ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับ
เว็บคาสิโนออนไลน์
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับ
เว็บคาสิโนออนไลน์
เป็นประโยชน์มากค่ะ ขอบคุณนะคะ
ss-secret
ผู้สนับสนุนหลัก Siambrandname อย่างเป็นทางการอันดับ 2
และเป็นผู้ค้าอาหารเสริมที่เชื่อถือได้ประจำชุมชน SBN กว่า 4 ปี
คลิ๊กเพื่ออ่านกระทู้ประกาศอย่างเป็นทางการจากทาง Siambrandname
>>>อัมเบรลล่า กันแดดตัวสุดท้ายของคุณ<<<
แจกจริง แจกทั้งปี ต่อเนื่อง กระเป๋า HiEnd หรูใบใหญ่แบรนด์เนมดัง
เข้าชมสินค้าอื่นๆ กระทู้ Business Review ใน SBNTown << Click
ดูดวง, ดารา, สวย, ข่าว, ใหม่, ถูก
#คลอเรลล่าและการทำลายสารพิษ
สารพิษที่ร่างการกำจัดทิ้งนั้น อาจเป็นสารจากภายนอกร่างกาย เช่น ยาฆ่าแมลง หรือ อาจเป็นสารพิษภายในร่างกาย เช่น เมื่อลำใส้มีแบคทีเรียที่ผลิตสารพิษ หรือ จากการเผาผลาญในร่างกายขาดประสิทธิภาพ
ความสามารถของคลอเรลล่าในการทำลายสารพิษ ขึ้นอยู่กับผนังเซลล์และสารที่ใช้ควบคู่กัน ผนังเซลล์ของคลอเรลล่ามี 3 ชั้น ซึ่งชั้นกลางซึ่งเป็นชั้นที่หนาที่สุดจะมีผนังเป้น microfibrils
แอคคินสัน (Atkinson) และ คณะพบว่าชั้นภายนอกของผนังเซลล์ ซึ่งมีความหนา 14 nm (nanometer) มีความต้านทานการแตกตัวสูงและยงประกอบด้วยสารที่มีธารุประกอบเหมือนกับสารคาโรทีนอีกด้วย
จากการวิเคราะห์ผนังเซลล์พบว่าประกอบด้วย โปรตีน 27% ไขมันไม่ละลายน้ำ 9.2% alpha-cellulose 15.4% henicellulose 31% glucosamine 3.3% และขี้เถ้า 5.2%(ประกอบด้วยเหล็กและแคลเซี่ยม)
#สารพิษแคดเมียม
คลอเรลล่าจะผนึกติดอยู่กับสารแคดเมียมอย่างเหนียวแน่นและจะไม่มีวันยอมให้สารแคดเมียมเข้าสู่ร่างกายได้ จากการทดลองโดยการให้คลอเรลล่าที่มีสารแคดเมียมแก่หนูเพื่อศึกษาว่าแคดเมียมจะถูกดูดซึมออกจากคลอเรลล่าแข้าสู่ร่างกายหรือไม่ ในระยะเวลา 10 วัน พบว่าหนูที่ได้รับคลอเรลลาและสารแคดเมียมไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด และยังพบด้วยว่าแคดเมียมไม่ถูกดูดซึมออกจากคลอเรลล่าเข้าสู่ร่างกายของหนูแม้แต่น้อย
ฮากิโน (Hagino) และคณะสรุปผลการใช้คลอเรลล่าแก้พิษของแคดเซียมในคนไข้ที่เป็นโรค "Itai-itai" (สารแคดเมียมเป็นพิษ) ว่าช่วยเพิ่มกำจัดสารพิษออกจากร่างกายได้มากขึ้น
ดอกเตอร์ฮิชิมูรา (Ichimura) พบว่าเมื่อให้คนไข้ที่ถูกสารแคดเมียมรับประทานคลอเรลล่า 8 กรัม ทุกวัน อาการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เมื่อให้คลอเรลล่าครบ 12 วัน แคดเมียมถูกขับออกจากร่างกายได้เพิ่มขึ้น 3 เท่า ครบ 24 วัน พบว่าในปัสสาวะมีสารแคดเมียมเพิ่มขึ้น 7 เท่า และ ความเจ็บปวดทรมานต่างๆ ก็ลดลงไปอย่างมาก
คลอเรลล่าถูกนำมาใช้เพื่อช่วยคนที่ได้รับความทรมานจากสาร P.C.B. (Polychlorbiphenyl) ดร.ยูเรดะ (Ueda) แห่ง the Kitakyushu City Institute for Environmental Pollution Reserch ในประเทศญี่ปุ่น ให้คนไข้ที่ได้รับสาร P.C.B. จำนวน 30 คน รับประทานคลอเรลล่าวันละ 4-6 กรัม เป็นเวลา 1 ปี คนไข้เกือบทุกคนมีอาการดีขึ้น (เหนื่อยน้อยลงระบบย่อยอาหารดีขึ้น และ การทำงานของลำไส้ดีขึ้นมาก)
นอกจาก P.C.B. แล้ว Chlordecone (Kepone) หรือ ยาฆ่าแมลงชนิดอันตรายมากก็ถูกนำมาศึกษาและพบว่าเมื่อทานคลอเรลล่าร่างกายขับพิษของมันออกได้เร็วว่าปกติ 2
ดอกเตอร์พอร์ (PoreX แห่ง the school of Medicine,West Virginia University ได้ทดลองกับหนูก็พบว่าหนูสามารถขับสารพิษได้เร็วขึ้นและสามารถลดครึ่งชีวิต (half-life) ของสารพิษจาก 40 วัน ลดเหลือ 19 วัน พืชน้ำที่ใช้ในการทดลองลูกย่อยส่งผ่านเข้าสู่ทางเดินของกระเพาะอาหารและลำไส้ มันหยุดยั่งการหมุนเวียนพิษของยาฆ่าแมลงที่มีในลำใส้แล้วช่วยขจัดพิษออกมากับอุจจาระ จากทดลองในห้องปฏิบัติการนี้พบว่ามีสารช่วยดูดซึม 2 ชนิด คือ sporollenin (สารที่เกิดโดยธรรมชาติมีคุณสมบัติเหมือนคาโรทีน คือ ต่อต้านความเสื่ม) และผนังเซลล์ของพืชน้ำ คลอเรลล่าทั่วไปที่ไม่มีสาร sporopollenin จะเปลี่ยน half-life ของสารพิษจาก 40 วัน เป็น 32.7 วัน แสดงให้เห็นว่าสารอื่นของคลอเรลล่าที่ไม่มี sporopollenin ก็สามารถขจัดสารพิษได้เช่นกัน ผลิตภัณฑ์ คลอเรลล่าที่มีขายอยู่ทั่วไปถ้าเป็นชนิด pyrenoidosa จะมี sporopollenin รวมอยู่ด้วย
สารพิษประเภทไฮโดรคาร์บอนไม่ว่าจะเป็นยาฆ่าแมลงชนิดใด ต่างมีผลต่อชุมชนมากเพราะมันเป็นสารเคมีที่เราต้องพบอยุ่เสมอ คลอเรลล่าจึงนับได้ว่ามีประโยชน์มากกว่าพืชสีเขียวชนิดอื่นอย่างเห็นได้ชัด
ตัวอย่างการทดลองอีกอันหนึ่งที่แสดงให้เห็นผลของการใช้คลอเรลลาขจัดสารพิษก็คือเมื่อใส่สาร P.C.B. ตะกั่ว ทองแดง และ แคดเมียม เข้าไปในยีสต์ที่เพาะขึ้น (Brewer's yease culture) ปรากฏว่ายีสต์ตายหมด แต่เมื่อเติมคลอเรลล่าสกัดเขาไปในสารพิษ และใส่ในยิสต์ ปรากฏว่ายิสต์ยังมีชีวิตอยุ่ได้ คลอเรลล่ามีคุณสมบัติในการเก็บสารพิษจากสิ่งแวดล้อม (แม้ในร่างกายคน) ไว้ในตัวเอง นอกจากนี้ยังมีผู้พบว่าผนังเซลล์ของคลอเรลล่าสามารถดูดซึมธาตุยูเรเนี่ยม และตะกั่วได้ด้วย
#สุขภาพของตับ
ฟิงค์ (Fink) ศึกษาการใช้คลอเรลล่าเป็นอาหารของหนูและสรุว่า คลอเรล่าช่วยป้องกันการเป็นแผลเรื้อรังที่ตับในหนูได้ เขาเชื่อว่าสารที่ช่วยป้องกันตับคือ thioamine acid ไวตามิน ดี และ สารที่ไม่สามารถบ่งชี้ (factor 3 of Schwarz) ฟิงค์แนะนำว่าผู้ที่เป็นโรค Kwashiokor (โรคขาดโปรตีนรุนแรง) ควรได้รับโปรตีนสกัดจากคลอเรลล่าแทนโปรตีนจากนม
คลอเรลล่ายังช่วยป้องกันตับจากสารพิษ ethionine ซึ่งมีอาการคล้ายคลึงกับตับที่เกิดจากการขาดสารอาหาร ในการทดลองโดยลดปริมาณไขมันและไวตามินในหนู และ ให้สาร ethionine ตับของหนู จะมีไขมันแทรก แต่เมื่อเติมคลอเรลล่า (5% ของอาหาร) หนูลดอาการตับบวมและหายเป็นปกติอย่ารวดเร็ว นอกจากนี้มีผู้พบว่าเมื่อใช้คลอเรลล่าระดับของสารประเภทไข่ขาว (albumin) จะเพิ่มสูงขึ้นและระดับของโปรตีนที่ไม่ละลายน้ำ (globulins) จะลดลงปรากฏการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นเมื่อตับทำงานเป็นปกติ
#ภาวะเป็นพิาของลำใส้
ลำไส้ที่ไม่แข็งแรงเป็นบ่อเกิดของโรคหลายชนิด
ภาวะที่ลำไส้เป็นพิษยากที่จะตรวจวัดไว้ แต่ก็ยังสามารถทำได้โดยการดมกลิ่นลมหายใจ วิธีนี้พอจะบอกไว้ก่อนว่าคนๆ นั้น มีภาวะของลำไส้ปกติหรือไม่ แตวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผลเสมอไปเพราะยังมีอีกหลายสาเหตุที่ทำให้คนเรามีลมหายใจเหม็น การตรวจปัสสาวะเพื่อดู indican ก็เป็นวิธีหนึ่ง แต่สิ่งที่สำคัญและน่าสนใจก็คือ คลอเรลล่าสามารถช่วยปรับภาวะเป็นพิษของลำไส้เป็นปกติได้ภายใน 2-3 วันเท่านั้น
#ทำไมคลอเรลล่าจึงช่วยปรับภาวะเป็นพิษของลำใส้ได้
ดังได้กล่าวแล้วว่าคลอเรลล่ามีคลอโรฟิลจำนวนต่อกรัมมากกว่าพืชชนิดอื่นคลอโรฟิลถูกใช้ในการกำจัดกลิ่นมานานแล้ว ท่านคงจำหมากฝรั่งที่มีกรดคลอเรลริล (chloric) และที่ถ่ายของแมวที่มีคลอโรฟิลได้ไหม คลอโรฟิลยังใช้เป็นยาดับกลิ่นของรักแร้ และ ควบคุมกลิ่นปากอืกด้วย เป็นที่รู้กันทั่วไปในกลุ่มของคนทำงานในสถานพยาบาล สถานพักฟื้น โรงพยาบาล และ สถาบันประสาทว่าคลอโรฟิลช่วยควบคุมกลิ่นในคนไข้ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองในการขับถ่ายได้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1951 มาแล้วที่ไวน์การ์เทน และ เปสัน (Weingarten and Payson) พบว่า การใช้คลอโรฟิลชนิดน้ำช่วยดับกลิ่นของคนไข้ที่ได้รับการผ่าตัดลำใส้ใหญ่ได้
ในปี คศ. 1944 สมิทธ์พบว่า คลอโรฟิลชนิดน้ำมีคุณสมบัติต่อต้านแบคทีเรียการวิจัยของเขาได้รับการสนับสนุนจาก Committee on Therapeutic Research of the Council of Pharmacy of the American Medical Association เขาสรุปว่าคลอโรฟิลสร้างสภาพแวดล้อมที่แบคทีเรียไม่ชอบอยู่ แทนที่จะทำลายแบคทีเรียโดยตรง ดังนั้นแบคทีเรียพวกที่ไม่ต้องการออกซิเจนทั้งหลายจึงหยุดการเจริญเติบโต ถ้าจะกล่าวอย่างสั้นๆ ก็คือ คลอโรฟิวนั้น ไม่ได้ฆ่าแบคทีเรีย แต่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้ถ้าอยู่ในสภาวะที่เหมาะสม
นอกจากคลอโรฟิลจะมีผลต่อแบคทีเรียชนิดที่ไม่ต้องการออกซิเจนแล้ว ผนังเซลล์ของคลอเรลล่าก็ยังสามารถดูดซึมสารพิษในลำไส้ได้ และช่วยทำให้การบีบตัวของลำใส้ทำงานได้เป็นปกติ ลำใส้ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในลำใส้เล็ก) เรียงตัวต่อกันอยู่โดยมีแผ่นน้ำเหลืองยึด ซึ่งสามารถถูกกระตุ้นโดยผนังเซล์ของคลอเรลล่าให้เพิ่มการทำลายสิ่งที่เข้ามาแปลกปลอม เช่น แบคทีเรียพวกที่ไม่ต้องการออกซิเจน นอกจากนี้คลอเรลล่ายังช่วยกระตุ้นแบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อลำใส้ (lactobacillus) และ พวกที่ผลิตไวตามิน บี-12 ให็เจริญเติบโตยิ่งขึ้น
การกระตุ้นและทำลายพิษของคลอเรลล่าในลำใส้ยังช่วยให้เกิดผลดี เช่น ช่วยลดแก็สในท้องที่มีมากกว่าปกติหลังจากรับประทานคลอเรลล่าแล้ว 3-7 วัน เชื่อกันว่าแบคทีเรียที่เป็นพิษต่อลำใส้จะถูกทำให้แก่ตัวและถูกทำลายในที่สุด ต่อจากนั้นลำไส้ก็จะทำงานได้ดีขึ้น และปัญหาแก็สในท้องก็หมดไป
การใช้คลอโรฟิลกำจัดกลิ่นจะให้ผลดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับสภาพความสมดุลย์ของความเป็นกรดด่าง (pH) ของสารสกัดนั้น คลอโรฟิลจะใช้กำจัดกลิ่นได้ดีเมื่อมีฤทธิ์เป็นกลางหรือมีฤทธิ์เป็นด่าง โดยมีค่าของความเป็นกรดต่างสูงสุดระหว่าง 8 ถึง 10.5 ในสภาวะของความเป็นกรดด่างในระดับเดียวกันนั้น คลอโรฟิลก็สามารถที่จะแสดงคุณสมบัติต่อต้านแบคทีเรียได้ เป็นสิ่งที่น่าใจใจว่า อาการท้องผูกและลำไส้เป็นพิษมีความสัมพันธ์กับระดับความเป็นกรดด่างของอุจจาระที่มีค่ามากกว่า 7 และ ในกรณีที่ร้ายแรงระดับอาจขึ้นสูงถึง 9 คลอโรฟิลและคลอเรลลาจะมีประโยชน์ที่สุดในการรักษาอาการผิดปกติของลำใส้ใหญ่ ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขยายตัวและมีจำนวนมากเกินไปของแบคทีเรียชนิดที่ไม่ต้องการออกซิเจน โดยปกติแล้วอาการดังกล่าวนี้จะมีความสัมพันธ์ของความเป็นกรดด่างของอุจจาระที่มีค่ามากกว่า 7 เราสามารถตรวจสอบค่ามากกว่า 7 เราสามารถตรวจสอบค่าความเป็นกรดด่างของอุจจาระได้เองดดยซื้อกระดาษ pH จากร้านขายยาทั่วไป โดยละลายอุจจาระในน้ำแล้วจุ่มกระดาษนี้ลงไป แล้วสังเกตุการเปลี่ยนแปลงสีของกระดาษ
คลอเรลล่าสามารถใช้ควบคุมกลิ่นได้เช่นเดียวกับคลอโรฟิลเพราะคลอเรลล่ามีคลอโรฟิลอยู่เป็นจำนวนมาก
ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือ คลอเรลล่า พืชธรรมชาติที่ทรงคุณค่าทางยา โดยนายแพทย์เดวิด สทีนบล๊อก. BS., M.SC.,D.O. ประธาน AGING RESEARCH INSTITUTE (สถาบันวิจัย ด้านศาสตร์แห่งการชะลอวัย) ซึ่งเป็นสมาคมของอายุรแพทย์ที่ทำงานด้านการป้องกันและรักษาโรคเรื้อรังที่เป็นบ่อเกิดทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม การค้นคว้าวิจัยของเขาเกี่ยวกับสารปราศจากพิษเพื่อการรักษาและป้องกันโรคนี้เองเป็นทางนำเขามาสู่คลอเรลล่า
แปลโดย ดร.กิดานันท์ มลิทอง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2530
ขอบคุณรูปภาพจาก http://www.febico.com/en/page/What-i...l#!prettyPhoto
ชวนเพื่อนใส่ลิ้ง เปิดโลก SBNTown ในลายเซ็นเพื่อแนะนำเพื่อนๆ ในการใช้เครื่องมือของชุมชนให้มีทักษะเท่ากัน