Previous
Next
Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
Results 1 to 8 of 8

Thread: ตัดกรรมตัดเวร

  1. #1
    hut2211's Avatar
    hut2211 is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    1,986
    Warning Points:
    0/5

    Talking ตัดกรรมตัดเวร

    ตัดกรรมตัดเวร

    โดยพระราชสังวร ( พุธ ฐานิโย )

    การตัดกรรมคือการหยุดทำความชั่วหยุดทำบาป
    ส่วนการตัดเวรคือการหยุดการพยาบาทอาฆาตจองเวรซึ่งกันและกัน
    คือไม่แก้แค้นซึ่งกันและกันรู้จักคำว่าให้อภัยซึ่งกันและกัน
    และผู้ที่ทำผิดก็ให้รู้จักคำว่าขอโทษ
    ผู้ที่ถูกขอโทษก็รู้จักคำว่าให้อภัย อันนี้เป็นอุบายตัดกรรมตัดเวร
    พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่าใครทำกรรมใดไว้ย่อมได้รับผลของกรรมนั้นแน่นอนหลีกเลี่ยงไม่ได้

    กัมมัสสะโกมหิ (เรามีกรรมเป็นของๆตน)
    กัมมะทายาโท (เราจะต้องรับผลของกรรมนั้น)
    กัมมะโยนิ (เรามีกรรมนำเกิด)
    กัมมะพันธุ (เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์พวกพ้อง)
    กัมมะปะฏิสะระโน (เรามีกรรมเป็นที่พึ่งที่อาศัย)
    ยัง กัมมัง กะริสสามิ (เราทำกรรมอันใดไว้)
    กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา (เป็นบุญหรือเป็นบาป)
    ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามิ (เราจะต้องรับผลของกรรมนั้น)
    อภิณหัง ปัจจะเวกขิตัพพัง (พึงพิจารณาเห็นเนืองๆดังนี้)

    ไปทำพิธีตัดกรรมก็เป็นการลบล้างคำสอนของพระพุทธเจ้า

    กรรมใดใครก่อไว้แล้วในเมื่อใจเป็นผู้จงใจทำลงไปแล้วเป็นกรรมอันเป็นบาป
    ภายหลังจึงมานึกได้และไม่ต้องการผลของบาป มันก็หลีกเลี่ยงปฏิเสธไม่ได้
    เพราะใจเป็นผู้สั่งให้กาย วาจา ทำลงไป พูดลงไป
    ใจตัวนี้ต้องรับผิดชอบโดยความเป็นธรรมโดยหลักของธรรมชาติ
    เพราะฉะนั้นการที่ไปทำพิธีตัดกรรมนี่หมายถึงตัดผลของบาปนั้นมันตัดไม่ได้ อย่าไปเข้าใจผิด

    ถ้าเข้าใจว่าทำบาปทำกรรมแล้วแล้วไปทำพิธีล้างบาปได้
    ทำพิธีตัดกรรมแล้วมันหมดบาปประเดี๋ยวก็ทำกรรมชั่ว
    แล้วมาหาหลวงพ่อหลวงพี่ตัดบาปตัดกรรมให้
    มันก็ไม่กลัวต่อบาปเพราะฉะนั้นอย่าไปเข้าใจผิดว่าทำกรรมอันเป็นบาปแล้วตัดกรรมให้หมดไปได้
    มันเป็นไปไม่ได้

    ********ยกตัวอย่างเรื่องกรรมบางส่วนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า********

    ชาติหนึ่งเคยเกิดเป็นนักเลงชื่อปุนาลี ได้กล่าวใส่ความพระปัจเจกพุทธเจ้า พระนามว่าสุรภิ
    ผู้มิได้ประทุษร้ายใคร ด้วยผลแห่งกรรมนั้นต้องไปท่องนรกสิ้นกาลนาน เสวยทุกขเวทนาสิ้นพันปี
    ด้วยกรรมที่เหลือในภพสุดท้ายก็ถูกใส่ความ เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา
    ซึ่งเป็นนักบวชหญิงถูกพวกเดียรถีย์ใช้ให้ทำเป็นไปค้างคืนกับพระสมณโคดม
    ให้ใครต่อใครหลงเข้าใจพระองค์ผิด ทั้งที่นางค้างที่อื่น แต่รุ่งเช้ามาก็ทำท่าโผเผมาจากเชตวนาราม
    ที่พำนักของพระพุทธองค์ อีกสองสามวันต่อมามีคนโจษจันเรื่องนี้กันแล้ว
    พวกเดียรถีย์ก็จ้างนักเลงไปฆ่านางสุนทริกา เพื่อป้ายความผิดว่านางถูกพระพุทธองค์ฆ่าปิดปาก
    คนทั้งหลายก็สงสัยว่าอาจจะเป็นจริง ร้อนถึงพระราชาต้องส่งราชบุรุษไปสืบเรื่องดูตามร้านสุรา
    เมื่อได้ความชัดแจ้งก็จับนักเลงที่ฆ่านางสุนทริกา กับเดียรถีย์ที่จ้างฆ่านางสุนทริกา มาลงโทษทั้งหมด
    อีกชาติหนึ่งเกิดเป็นพราหมณ์ผู้มีความรู้ มีผู้เคารพสักการะ เป็นผู้สอนมนต์แก่มานพ ๕๐๐ คน
    และได้ใส่ความภีมฤษีผู้มีอภิญญา มีฤทธิ์มาก หาว่าฤษีนี้เป็นผู้บริโภคกาม
    มานพทั้งหลายก็พลอยชื่นชมยินดีไปด้วย เมื่อไปภิกขาจารในสกุล
    ก็เที่ยวกล่าวแก่มหาชนว่าฤษีนี้เป็นผู้บริโภคกาม ผลของกรรมนั้นภิกษุ๕๐๐คนเหล่านี้
    ทั้งหมดพลอยถูกใส่ความด้วย เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกาที่ถูกนักเลงฆ่าและป้ายความผิดให้พระพุทธองค์
    รวมทั้งภิกษุทั้งหลายที่อยู่ในเชตวนาราม ก็พลอยถูกหาว่าร่วมกันฆ่าปิดปากนางสุนทริกาและถูกด่าว่าด้วย
    จนกระทั่งพระราชาจับนักเลงและเดียรถีย์ที่ร่วมกันฆ่านางได้ เรื่องราว จึงได้สงบ

    อีกชาติหนึ่งไปกล่าวใส่ความพระสาวกของพระสัพพาภิภูพุทธเจ้า มีนามว่านันทะ
    จึงต้องท่องไปในนรกหลายหมื่นปี เมื่อเกิดเป็นมนุษย์อีกก็ถูกใส่ความมาก
    และด้วยกรรมที่เหลือ ชาติสุดท้ายนี้จึงถูกนางจิณจมาณวิกา ใส่ความว่าพระองค์ทำให้นางตั้งครรภ์
    ชาติหนึ่งเคยฆ่าน้องชายต่างมารดาเพราะเหตุแห่งทรัพย์ ได้ผลักน้องชายต่างมารดาลงในซอกเขา
    เอาหินทุ่มใส่ ด้วยผลแห่งกรรมนั้นจึงถูกพระเทวทัตเอาหินทุ่มใส่ที่เขาคิชกูฏ
    จนสะเก็ดหินกระเด็นถูกหัวแม่เท้า ห้อพระโลหิตในชาติสุดท้าย
    จะเห็นว่าแม้ขณะเป็นพระพุทธเจ้าในชาติสุดท้ายท่านยังต้องได้รับผลของ
    กรรมเก่าที่ทำไว้ในชาติก่อนมาสนองหลายอย่าง จึงเห็นได้ว่าเรื่องของกรรมนั้นตัดไม่ได้

    แต่ตัดเวรนี้มีทางเป็นไปได้ เวรหมายถึงการผูกพยาบาทคอยแก้แค้นกันอยู่ตลอดเวลา
    อย่างเช่นฆ่าเขาตายเมื่อนึกถึงกรรมแล้วกลัวเขาจะอาฆาตจองเวร
    จึงทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เขา ถ้าหากว่าเขาได้รับส่วนกุศลเขาได้รับความสุข
    เขาเลื่อนฐานะจากภาวะที่ทุกข์ทรมานไปสู่ฐานะที่มีความสุข
    เมื่อเขานึกถึงคุณความดีนึกถึงบุญคุณ เขาก็อโหสิกรรมให้ไม่ตามล้างตามผลาญกันอีกต่อไป
    อันนี้คือตัดเวรซึ่งตัดได้

    บางท่านอาจจะคิดว่าพระพุทธเจ้าช่างโหดร้ายจริงๆทำอะไรก็บาป
    แต่แท้ที่จริงพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้โหดร้ายอย่าเข้าใจท่านผิด
    พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้กฎความเป็นจริงของธรรมชาติคือรู้ว่าฆ่าสัตว์เป็นบาป
    ลักทรัพย์เป็นบาป ผิดกาเมเป็นบาป มุสาเป็นบาป ดื่มสุราและสิ่งมอมเมาเป็นบาป
    แต่บาปที่กล่าวมานั้นมันมีมาก่อนที่พระพุทธเจ้าจะประสูติแล้ว
    ไม่ใช่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์มาประสูติแล้วมาบัญญัติขึ้นเอง
    หรือมาบัญญัติบาปกรรมและโทษทัณฑ์อะไรไว้ลงโทษสัตว์ทั้งหลาย

    การทำบาปทำกรรมนั้นสิ่งที่เรียกว่าเป็นบาปเป็นการกระทำด้วยกาย วาจา
    โดยมีใจเป็นผู้เจตนาคือมีความตั้งใจ ทำลงไปแล้วเป็นบาปทันทีคือการละเมิดศีลห้าข้อเท่านั้น
    เพราะฉะนั้นใครรักษาศีลห้าข้อได้บริสุทธิ์บริบูรณ์จึงเป็นการตัดทอนผลของบาป

    บาปกรรมที่ทำไว้ในอดีต เมื่อวานนี้หรือเมื่อเช้านี้ ย่อมตัดกรรมไม่ได้แล้วและจะต้องให้ผลต่อไป
    แต่เราจะตัดการทำกรรมชั่วในปัจจุบันได้และไม่ต้องรับผลของกรรมชั่วในอนาคต
    เมื่อเราตั้งใจรักษาศีลห้าข้อให้บริสุทธิ์ตั้งแต่วันนี้ ตั้งแต่ขณะปัจจุบันนี้
    ได้ชื่อว่าตั้งใจตัดเวรตัดกรรมตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
    ถ้าหากเราสามารถปฏิบัติต่อๆไปได้จนกระทั่งตลอดชีวิตของเรา
    เราก็จะได้ตัดกรรมตัดเวรตลอดชีวิตเรา นี่คือการตัดกรรมตัดเวรที่ถูกต้อง

    ศีลห้านี้เป็นเรื่องสำคัญเป็นแม่บทแห่งศีลทั้งหลายทั้งปวง
    เป็นหลักธรรมที่เป็นข้อมูลเป็นจุดเริ่มแห่งการทำความดี
    ผู้ใดปฏิบัติตามคำสอนของพระศาสดาเป็นประโยชน์ให้เกิดทางมรรคผลนิพพานอย่างแท้จริง
    ขอให้ยึดมั่นในศีลห้าประการ เมื่อท่านมีศีลห้าข้อนี้ครบโดยบริสุทธิ์บริบูรณ์แล้ว
    ความเป็นมนุษย์ของท่านสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม
    เมื่อเป็นเช่นนั้นท่านจะปลูกฝังความดีอันใดลงไป
    คุณความดีนั้นก็จะฝังแน่นในกาย วาจา และในใจของท่าน

    ขอขอบคุณและอนุโมทนาบุญกับบทความดี ๆ จาก http://blog.hunsa.com/papamama/blog/26605
    บุคคลผู้มีศีลเป็นพื้น ใจย่อมอยู่สบาย......
    อย่าเรียกร้องในสิ่งที่ไม่มี แต่จงภูมิใจในสิ่งที่มีอยู่...
    โกงเค้าชาตินี้ 1 ต้องใช้เค้าชาติหน้าเป็น พัน ทำทำไม?
    ศาสนาไม่ได้เสื่อม แต่คนเสื่อมจากศาสนา

    ธรรมนิยายธรรมะผู้สละโลก
    http://groups.google.com/group/DhammaSawasdee/web/%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81


  2. #2
    due's Avatar
    due is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    64
    Warning Points:
    0/5
    ขอยืมพื้นที่นิดนึงนะคะน้องhut

    การล้างบาปตามวิถีพุทธ


    ในพระพุทธศาสนานั้น มีวิธีการแก้ไขบาปอกุศลที่เคยพลาดพลั้งกระทำไป อย่างมีเหตุผลดังนี้

    สมมุติว่าเราใส่เกลือช้อนหนึ่งลงในน้ำ 1 แก้ว เมื่อคนให้ละลาย แล้วลองชิมดู ผลจะเป็นอย่างไร "ก็เค็ม"
    ถ้าเติมน้ำลงไปอีก 1 ถัง ชิมดูเป็นอย่างไร "ก็แค่กร่อย ๆ"
    ถ้าเติมน้ำลงไปอีก 1 แทงค์ใหญ่ ชิมดูเป็นอย่างไร "ก็จืดสนิท"

    "เกลือหายไปไหนหรือเปล่า????"
    "เปล่า ยังอยู่ครบถ้วนตามเดิม"

    "แล้วทำไมไม่เค็ม????"
    "ก็เพราะน้ำ 1 แทงค์มีปริมาณมาก มากจนสามารถเจือจางรสเค็มของเกลือจนกระทั่งหมดฤทธิ์ เราจึงไม่รู้สึกถึงความเค็ม"

    ภาษาพระท่านเรียก อัพโพหาริก หมายความว่า มีหมือนไม่มี คือเกลือนั้นยังมีอยู่ แต่ว่าหมดฤทธิ์เสียแล้ว ถือได้ว่าไม่มี

    เช่นกัน วิธีแก้ไขบาปในพระพุทธศาสนาก็คือ การหยุดทำบาป แล้วตั้งใจทำความดีสั่งสมบุญให้มากเข้าไว้ ให้ผลบุญกุศลนั้นมาทำให้ผลบาปทุเลาลงไป

    การทำบุญเหมือนการเติมน้ำ การทำบาปเหมือนการเติมเกลือ

    เมื่อเราทำบาป บาปนั้นก็ติดตัวเราไปเหมือนเกลือที่ยังคงอยู่ในน้ำ ที่สำคัญไม่มีใครไถ่บาปแทนเราได้ ดังพระพุทธวจนะที่ว่า "นาญโญ อัฏฐะ วิโสธะเย - ผู้ใดจะไถ่บาปให้ผู้อื่นบริสุทธิ์ไม่ได้"

    หนทางแก้ไขก็คือการเติมน้ำเพื่อเจือจางความเค็ม นั่นคือ เราต้องหมั่นสร้างบุญกุศลให้มากเพื่อมาทำให้บาปมีฤทธิ์น้อยลงหรือให้หมดฤทธิ์ลงไปให้ได้

    จะเติมน้ำหรือเติมเกลือ พวกเราทั้งหลายคงต้องเลือกเอง

    ขอยกพระพุทธวจนะเกี่ยวกับการเกิดบาปมา ณ ที่นี้ว่า
    "นัตถิ ปาปัง อกุพพะโต - บาปย่อมไม่เกิดแก่ผู้ไม่ทำบาป"
    "อัตตะนา วะ กะตัง ปาปัง อัตตะนา สังกิลิสสะติ - ผู้ใดทำบาป ผู้นั้นก็เศร้าหมองเอง"
    "อัตตะนา อะกะตัง ปาปัง อัตตะนา วะ วิสุชฌะติ - ผู้ใดไม่ทำบาป ผู้นั้นก็บริสุทธิ์"

    เอกสารอ้างอิง: ธรรมะสว่างใจ ปีที่ ๑๗ ฉบับที่ ๑๘๕, พฤศจิกายน-ธันวาคม ๒๕๔๘, วัดสังฆทาน, Bermingham.
    เรารักอะไรก็จะทุกข์เพราะสิ่งนั้น
    เพราะว่าสิ่งทั้งหลายล้วนแปรปรวนทั้งสิ้น
    ไม่มีอะไรคงที่อยู่ได้ตลอดเวลา

  3. #3
    hut2211's Avatar
    hut2211 is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    1,986
    Warning Points:
    0/5

    Talking

    ขอบคุณและอนุโมทนาครับ พี่ดิว
    บุคคลผู้มีศีลเป็นพื้น ใจย่อมอยู่สบาย......
    อย่าเรียกร้องในสิ่งที่ไม่มี แต่จงภูมิใจในสิ่งที่มีอยู่...
    โกงเค้าชาตินี้ 1 ต้องใช้เค้าชาติหน้าเป็น พัน ทำทำไม?
    ศาสนาไม่ได้เสื่อม แต่คนเสื่อมจากศาสนา

    ธรรมนิยายธรรมะผู้สละโลก
    http://groups.google.com/group/DhammaSawasdee/web/%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81


  4. #4
    TEDDY07's Avatar
    TEDDY07 is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    3
    Warning Points:
    0/5
    Quote Originally Posted by due View Post
    ขอยืมพื้นที่นิดนึงนะคะน้องhut

    การล้างบาปตามวิถีพุทธ


    ในพระพุทธศาสนานั้น มีวิธีการแก้ไขบาปอกุศลที่เคยพลาดพลั้งกระทำไป อย่างมีเหตุผลดังนี้

    สมมุติว่าเราใส่เกลือช้อนหนึ่งลงในน้ำ 1 แก้ว เมื่อคนให้ละลาย แล้วลองชิมดู ผลจะเป็นอย่างไร "ก็เค็ม"
    ถ้าเติมน้ำลงไปอีก 1 ถัง ชิมดูเป็นอย่างไร "ก็แค่กร่อย ๆ"
    ถ้าเติมน้ำลงไปอีก 1 แทงค์ใหญ่ ชิมดูเป็นอย่างไร "ก็จืดสนิท"

    "เกลือหายไปไหนหรือเปล่า????"
    "เปล่า ยังอยู่ครบถ้วนตามเดิม"

    "แล้วทำไมไม่เค็ม????"
    "ก็เพราะน้ำ 1 แทงค์มีปริมาณมาก มากจนสามารถเจือจางรสเค็มของเกลือจนกระทั่งหมดฤทธิ์ เราจึงไม่รู้สึกถึงความเค็ม"

    ภาษาพระท่านเรียก อัพโพหาริก หมายความว่า มีหมือนไม่มี คือเกลือนั้นยังมีอยู่ แต่ว่าหมดฤทธิ์เสียแล้ว ถือได้ว่าไม่มี

    เช่นกัน วิธีแก้ไขบาปในพระพุทธศาสนาก็คือ การหยุดทำบาป แล้วตั้งใจทำความดีสั่งสมบุญให้มากเข้าไว้ ให้ผลบุญกุศลนั้นมาทำให้ผลบาปทุเลาลงไป

    การทำบุญเหมือนการเติมน้ำ การทำบาปเหมือนการเติมเกลือ

    เมื่อเราทำบาป บาปนั้นก็ติดตัวเราไปเหมือนเกลือที่ยังคงอยู่ในน้ำ ที่สำคัญไม่มีใครไถ่บาปแทนเราได้ ดังพระพุทธวจนะที่ว่า "นาญโญ อัฏฐะ วิโสธะเย - ผู้ใดจะไถ่บาปให้ผู้อื่นบริสุทธิ์ไม่ได้"

    หนทางแก้ไขก็คือการเติมน้ำเพื่อเจือจางความเค็ม นั่นคือ เราต้องหมั่นสร้างบุญกุศลให้มากเพื่อมาทำให้บาปมีฤทธิ์น้อยลงหรือให้หมดฤทธิ์ลงไปให้ได้

    จะเติมน้ำหรือเติมเกลือ พวกเราทั้งหลายคงต้องเลือกเอง

    ขอยกพระพุทธวจนะเกี่ยวกับการเกิดบาปมา ณ ที่นี้ว่า
    "นัตถิ ปาปัง อกุพพะโต - บาปย่อมไม่เกิดแก่ผู้ไม่ทำบาป"
    "อัตตะนา วะ กะตัง ปาปัง อัตตะนา สังกิลิสสะติ - ผู้ใดทำบาป ผู้นั้นก็เศร้าหมองเอง"
    "อัตตะนา อะกะตัง ปาปัง อัตตะนา วะ วิสุชฌะติ - ผู้ใดไม่ทำบาป ผู้นั้นก็บริสุทธิ์"

    เอกสารอ้างอิง: ธรรมะสว่างใจ ปีที่ ๑๗ ฉบับที่ ๑๘๕, พฤศจิกายน-ธันวาคม ๒๕๔๘, วัดสังฆทาน, Bermingham.
    โห อ่านแล้ว ดีจังเลย
    ขอบคุณ SBN จ๊ะ

    หนังสือสวดมนต์ แจกฟรี ฟรี ฟรี
    ขอเชิญเพื่อนๆ SBN รับหนังสือสวดมนต์ฟรี
    เพื่อสวดบูชา ก่อให้เกิดความเป็นสิริมงคล
    แก่ตัวท่านเองและครอบครัว
    หรือจะเอาไปช่วยกันบอกบุญต่อก็ดียิ่งๆขึ้นไปเลยนะจ๊ะ

    ตามลิ้งค์นี้เลย
    http://siambrandname.com/forum/showthread.php?t=390560

  5. #5
    TEDDY07's Avatar
    TEDDY07 is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    3
    Warning Points:
    0/5
    Quote Originally Posted by hut2211 View Post
    ตัดกรรมตัดเวร

    โดยพระราชสังวร ( พุธ ฐานิโย )

    การตัดกรรมคือการหยุดทำความชั่วหยุดทำบาป
    ส่วนการตัดเวรคือการหยุดการพยาบาทอาฆาตจองเวรซึ่งกันและกัน
    คือไม่แก้แค้นซึ่งกันและกันรู้จักคำว่าให้อภัยซึ่งกันและกัน
    และผู้ที่ทำผิดก็ให้รู้จักคำว่าขอโทษ
    ผู้ที่ถูกขอโทษก็รู้จักคำว่าให้อภัย อันนี้เป็นอุบายตัดกรรมตัดเวร
    พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่าใครทำกรรมใดไว้ย่อมได้รับผลของกรรมนั้นแน่นอนหลีกเลี่ยงไม่ได้

    กัมมัสสะโกมหิ (เรามีกรรมเป็นของๆตน)
    กัมมะทายาโท (เราจะต้องรับผลของกรรมนั้น)
    กัมมะโยนิ (เรามีกรรมนำเกิด)
    กัมมะพันธุ (เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์พวกพ้อง)
    กัมมะปะฏิสะระโน (เรามีกรรมเป็นที่พึ่งที่อาศัย)
    ยัง กัมมัง กะริสสามิ (เราทำกรรมอันใดไว้)
    กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา (เป็นบุญหรือเป็นบาป)
    ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามิ (เราจะต้องรับผลของกรรมนั้น)
    อภิณหัง ปัจจะเวกขิตัพพัง (พึงพิจารณาเห็นเนืองๆดังนี้)

    ไปทำพิธีตัดกรรมก็เป็นการลบล้างคำสอนของพระพุทธเจ้า

    กรรมใดใครก่อไว้แล้วในเมื่อใจเป็นผู้จงใจทำลงไปแล้วเป็นกรรมอันเป็นบาป
    ภายหลังจึงมานึกได้และไม่ต้องการผลของบาป มันก็หลีกเลี่ยงปฏิเสธไม่ได้
    เพราะใจเป็นผู้สั่งให้กาย วาจา ทำลงไป พูดลงไป
    ใจตัวนี้ต้องรับผิดชอบโดยความเป็นธรรมโดยหลักของธรรมชาติ
    เพราะฉะนั้นการที่ไปทำพิธีตัดกรรมนี่หมายถึงตัดผลของบาปนั้นมันตัดไม่ได้ อย่าไปเข้าใจผิด

    ถ้าเข้าใจว่าทำบาปทำกรรมแล้วแล้วไปทำพิธีล้างบาปได้
    ทำพิธีตัดกรรมแล้วมันหมดบาปประเดี๋ยวก็ทำกรรมชั่ว
    แล้วมาหาหลวงพ่อหลวงพี่ตัดบาปตัดกรรมให้
    มันก็ไม่กลัวต่อบาปเพราะฉะนั้นอย่าไปเข้าใจผิดว่าทำกรรมอันเป็นบาปแล้วตัดกรรมให้หมดไปได้
    มันเป็นไปไม่ได้

    ********ยกตัวอย่างเรื่องกรรมบางส่วนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า********

    ชาติหนึ่งเคยเกิดเป็นนักเลงชื่อปุนาลี ได้กล่าวใส่ความพระปัจเจกพุทธเจ้า พระนามว่าสุรภิ
    ผู้มิได้ประทุษร้ายใคร ด้วยผลแห่งกรรมนั้นต้องไปท่องนรกสิ้นกาลนาน เสวยทุกขเวทนาสิ้นพันปี
    ด้วยกรรมที่เหลือในภพสุดท้ายก็ถูกใส่ความ เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา
    ซึ่งเป็นนักบวชหญิงถูกพวกเดียรถีย์ใช้ให้ทำเป็นไปค้างคืนกับพระสมณโคดม
    ให้ใครต่อใครหลงเข้าใจพระองค์ผิด ทั้งที่นางค้างที่อื่น แต่รุ่งเช้ามาก็ทำท่าโผเผมาจากเชตวนาราม
    ที่พำนักของพระพุทธองค์ อีกสองสามวันต่อมามีคนโจษจันเรื่องนี้กันแล้ว
    พวกเดียรถีย์ก็จ้างนักเลงไปฆ่านางสุนทริกา เพื่อป้ายความผิดว่านางถูกพระพุทธองค์ฆ่าปิดปาก
    คนทั้งหลายก็สงสัยว่าอาจจะเป็นจริง ร้อนถึงพระราชาต้องส่งราชบุรุษไปสืบเรื่องดูตามร้านสุรา
    เมื่อได้ความชัดแจ้งก็จับนักเลงที่ฆ่านางสุนทริกา กับเดียรถีย์ที่จ้างฆ่านางสุนทริกา มาลงโทษทั้งหมด
    อีกชาติหนึ่งเกิดเป็นพราหมณ์ผู้มีความรู้ มีผู้เคารพสักการะ เป็นผู้สอนมนต์แก่มานพ ๕๐๐ คน
    และได้ใส่ความภีมฤษีผู้มีอภิญญา มีฤทธิ์มาก หาว่าฤษีนี้เป็นผู้บริโภคกาม
    มานพทั้งหลายก็พลอยชื่นชมยินดีไปด้วย เมื่อไปภิกขาจารในสกุล
    ก็เที่ยวกล่าวแก่มหาชนว่าฤษีนี้เป็นผู้บริโภคกาม ผลของกรรมนั้นภิกษุ๕๐๐คนเหล่านี้
    ทั้งหมดพลอยถูกใส่ความด้วย เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกาที่ถูกนักเลงฆ่าและป้ายความผิดให้พระพุทธองค์
    รวมทั้งภิกษุทั้งหลายที่อยู่ในเชตวนาราม ก็พลอยถูกหาว่าร่วมกันฆ่าปิดปากนางสุนทริกาและถูกด่าว่าด้วย
    จนกระทั่งพระราชาจับนักเลงและเดียรถีย์ที่ร่วมกันฆ่านางได้ เรื่องราว จึงได้สงบ

    อีกชาติหนึ่งไปกล่าวใส่ความพระสาวกของพระสัพพาภิภูพุทธเจ้า มีนามว่านันทะ
    จึงต้องท่องไปในนรกหลายหมื่นปี เมื่อเกิดเป็นมนุษย์อีกก็ถูกใส่ความมาก
    และด้วยกรรมที่เหลือ ชาติสุดท้ายนี้จึงถูกนางจิณจมาณวิกา ใส่ความว่าพระองค์ทำให้นางตั้งครรภ์
    ชาติหนึ่งเคยฆ่าน้องชายต่างมารดาเพราะเหตุแห่งทรัพย์ ได้ผลักน้องชายต่างมารดาลงในซอกเขา
    เอาหินทุ่มใส่ ด้วยผลแห่งกรรมนั้นจึงถูกพระเทวทัตเอาหินทุ่มใส่ที่เขาคิชกูฏ
    จนสะเก็ดหินกระเด็นถูกหัวแม่เท้า ห้อพระโลหิตในชาติสุดท้าย
    จะเห็นว่าแม้ขณะเป็นพระพุทธเจ้าในชาติสุดท้ายท่านยังต้องได้รับผลของ
    กรรมเก่าที่ทำไว้ในชาติก่อนมาสนองหลายอย่าง จึงเห็นได้ว่าเรื่องของกรรมนั้นตัดไม่ได้

    แต่ตัดเวรนี้มีทางเป็นไปได้ เวรหมายถึงการผูกพยาบาทคอยแก้แค้นกันอยู่ตลอดเวลา
    อย่างเช่นฆ่าเขาตายเมื่อนึกถึงกรรมแล้วกลัวเขาจะอาฆาตจองเวร
    จึงทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เขา ถ้าหากว่าเขาได้รับส่วนกุศลเขาได้รับความสุข
    เขาเลื่อนฐานะจากภาวะที่ทุกข์ทรมานไปสู่ฐานะที่มีความสุข
    เมื่อเขานึกถึงคุณความดีนึกถึงบุญคุณ เขาก็อโหสิกรรมให้ไม่ตามล้างตามผลาญกันอีกต่อไป
    อันนี้คือตัดเวรซึ่งตัดได้

    บางท่านอาจจะคิดว่าพระพุทธเจ้าช่างโหดร้ายจริงๆทำอะไรก็บาป
    แต่แท้ที่จริงพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้โหดร้ายอย่าเข้าใจท่านผิด
    พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้กฎความเป็นจริงของธรรมชาติคือรู้ว่าฆ่าสัตว์เป็นบาป
    ลักทรัพย์เป็นบาป ผิดกาเมเป็นบาป มุสาเป็นบาป ดื่มสุราและสิ่งมอมเมาเป็นบาป
    แต่บาปที่กล่าวมานั้นมันมีมาก่อนที่พระพุทธเจ้าจะประสูติแล้ว
    ไม่ใช่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์มาประสูติแล้วมาบัญญัติขึ้นเอง
    หรือมาบัญญัติบาปกรรมและโทษทัณฑ์อะไรไว้ลงโทษสัตว์ทั้งหลาย

    การทำบาปทำกรรมนั้นสิ่งที่เรียกว่าเป็นบาปเป็นการกระทำด้วยกาย วาจา
    โดยมีใจเป็นผู้เจตนาคือมีความตั้งใจ ทำลงไปแล้วเป็นบาปทันทีคือการละเมิดศีลห้าข้อเท่านั้น
    เพราะฉะนั้นใครรักษาศีลห้าข้อได้บริสุทธิ์บริบูรณ์จึงเป็นการตัดทอนผลของบาป

    บาปกรรมที่ทำไว้ในอดีต เมื่อวานนี้หรือเมื่อเช้านี้ ย่อมตัดกรรมไม่ได้แล้วและจะต้องให้ผลต่อไป
    แต่เราจะตัดการทำกรรมชั่วในปัจจุบันได้และไม่ต้องรับผลของกรรมชั่วในอนาคต
    เมื่อเราตั้งใจรักษาศีลห้าข้อให้บริสุทธิ์ตั้งแต่วันนี้ ตั้งแต่ขณะปัจจุบันนี้
    ได้ชื่อว่าตั้งใจตัดเวรตัดกรรมตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
    ถ้าหากเราสามารถปฏิบัติต่อๆไปได้จนกระทั่งตลอดชีวิตของเรา
    เราก็จะได้ตัดกรรมตัดเวรตลอดชีวิตเรา นี่คือการตัดกรรมตัดเวรที่ถูกต้อง

    ศีลห้านี้เป็นเรื่องสำคัญเป็นแม่บทแห่งศีลทั้งหลายทั้งปวง
    เป็นหลักธรรมที่เป็นข้อมูลเป็นจุดเริ่มแห่งการทำความดี
    ผู้ใดปฏิบัติตามคำสอนของพระศาสดาเป็นประโยชน์ให้เกิดทางมรรคผลนิพพานอย่างแท้จริง
    ขอให้ยึดมั่นในศีลห้าประการ เมื่อท่านมีศีลห้าข้อนี้ครบโดยบริสุทธิ์บริบูรณ์แล้ว
    ความเป็นมนุษย์ของท่านสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม
    เมื่อเป็นเช่นนั้นท่านจะปลูกฝังความดีอันใดลงไป
    คุณความดีนั้นก็จะฝังแน่นในกาย วาจา และในใจของท่าน

    ขอขอบคุณและอนุโมทนาบุญกับบทความดี ๆ จาก http://blog.hunsa.com/papamama/blog/26605
    ขอบคุณจ๊ะ
    ขอบคุณ SBN จ๊ะ

    หนังสือสวดมนต์ แจกฟรี ฟรี ฟรี
    ขอเชิญเพื่อนๆ SBN รับหนังสือสวดมนต์ฟรี
    เพื่อสวดบูชา ก่อให้เกิดความเป็นสิริมงคล
    แก่ตัวท่านเองและครอบครัว
    หรือจะเอาไปช่วยกันบอกบุญต่อก็ดียิ่งๆขึ้นไปเลยนะจ๊ะ

    ตามลิ้งค์นี้เลย
    http://siambrandname.com/forum/showthread.php?t=390560

  6. #6
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    29
    Warning Points:
    0/5
    ขอบคุณจขกท และทุกๆท่านที่เอาธรรมะดี มาฝากค่ะ อ่านเเล้วซาบซึ้งใจค่ะขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ
    [SIGPIC][/SIGPIC]@@OrgaN@@♥♥♥.·:*¨¨*:·.A.·:*¨¨*:·.FIVE.·:*¨¨*:·.STAR.·:*¨¨*:·.BUYER.·:*¨¨*:·.♥♥♥






  7. #7
    pepsi5510's Avatar
    pepsi5510 is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    308
    Warning Points:
    0/5
    ขอบคุณครับคุณ hut 2211
    และคุณ due

    ในบทธรรมสอนสั่งดีๆ....
    กาลเวลาเป็นเครื่องชี้ตัวตนแห่งคน.
    ยินดีต้อนรับเพื่อนๆเข้ากลุ่ม Buddha Pra เพื่อเรียนรู้และถามปัญหาต่างๆเกี่ยวกับพระเครื่องที่คุณมี ด้วยความเต็มใจและจริงใจ การแบ่งปันความรู้ เป็นกุศลอันใหญ่หลวง.

    http://siambrandname.com/forum/forumdisplay.php?f=72

  8. #8
    Ohh's Avatar
    Ohh is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    1,124
    Warning Points:
    0/5
    ขอบคุณคุณฮัท และพี่ดิวมากๆค่ะ
    U r.. my L i F e

    ~~> ^ โอ๋ ^ <~~

Comments from Facebook

Posting Permissions

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •