บทความชื่อ
Japan Diary 21 : 5 เรื่องกินใจ หลังเหตุแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น
สวัสดีวันแรกของเดือนเมษาค่ะ ^^
ตอนนี้ที่เมืองไทยคงเริ่มเตรียมตัวต้อนรับเทศกาลสงกรานต์กันแล้วสินะ เห็นมีคำทำนายเกี่ยวกับนางสงกรานต์ประจำปีนี้ออกมาแล้วด้วย อย่างไรก็ขอให้เที่ยววันหยุดอย่างสนุกสนานไปพร้อมกับการมีสติ ระวังอุบัติเหตุกันด้วยนะคะ

ตัวเราเองก็จะกลับไปเยี่ยมบ้านที่ไทยเดือน พ.ค. เหมือนกัน พ่อกับแม่คิดถึงแย่แล้ว (หัวเราะ)
บลอควันนี้ก็ยังคงเกี่ยวกับเหตุวินาศภัยในญี่ปุ่น แต่คิดว่าคงเป็นเอนทรีสุดท้ายแล้ว เอนทรีหน้าจะเขียนอะไรที่เบิกบานหรรษาบ้างล่ะค่ะ อย่างไรชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไปเนอะ
5 เรื่องกินใจหลังเหตุแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น
1.
- จากฟ้าสู่ดิน -
ขอเริ่มด้วยภาพพระจริยวัตรของสมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งญี่ปุ่นนะคะ
ทั้งสองพระองค์ทรงเสด็จเยือนผู้ประสบภัยที่โตเกียวและมีพระปฏิสันถารต่อทุกครอบครัว ณ ที่นั้นด้วยความห่วงใยและไม่ถือพระองค์ ยังความปลาบปลื้มแก่พสกนิกรชาวญี่ปุ่นผู้ประสบภัยเป็นอย่างยิ่ง
ภาพต่อๆ ไปเราคว้ากล้องมาถ่ายจากทีวี (รายการข่าวเช้า) อาจจะไม่ค่อยชัดเท่าข้างบนนะคะ
เห็นภาพนี้แล้วรู้สึกว่า อา...ไม่ได้มีแต่คนไทยสินะที่ร้องไห้เมื่อพบพระเจ้าอยู่หัว
ชาวญี่ปุ่นคงรักสมเด็จพระจักรพรรดิเหมือนที่เรารักในหลวงเหมือนกัน
ได้มีโอกาสเห็นพระราชจริยวัตรของสองพระองค์ท่านแล้วก็รู้สึกซาบซึ้งมากจนน้ำตาจะไหล ฉลองพระองค์ท่านธรรมดาและเรียบง่ายสมถะอย่างยิ่ง ได้เห็นท่านห่วงใยและดูแลพสกนิกรเช่นนี้แล้วก็นึกถึงในหลวงของเรา
ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
2.
- สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า "สปิริต" -
ในยามวิกฤตเช่นนี้ ชาวญี่ปุ่นทุกผู้ทุกฝ่าย ต่างพยายามช่วยเหลือกันและกันอย่างสุดความสามารถ ทั้งเจ้าหน้าที่และชาวบ้านทั่วไป ช่วงหลังเกิดเหตุ รายการทีวีทุกช่องไม่เปิดโฆษณาเลย มีแต่ข่าวสลับกับสปอตสั้นๆ เรื่องการช่วยเหลือสังคม เพราะบริษัทต่างๆ ติดว่าในเวลาเช่นนี้ไม่สมควรคิดเรื่องการค้าหรือหากำไร
ล่าสุด สส. ญี่ปุ่นมีมติเห็นพ้อง "ตัดเงินเดือนตนเอง" ลงคนละ 3 ล้านเยน (เดือนละ 5 แสนเยนเป็นเวลาครึ่งปี) เพื่อนำเงินไปช่วยฟื้นฟูประเทศ (ข่าวจาก >
>JIJI PRESS<<)
ไม่เว้นแม้แต่ "ยากุซ่า"
ปกติแล้ว ยากุซ่าจะอยู่ในโลกเบื้องหลัง ไม่เผยโฉมหน้าต่อสังคมเนื่องจากเสี่ยงต่อการถูกตำรวจจับกุม แต่งานนี้ หลายแก๊งค์ต่างพร้อมใจระดมกำลังช่วยเหลือ "อย่างเงียบๆ" เพื่อสังคมและชาติของตนเอง
แก๊งค์อินากาวะไค (ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของญี่ปุ่น) เริ่มการช่วยเหลือตั้งแต่ 2 วันหลังภัยพิบัติโดยส่งรถบรรทุกข้าวของอันได้แก่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ ไฟฉาย แบตเตอรี่ ฯลฯ รวมทั้งหมด 25 คันมุ่งสู่ภูมิภาคโทโฮคุทันทีแบบ "ไม่ประสงค์ออกนาม"
ตามมาด้วยแก๊งค์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 และแก๊งที่ใหญ่ที่สุดคือสุมิโยชิไคและยามากุชิคุมิ มีการให้ความช่วยเหลือกับ foreign community คือกลุ่มคนต่างชาติที่อยู่ในญี่ปุ่น ทางยามากุชิกุมิก็เปิดสนง.ทั่วญี่ปุ่นให้คนเข้าไปพักได้ แล้วก็ส่งสิ่งของออกไปบริจาคหลายคันรถ (ตรงส่วนนี้ขอแก้ไขเนื้อหาให้ชัดเจนขอบคุณข้อมูลจากคุณ D.M. นะคะ )
ตัวแทนกลุ่มได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวต่างประเทศเพียงสั้นๆ ว่า "ขอความกรุณาอย่าเปิดเผยแหล่งที่มาของของบริจาคแก่ผู้ประสบภัย เพราะคนส่วนใหญ่รังเกียจที่จะรับของจากเรา และเราเพียงแต่ต้องการช่วยเหลือพวกเขาเท่านั้น ไม่ได้หวังอะไร"
อ่านข่าวฉบับเต็มได้ที่นี่ค่ะ >>
BUSINESS INSIDER<<
แม้แต่ยากุซ่ายังช่วยชาติ
"สปิริต" เป็นสิ่งที่อาจจะเล็กจนมองไม่เห็น แต่เมื่อแสดงออกมา กลับทำให้คนๆ นั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน
3.
- เพื่อนย่อมไม่ทิ้งกัน -
ท่ามกลางวินาศภัยร้ายแรง ไม่เพียงมนุษย์ แต่เพื่อนสี่ขาทั้งหลายต่างก็ได้รับผลกระทบไปด้วย
จาก >>
<< แสดงให้เห็นถึงสุนัขตัวที่แข็งแรงกว่าไม่ยอมทิ้งเพื่อนที่ได้รับบาดเจ็บ จนสุดท้ายทั้งคู่ก็ได้รับความช่วยเหลือ
น้องหมาสองตัวนี้ได้รับการช่วยเหลือโดยทีมอาสาสมัคร ซึ่งนำโดยคุณ Kenn Sakurai โดยต้องใช้มอเตอร์ไซค์ขับลุยโคลนเข้าไปพร้อมกับเชือกรัดกรงไว้ที่ข้างหลัง เขาต้องใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมงกว่าจะไปถึงศูนย์ฯ ตัวที่เห็นตอนแรกแข็งแรงดี ตอนนี้อยู่ที่ศูนย์อพยพแล้ว ส่วนตัวที่นอนอยู่สีขาวไม่ค่อยสบายอ่อนแอมากแต่ตอนนี้คุณหมอดูแลอยู่ที่ไม่ไกลกันค่ะ
คุณซากุไรเป็นเจ้าของบริษัทอาหารสุนัขเล็กๆ แห่งหนึ่ง หลังเกิดเหตุสึนามิ ได้เป็นผู้นำรวบรวมเพื่อนอาสาสมัครผู้รักสัตว์[/B]ออกตระเวณช่วยเหลือสัตว์เลี้ยงที่บาดเจ็บและมีชีวิตรอดจาดสึนามิในนามของ Japan Tsunami Pet Rescue Team ปัจจุบันสามารถช่วยเหลือได้มากกว่า 50 ชีวิตแล้วค่ะ ภาพเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่ >>
เฟสบุ๊กของคุณ Sakurai << ค่ะ
4.
- หนึ่งคนตาย เพื่อหลายคนตื่น -
ว่าด้วยระบบการเตือนภัยของญี่ปุ่น
ระบบการเตือนภัยของญี่ปุ่นนั้นรวดเร็วมาก นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่หลายคนรักษาการ ประกาศเตือนภัยที่ศาลาว่าการเมืองจนวินาทีสุดท้าย
จนท. ที่เมืองมินามิชื่อคุณมิกิ อายุ 24 ปี วันที่สึนามิมาเธอประกาศเตือนภัยแก่ชาวเมืองจากตึกที่ชั้น 2 แต่คลื่นที่ถาโถมเข้ามานั้นสูงกว่าตึก 3 ชั้น ... ในภาพข่าว เสียงของเธอขาดไปในช่วงเวลาเดียวกับที่คลื่นกลืนร่างนั้นหายไปนั่นเอง...
บิดาของคุณมิกิกล่าวว่า "มันเป็นหน้าที่ ขอบคุณลูกที่ช่วยให้หลายคนรอดชีวิต"
เช่นเดียวกับข่าวจากหนังสือพิมพ์นิกเคอิฉบับวันที่ 28 (รูปด้านบน) ในต่างเมืองกัน เจ้าหน้าที่เตือนภัยอีกท่านหนึ่งคือคุณมิอุระ ก็ได้พยายามประกาศให้ทุกคนหลบหนีจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต โครงเหล็กสีแดงที่เห็นในภาพคืออาคารสำนักงานหลังจากที่ถูกสึนามิโหมใส่...
นี่ไม่ใช่ "หน้าที่" แต่คือ "จิตใจอันพร้อมเสียสละเพื่อสังคม"
ขอไว้อาลัยและสดุดีวีรกรรมต่อผู้จากไปทุกท่านค่ะ
5.
- "ชีวิต" และ "ความหวัง -
ข้อความจากคุณ nekoshima 83
[ที่จังหวัดจิบะ คนปู่คนหนึ่งในศูนย์หลบภัยได้เอ่ยออกมาว่า "ต่อจากนี้ไปจะเป็นอย่างไรนะ" เด็กหนุ่มมัธยมปลายคนหนึ่งจึงตอบกลับไปว่า "ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องห่วง ต่อจากนี้ไปเมื่อเป็นผู้ใหญ่ พวกผมจะทำให้มันกลับมาเหมือนเดิมแน่นอน" ไม่เป็นไร พวกเรายังมีอนาคตอยู่นะ]
ข้อความจากคุณซาโฮะ @nekkonekonyaa
[คุณพ่อกลับไปที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แล้ว พนักงานโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เปลี่ยนเวรออกมาตอนนี้ได้ถูกเรียกให้กลับเข้าประจำการทั้งหมด ฉันเพิ่งเคยเห็นแม่ร้องไห้หนักขนาดนี้เป็นครั้งแรก
เจ้าหน้าที่โรงไฟฟ้าเสียสละตัวเอง ทำหน้าที่เพื่อปกป้องทุกคนอย่างสุดชีวิต ทุกคนคะ ...ขอให้มีชีวิตสมกับที่ยังมีชีวิตอยู่นะ อย่าให้ความตั้งใจของคนที่ทำงานอยู่ในโรงงานนิวเคลียร์สูญเปล่านะ...
คุณพ่อ ...มีชีวิตกลับมานะคะ]
ข้อความจาก >>
http://prayforjapan.jp/message << (ภาษาญี่ปุ่น)
ฝากย่อหน้าสุดท้ายไว้ด้วยภาพซากุระแรกของปีนี้ที่สวนใกล้บ้าน
ชีวิตยังคงต้องเดินต่อไป ไม่ว่าจะผู้ประสบภัยที่ญี่ปุ่น ที่ไทย หรือผู้ที่เดือดร้อนในที่ต่างๆ ทั่วโลก โปรดอย่าลืมความหวัง อย่างน้อยการพยายามสู้อย่างเต็มที่ ก็เป็นการตอบแทนต่อผู้ที่เสียสละให้เรายังได้หายใจอยู่จนทุกวนนี้
ทุกคน ขอให้มีชีวิตสมกับที่ยังมีชีวิตอยู่นะคะ
แล้วพบกันใหม่เอนทรีหน้าค่ะ