิษได้แก่ ตับและไต สารพิษบางตัวจะถูกกำจัดออกโดยตับหรือไตอย่างหนึ่งอย่างใด แต่ส่วนใหญ่สารพิษจะถูกกำจัดออกมาทั้งสองทาง ตับจะเปลี่ยนสารพิษด้วยขบวนการแรกคือ redox reaction หลังจากนั้นจึงจะ conjugate ออกมาเป็นสาร polar ซึ่งถูกขับออกมาได้ง่าย ความสามารถของตับ ในทางกำจัดสารพิษขึ้นอยู่กับความสามารถของเอ็นไซม์ที่ทำลายสารพิษและปริมาณเลือดที่นำสารพิษสู่ตับ


    (ขอบคุณรูปภาพจาก https://s3.amazonaws.com/AFD/are-you...ned-out-wi.jpg)

    ส่วนสารพิษที่ถูกขับออกทางไตนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ คือ glomerular filtration rate สารพิษที่ถูกกรองออกมาจะต้องไม่จับกับ protein สารพิษที่ถูกดูดซึมกลับ (tubular reabsorption) เข้าไปในร่างกายนั้นจะต้องอยู่ในรูปไม่แตกตัว (unionized) ภาวะนี้จะขึ้นอยู่กับความเป็นกรดด่าง ของปัสสาวะและ pK ของยานั้นๆ นอกจากนี้ไตยังมีกลไก active transport ที่จะขับยาออกมาหรือดูดซึม ยากลับไปในไตได้ tubular secretion ในกลุ่มสารพิษที่เป็นกรดเหมือนกันหรือด่างเหมือนกันจะใช้ระบบ กำจัดสารพิษที่ tubule แบบเดียวกัน (organic acids or bases transport) ดังนั้นถ้ามีสารพิษที่เป็น กรดหรือด่างเหมือนกันสองชนิด อาจทำให้การขับสารพิษตัวหนึ่งตัวใดถูกรบกวนได้ half-life ของการกำจัดสารพิษเป็นตัวบ่งอัตราความเร็วในการกำจัดสารพิษคือ ระยะเวลาที่ปริมาณ สารพิษถูกขับถ่ายหรือทำลายไปครึ่งหนึ่ง ในทำนองเดียวกันกว่าที่ร่างกายจะกำจัดสารพิษได้หมด จะต้องใช้เวลา 3-5 half-lives ของการกำจัด สารพิษนั้น ส่วนปริมาณการกำจัดสารพิษขึ้นกับค่า clearance ซึ่งมีหน่วยเป็นปริมาตร ของเลือดต่อเวลาเช่น ลิตรต่อชั่วโมงเป็นต้น ค่า clearance มีความสำคัญในการบ่งถึงปริมาณการกำจัดสารพิษนั้นๆ ออกจากร่างกาย

    ขอบคุณบทความจาก พิษจลนศาสตร์และพิษพลศาสตร์
    ข้อมูลอ้างอิง ศูนย์พิษวิทยารามาธิบดี Ramathibodi Poison Center คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
    ชวนเพื่อนใส่ลิ้ง เปิดโลก SBNTown ในลายเซ็นเพื่อแนะนำเพื่อนๆ ในการใช้เครื่องมือของชุมชนให้มีทักษะเท่ากัน
    Thanks s ขอบคุณ ผู้โพสต์ข้อความนี้

  4. #4
    iDnOuSe4's Avatar
    iDnOuSe4 is offline Trusted Member
    Join Date
    Sep 2010
    Location
    Nontaburi
    Posts
    1,250
    Blog Entries
    6

    ทำไม กลไก ความสามารถในการกำจัดสารพิษ ของคอเรลล่า ที่ สมบูรณ์ และเหนือว่า "สิ่ง/สาร จาก ธรรมชาติ ใดใด จะทำเสมอเหมือนได้ ในยุคปัจจุบันนี้" และ คอเรลล่า ที่ไหนดีที่สุด

    ทำไม กลไก ความสามารถในการกำจัดสารพิษ ของคอเรลล่า ที่ สมบูรณ์ และเหนือว่า "สิ่ง/สาร จาก ธรรมชาติ ใดใด จะทำเสมอเหมือนได้ ในยุคปัจจุบันนี้" และ คอเรลล่า ที่ได้ดีที่สุด

    (ขอบคุณรูปภาพ จาก http://cdn.shopify.com/s/files/1/025..._large.jpg?922)

    คอเรลล่ากำเนิดในยุดกำเนิดโลกที่สิ่งแวดล้อม เป็นมลพิษสูงจากฝุ่งละอองโลหะหนัก จึงต้องวิวัฒนาการให้อยู่รอด
    โดยพัฒนาความสามารถให้ตัวเองป้องกันสารพิษ และ มีความสามารถกำจัดสารพิษด้วย

    ผนังเซลล์คอเรลล่ามีโปรตีนชนิดพิเศษ ที่มีฟังก์ชั่นจับสารพิษโดยเฉพาะ นั้นคือ สปอโรโพเลนิน (Sporopollenin)
    เปรียบเสมือนกาวที่ใช้ดักจับสารพิษรอบๆ ตัวมัน ทำให้รอบๆ ตัวมันมีสารพิษน้อยลง

    "Sporopollenin, a substance found on the chlorella's cell walls and a key player in toxin removal.
    Sporopollenin binds heavy metals, solvents, pesticides, and reliably prevents a retoxification in the intestine."
    ขอบคุณ ข้อความจากบทความ http://bit.ly/1gpZuqT

    และภายในคอเรลล่า ยังมี เมทัลโลไทโอนิน (Metalothionin) หรือกรดอะมิโมที่มีซัลเฟอร์เป็นส่วนประกอบ ที่มีความสามารถจับสารพิษ
    ประเภทโลหะหนักได้ตามธรรมชาติ

    "Metallothionein has been documented to bind a wide range of metals including cadmium,[8] zinc, mercury, copper, arsenic, silver, etc. Metallation of MT was previously reported to occur cooperatively but recent reports have provided strong evidence that metal-binding occurs via a sequential, noncooperative mechanism.[9] The observation of partially metallated MT
    (that is, having some free metal binding capacity) suggest that these species are biologically important."
    ขอบคุณ ข้อความจากบทความ Metallothionein http://bit.ly/1Lxdyrt

    ด้วย 2 กลไก ตามธรรมชาติ ที่ได้จากการวิวัฒนาการให้อยู่รอดให้ได้ ในยุดกำเนิดโลกนี้เอง ทำให้คอเรลล่า เป็นสิ่ง/สาร จากธรรมชาติ
    ที่มีความสามารถในการกำจัดสารพิษ ได้ดีที่สุด สมบูรณ์เหนือกว่า สิ่ง/สาร จากธรรมชาติ ใดๆ จะทำเสมอเหมือนได้ในยุดปัจจุบัน

    ความเชื่อมโยง ของกลไก ความสามารถในการกำจัดสารพิษของคอเรลล่า กับ กลไก ความสามารถในการกำจัดสารพิษออกจากร่ายกายของมนุษย์

    จากกระทู้ข้างต้น เรื่อง กลไกการกำจัดสารพิษ (elimination) ตามธรรมชาติของร่ายกายมนุษย์ พบว่า ความสามารถในการกำจัดสารพิษออกจากร่ายกาย ขึ้นกับ "ปริมาณสารพิษในร่ายกายและความสามารถในการทำลายสารพิษในร่ายกาย"

    หากรับประทานคอเรลล่า เข้าไปในร่ายกาย จะช่วยลดปริมาณสารพิษในร่ายกาย จากสปอโรโพเลนิน (Sporopollenin)
    และเพิ่มความสามารถในการทำลายสารพิษในร่ายกาย ด้วยการเพิ่ม เมทัลโลไทโอนิน (Metalothionin) ให้กับร่ายกายนั้นเอง


    (ขอบคุณที่มาจาก http://www.wildspring.com.au/uploads...07246_orig.jpg)

    ทำให้คอเรลล่าเป็นอาหารยอดนิยม ที่ทั่วโลกยอมรับ ไว้รับประทานเพื่อล้างสารพิษ เป็นประจำทุกวัน แต่ คอเรลล่าที่ไหนหล่ะ ถึงจะดีที่สุด??

    1.เลี้ยงในสิ่งแวดล้อมที่ไร้มลพิษ
    เนื่องภายในตัว คอเรลล่า สามารถดูดซับสารพิษไว้ในตัว จึงมีบางประเทศเลี้ยงคอเรลล่าบางสายพันธุ์ไว้ เพื่อบำบัดน้ำเสีย ดังนั้น หากเลี้ยงในสิ่งแวดล้อมที่เป็นมลพิษ นอกจากจะไม่ได้รับฟังก์ชั่นล้างพิษแล้ว ยังอาจจะได้รับสารพิษที่อยู่ในตัวคอเรลล่าเองด้วย

    2.เลี้ยงในน้ำแร่ธรรมชาติ
    เนื่องจากคอเรลล่าเกิดขึ้นในยุคที่สิ่งมีชีวิตต้องเอาตัวรอดในยุดกำเนิดโลก จึงมีความสามารถกับเก็บสารอาหารไว้กับตัวเองสูง ดังนั้นหากเลี้ยงในสิ่งแวดล้อมที่มีสารอาหารมาก เช่น น้ำแร่ จะทำให้คุณภาพคอเรลล่าสูงขึ้นด้วย

    3.เลี้ยงกลางแจ้ง
    คอเรลล่าสร้างสารทุติยภูมิที่มีฟังก์ชั่นล้างพิษ (คอเรลแลน/คอเรลลิน) จากสารอาหาร โดยจำเป็นต้องผ่านกระบวนการสังเคราะด้วยแสง ดั้งนั้น หากเลี้ยงในที่แจ้ง จะทำให้ได้คุณภาพคอเรลล่าที่สูงขึ้น

    3.มีปริมาณ CGF ที่สูง
    คอเรลล่า มีสาร CGF หนึ่งเดียว สารอาหารคุณภาพสูง ที่สกัดได้จากสาหร่ายคอเรลล่า หากที่ใดมีปริมาณ CFG ต่อหน่วยมากกว่า คุณภาพจะดีกว่า

    4.ผิวเซลล์ต้องแตก เพื่อให้ร่ายกายดูุดซึมได้มากขึ้น
    คอเรลล่ามีผนังเซลล์หนาถึง 3 ชั้น เพื่อป้องกันสารพิษ ในยุคกำเนิดโลก ดังนั้น ผลิตภัณฑ์จากคอเรลล่าที่ดี ต้องมีเทคโนโลยีที่ทำให้ผนังเซลล์ ของคอเรลล่าแตก เพื่อช่วยให้ร่ายกายเข้าไปดูดซึมสารอาหารได้มากขึ้น

    รักษาสุขภาพ เริ่มต้น ด้วยการ "ล้าง" ก่อน จึงค่อย "เสริม"
    ถ้าต้องการติดตามข้อมูลข่าวสาร ด้านสุขภาพ และ สาหร่ายชนิดนี้เพิ่ม สามารถกดติดตามได้ที่ เพจ O K I T E C ได้เลยครับ
    ชวนเพื่อนใส่ลิ้ง เปิดโลก SBNTown ในลายเซ็นเพื่อแนะนำเพื่อนๆ ในการใช้เครื่องมือของชุมชนให้มีทักษะเท่ากัน
    Thanks s ขอบคุณ ผู้โพสต์ข้อความนี้

  5. #5
    Join Date
    Aug 2015
    Posts
    20

    Re: 7 สัญญาณ ที่บ่งบอกว่า ร่างกายเราได้รับสารพิษมามากเกินพอ

    ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับ
    เว็บคาสิโนออนไลน์
    Thanks iDnOuSe4 ขอบคุณ ผู้โพสต์ข้อความนี้
    Like iDnOuSe4 ถูกใจ ข้อความนี้ ที่สุด

  6. #6
    s's Avatar
    s is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Location
    มีหัวใจ
    Posts
    3,120
    Blog Entries
    4

  7. #7
    iDnOuSe4's Avatar
    iDnOuSe4 is offline Trusted Member
    Join Date
    Sep 2010
    Location
    Nontaburi
    Posts
    1,250
    Blog Entries
    6

    #คลอเรลล่าและการทำลายสารพิษ

    #คลอเรลล่าและการทำลายสารพิษ

    สารพิษที่ร่างการกำจัดทิ้งนั้น อาจเป็นสารจากภายนอกร่างกาย เช่น ยาฆ่าแมลง หรือ อาจเป็นสารพิษภายในร่างกาย เช่น เมื่อลำใส้มีแบคทีเรียที่ผลิตสารพิษ หรือ จากการเผาผลาญในร่างกายขาดประสิทธิภาพ

    ความสามารถของคลอเรลล่าในการทำลายสารพิษ ขึ้นอยู่กับผนังเซลล์และสารที่ใช้ควบคู่กัน ผนังเซลล์ของคลอเรลล่ามี 3 ชั้น ซึ่งชั้นกลางซึ่งเป็นชั้นที่หนาที่สุดจะมีผนังเป้น microfibrils

    แอคคินสัน (Atkinson) และ คณะพบว่าชั้นภายนอกของผนังเซลล์ ซึ่งมีความหนา 14 nm (nanometer) มีความต้านทานการแตกตัวสูงและยงประกอบด้วยสารที่มีธารุประกอบเหมือนกับสารคาโรทีนอีกด้วย

    จากการวิเคราะห์ผนังเซลล์พบว่าประกอบด้วย โปรตีน 27% ไขมันไม่ละลายน้ำ 9.2% alpha-cellulose 15.4% henicellulose 31% glucosamine 3.3% และขี้เถ้า 5.2%(ประกอบด้วยเหล็กและแคลเซี่ยม)

    #สารพิษแคดเมียม

    คลอเรลล่าจะผนึกติดอยู่กับสารแคดเมียมอย่างเหนียวแน่นและจะไม่มีวันยอมให้สารแคดเมียมเข้าสู่ร่างกายได้ จากการทดลองโดยการให้คลอเรลล่าที่มีสารแคดเมียมแก่หนูเพื่อศึกษาว่าแคดเมียมจะถูกดูดซึมออกจากคลอเรลล่าแข้าสู่ร่างกายหรือไม่ ในระยะเวลา 10 วัน พบว่าหนูที่ได้รับคลอเรลลาและสารแคดเมียมไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด และยังพบด้วยว่าแคดเมียมไม่ถูกดูดซึมออกจากคลอเรลล่าเข้าสู่ร่างกายของหนูแม้แต่น้อย
    ฮากิโน (Hagino) และคณะสรุปผลการใช้คลอเรลล่าแก้พิษของแคดเซียมในคนไข้ที่เป็นโรค "Itai-itai" (สารแคดเมียมเป็นพิษ) ว่าช่วยเพิ่มกำจัดสารพิษออกจากร่างกายได้มากขึ้น
    ดอกเตอร์ฮิชิมูรา (Ichimura) พบว่าเมื่อให้คนไข้ที่ถูกสารแคดเมียมรับประทานคลอเรลล่า 8 กรัม ทุกวัน อาการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เมื่อให้คลอเรลล่าครบ 12 วัน แคดเมียมถูกขับออกจากร่างกายได้เพิ่มขึ้น 3 เท่า ครบ 24 วัน พบว่าในปัสสาวะมีสารแคดเมียมเพิ่มขึ้น 7 เท่า และ ความเจ็บปวดทรมานต่างๆ ก็ลดลงไปอย่างมาก
    คลอเรลล่าถูกนำมาใช้เพื่อช่วยคนที่ได้รับความทรมานจากสาร P.C.B. (Polychlorbiphenyl) ดร.ยูเรดะ (Ueda) แห่ง the Kitakyushu City Institute for Environmental Pollution Reserch ในประเทศญี่ปุ่น ให้คนไข้ที่ได้รับสาร P.C.B. จำนวน 30 คน รับประทานคลอเรลล่าวันละ 4-6 กรัม เป็นเวลา 1 ปี คนไข้เกือบทุกคนมีอาการดีขึ้น (เหนื่อยน้อยลงระบบย่อยอาหารดีขึ้น และ การทำงานของลำไส้ดีขึ้นมาก)
    นอกจาก P.C.B. แล้ว Chlordecone (Kepone) หรือ ยาฆ่าแมลงชนิดอันตรายมากก็ถูกนำมาศึกษาและพบว่าเมื่อทานคลอเรลล่าร่างกายขับพิษของมันออกได้เร็วว่าปกติ 2
    ดอกเตอร์พอร์ (PoreX แห่ง the school of Medicine,West Virginia University ได้ทดลองกับหนูก็พบว่าหนูสามารถขับสารพิษได้เร็วขึ้นและสามารถลดครึ่งชีวิต (half-life) ของสารพิษจาก 40 วัน ลดเหลือ 19 วัน พืชน้ำที่ใช้ในการทดลองลูกย่อยส่งผ่านเข้าสู่ทางเดินของกระเพาะอาหารและลำไส้ มันหยุดยั่งการหมุนเวียนพิษของยาฆ่าแมลงที่มีในลำใส้แล้วช่วยขจัดพิษออกมากับอุจจาระ จากทดลองในห้องปฏิบัติการนี้พบว่ามีสารช่วยดูดซึม 2 ชนิด คือ sporollenin (สารที่เกิดโดยธรรมชาติมีคุณสมบัติเหมือนคาโรทีน คือ ต่อต้านความเสื่ม) และผนังเซลล์ของพืชน้ำ คลอเรลล่าทั่วไปที่ไม่มีสาร sporopollenin จะเปลี่ยน half-life ของสารพิษจาก 40 วัน เป็น 32.7 วัน แสดงให้เห็นว่าสารอื่นของคลอเรลล่าที่ไม่มี sporopollenin ก็สามารถขจัดสารพิษได้เช่นกัน ผลิตภัณฑ์ คลอเรลล่าที่มีขายอยู่ทั่วไปถ้าเป็นชนิด pyrenoidosa จะมี sporopollenin รวมอยู่ด้วย
    สารพิษประเภทไฮโดรคาร์บอนไม่ว่าจะเป็นยาฆ่าแมลงชนิดใด ต่างมีผลต่อชุมชนมากเพราะมันเป็นสารเคมีที่เราต้องพบอยุ่เสมอ คลอเรลล่าจึงนับได้ว่ามีประโยชน์มากกว่าพืชสีเขียวชนิดอื่นอย่างเห็นได้ชัด
    ตัวอย่างการทดลองอีกอันหนึ่งที่แสดงให้เห็นผลของการใช้คลอเรลลาขจัดสารพิษก็คือเมื่อใส่สาร P.C.B. ตะกั่ว ทองแดง และ แคดเมียม เข้าไปในยีสต์ที่เพาะขึ้น (Brewer's yease culture) ปรากฏว่ายีสต์ตายหมด แต่เมื่อเติมคลอเรลล่าสกัดเขาไปในสารพิษ และใส่ในยิสต์ ปรากฏว่ายิสต์ยังมีชีวิตอยุ่ได้ คลอเรลล่ามีคุณสมบัติในการเก็บสารพิษจากสิ่งแวดล้อม (แม้ในร่างกายคน) ไว้ในตัวเอง นอกจากนี้ยังมีผู้พบว่าผนังเซลล์ของคลอเรลล่าสามารถดูดซึมธาตุยูเรเนี่ยม และตะกั่วได้ด้วย

    #สุขภาพของตับ

    ฟิงค์ (Fink) ศึกษาการใช้คลอเรลล่าเป็นอาหารของหนูและสรุว่า คลอเรล่าช่วยป้องกันการเป็นแผลเรื้อรังที่ตับในหนูได้ เขาเชื่อว่าสารที่ช่วยป้องกันตับคือ thioamine acid ไวตามิน ดี และ สารที่ไม่สามารถบ่งชี้ (factor 3 of Schwarz) ฟิงค์แนะนำว่าผู้ที่เป็นโรค Kwashiokor (โรคขาดโปรตีนรุนแรง) ควรได้รับโปรตีนสกัดจากคลอเรลล่าแทนโปรตีนจากนม
    คลอเรลล่ายังช่วยป้องกันตับจากสารพิษ ethionine ซึ่งมีอาการคล้ายคลึงกับตับที่เกิดจากการขาดสารอาหาร ในการทดลองโดยลดปริมาณไขมันและไวตามินในหนู และ ให้สาร ethionine ตับของหนู จะมีไขมันแทรก แต่เมื่อเติมคลอเรลล่า (5% ของอาหาร) หนูลดอาการตับบวมและหายเป็นปกติอย่ารวดเร็ว นอกจากนี้มีผู้พบว่าเมื่อใช้คลอเรลล่าระดับของสารประเภทไข่ขาว (albumin) จะเพิ่มสูงขึ้นและระดับของโปรตีนที่ไม่ละลายน้ำ (globulins) จะลดลงปรากฏการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นเมื่อตับทำงานเป็นปกติ

    #ภาวะเป็นพิาของลำใส้
    ลำไส้ที่ไม่แข็งแรงเป็นบ่อเกิดของโรคหลายชนิด
    ภาวะที่ลำไส้เป็นพิษยากที่จะตรวจวัดไว้ แต่ก็ยังสามารถทำได้โดยการดมกลิ่นลมหายใจ วิธีนี้พอจะบอกไว้ก่อนว่าคนๆ นั้น มีภาวะของลำไส้ปกติหรือไม่ แตวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผลเสมอไปเพราะยังมีอีกหลายสาเหตุที่ทำให้คนเรามีลมหายใจเหม็น การตรวจปัสสาวะเพื่อดู indican ก็เป็นวิธีหนึ่ง แต่สิ่งที่สำคัญและน่าสนใจก็คือ คลอเรลล่าสามารถช่วยปรับภาวะเป็นพิษของลำไส้เป็นปกติได้ภายใน 2-3 วันเท่านั้น

    #ทำไมคลอเรลล่าจึงช่วยปรับภาวะเป็นพิษของลำใส้ได้
    ดังได้กล่าวแล้วว่าคลอเรลล่ามีคลอโรฟิลจำนวนต่อกรัมมากกว่าพืชชนิดอื่นคลอโรฟิลถูกใช้ในการกำจัดกลิ่นมานานแล้ว ท่านคงจำหมากฝรั่งที่มีกรดคลอเรลริล (chloric) และที่ถ่ายของแมวที่มีคลอโรฟิลได้ไหม คลอโรฟิลยังใช้เป็นยาดับกลิ่นของรักแร้ และ ควบคุมกลิ่นปากอืกด้วย เป็นที่รู้กันทั่วไปในกลุ่มของคนทำงานในสถานพยาบาล สถานพักฟื้น โรงพยาบาล และ สถาบันประสาทว่าคลอโรฟิลช่วยควบคุมกลิ่นในคนไข้ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองในการขับถ่ายได้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1951 มาแล้วที่ไวน์การ์เทน และ เปสัน (Weingarten and Payson) พบว่า การใช้คลอโรฟิลชนิดน้ำช่วยดับกลิ่นของคนไข้ที่ได้รับการผ่าตัดลำใส้ใหญ่ได้
    ในปี คศ. 1944 สมิทธ์พบว่า คลอโรฟิลชนิดน้ำมีคุณสมบัติต่อต้านแบคทีเรียการวิจัยของเขาได้รับการสนับสนุนจาก Committee on Therapeutic Research of the Council of Pharmacy of the American Medical Association เขาสรุปว่าคลอโรฟิลสร้างสภาพแวดล้อมที่แบคทีเรียไม่ชอบอยู่ แทนที่จะทำลายแบคทีเรียโดยตรง ดังนั้นแบคทีเรียพวกที่ไม่ต้องการออกซิเจนทั้งหลายจึงหยุดการเจริญเติบโต ถ้าจะกล่าวอย่างสั้นๆ ก็คือ คลอโรฟิวนั้น ไม่ได้ฆ่าแบคทีเรีย แต่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้ถ้าอยู่ในสภาวะที่เหมาะสม
    นอกจากคลอโรฟิลจะมีผลต่อแบคทีเรียชนิดที่ไม่ต้องการออกซิเจนแล้ว ผนังเซลล์ของคลอเรลล่าก็ยังสามารถดูดซึมสารพิษในลำไส้ได้ และช่วยทำให้การบีบตัวของลำใส้ทำงานได้เป็นปกติ ลำใส้ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในลำใส้เล็ก) เรียงตัวต่อกันอยู่โดยมีแผ่นน้ำเหลืองยึด ซึ่งสามารถถูกกระตุ้นโดยผนังเซล์ของคลอเรลล่าให้เพิ่มการทำลายสิ่งที่เข้ามาแปลกปลอม เช่น แบคทีเรียพวกที่ไม่ต้องการออกซิเจน นอกจากนี้คลอเรลล่ายังช่วยกระตุ้นแบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อลำใส้ (lactobacillus) และ พวกที่ผลิตไวตามิน บี-12 ให็เจริญเติบโตยิ่งขึ้น
    การกระตุ้นและทำลายพิษของคลอเรลล่าในลำใส้ยังช่วยให้เกิดผลดี เช่น ช่วยลดแก็สในท้องที่มีมากกว่าปกติหลังจากรับประทานคลอเรลล่าแล้ว 3-7 วัน เชื่อกันว่าแบคทีเรียที่เป็นพิษต่อลำใส้จะถูกทำให้แก่ตัวและถูกทำลายในที่สุด ต่อจากนั้นลำไส้ก็จะทำงานได้ดีขึ้น และปัญหาแก็สในท้องก็หมดไป
    การใช้คลอโรฟิลกำจัดกลิ่นจะให้ผลดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับสภาพความสมดุลย์ของความเป็นกรดด่าง (pH) ของสารสกัดนั้น คลอโรฟิลจะใช้กำจัดกลิ่นได้ดีเมื่อมีฤทธิ์เป็นกลางหรือมีฤทธิ์เป็นด่าง โดยมีค่าของความเป็นกรดต่างสูงสุดระหว่าง 8 ถึง 10.5 ในสภาวะของความเป็นกรดด่างในระดับเดียวกันนั้น คลอโรฟิลก็สามารถที่จะแสดงคุณสมบัติต่อต้านแบคทีเรียได้ เป็นสิ่งที่น่าใจใจว่า อาการท้องผูกและลำไส้เป็นพิษมีความสัมพันธ์กับระดับความเป็นกรดด่างของอุจจาระที่มีค่ามากกว่า 7 และ ในกรณีที่ร้ายแรงระดับอาจขึ้นสูงถึง 9 คลอโรฟิลและคลอเรลลาจะมีประโยชน์ที่สุดในการรักษาอาการผิดปกติของลำใส้ใหญ่ ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขยายตัวและมีจำนวนมากเกินไปของแบคทีเรียชนิดที่ไม่ต้องการออกซิเจน โดยปกติแล้วอาการดังกล่าวนี้จะมีความสัมพันธ์ของความเป็นกรดด่างของอุจจาระที่มีค่ามากกว่า 7 เราสามารถตรวจสอบค่ามากกว่า 7 เราสามารถตรวจสอบค่าความเป็นกรดด่างของอุจจาระได้เองดดยซื้อกระดาษ pH จากร้านขายยาทั่วไป โดยละลายอุจจาระในน้ำแล้วจุ่มกระดาษนี้ลงไป แล้วสังเกตุการเปลี่ยนแปลงสีของกระดาษ
    คลอเรลล่าสามารถใช้ควบคุมกลิ่นได้เช่นเดียวกับคลอโรฟิลเพราะคลอเรลล่ามีคลอโรฟิลอยู่เป็นจำนวนมาก

    ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือ คลอเรลล่า พืชธรรมชาติที่ทรงคุณค่าทางยา โดยนายแพทย์เดวิด สทีนบล๊อก. BS., M.SC.,D.O. ประธาน AGING RESEARCH INSTITUTE (สถาบันวิจัย ด้านศาสตร์แห่งการชะลอวัย) ซึ่งเป็นสมาคมของอายุรแพทย์ที่ทำงานด้านการป้องกันและรักษาโรคเรื้อรังที่เป็นบ่อเกิดทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม การค้นคว้าวิจัยของเขาเกี่ยวกับสารปราศจากพิษเพื่อการรักษาและป้องกันโรคนี้เองเป็นทางนำเขามาสู่คลอเรลล่า
    แปลโดย ดร.กิดานันท์ มลิทอง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2530

    ขอบคุณรูปภาพจาก http://www.febico.com/en/page/What-i...l#!prettyPhoto
    ชวนเพื่อนใส่ลิ้ง เปิดโลก SBNTown ในลายเซ็นเพื่อแนะนำเพื่อนๆ ในการใช้เครื่องมือของชุมชนให้มีทักษะเท่ากัน

Similar Threads

  1. TM : New SAINT Season 7, New SAINT Lil Clutch, SAINT Girl Bag,Season 6 & 5 New SAINT BAG STYLE I$ NEVER FOR FREE ของแท้ พร้อมส่งค่ะ
    By shop_by_brand in forum สินค้าแฟชั่นเครื่องแต่งกายผู้หญิง
    Replies: 0
    Last Post: 02-20-2015, 10:22 PM
  2. TM : New SAINT Season 7, New SAINT Lil Clutch, SAINT Girl Bag,Season 6 & 5 New SAINT BAG STYLE I$ NEVER FOR FREE ของแท้ พร้อมส่งค่ะ
    By shop_by_brand in forum สินค้าแฟชั่นเครื่องแต่งกายผู้หญิง
    Replies: 0
    Last Post: 02-19-2015, 09:10 PM
  3. TM : New SAINT Season 7, New SAINT Lil Clutch, SAINT Girl Bag,Season 6 & 5 New SAINT BAG STYLE I$ NEVER FOR FREE ของแท้ พร้อมส่งค่ะ
    By shop_by_brand in forum สินค้าแฟชั่นเครื่องแต่งกายผู้หญิง
    Replies: 0
    Last Post: 02-18-2015, 09:32 PM
  4. TM : New SAINT Season 7, New SAINT Lil Clutch, SAINT Girl Bag,Season 6 & 5 New SAINT BAG STYLE I$ NEVER FOR FREE ของแท้ พร้อมส่งค่ะ
    By shop_by_brand in forum สินค้าแฟชั่นเครื่องแต่งกายผู้หญิง
    Replies: 0
    Last Post: 02-17-2015, 10:04 PM
  5. TM : New SAINT Season 7, New SAINT Lil Clutch, SAINT Girl Bag,Season 6 & 5 New SAINT BAG STYLE I$ NEVER FOR FREE ของแท้ พร้อมส่งค่ะ
    By shop_by_brand in forum สินค้าแฟชั่นเครื่องแต่งกายผู้หญิง
    Replies: 0
    Last Post: 02-16-2015, 10:33 PM

Tags for this Thread

Posting Permissions

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •