วิธีดับทุกข์ เพราะ...คนริษยา
คนขี้ริษยา หรือคนขี้อิจฉา มีอยู่ทั่วไปทุกแห่งหน แม้แต่ภายในกำแพงวัด ที่มีเสียงสวดมนต์ เสียงแสดงธรรม เสียงสาธยายธรรม ก็ไม่มีการยกเว้น จะต่างกันบ้างก็แต่ว่า มีมากหรือน้อยเท่านั้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่ที่คุณธรรมภายในใจ ว่ามีมากน้อยแค่ไหน ?
แม้แต่พระพุทธองค์เอง ซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสตัณหาทั้งปวงแล้ว ก็ยังมีผู้ริษยาอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเจ้าลัทธิทั้งหลาย ที่ต้องสูญเสียประโยชน์ไป
แล้วจะนับประสาอะไร กับคนอย่างเรา ๆ ซึ่งยังเป็นปุถุชนคนเดินเท้าก้าวขึ้นรถเมล์ จะพ้นคนริษยาได้อย่างไร ?
แต่ว่าไปทำไมมี คนที่ถูกเขาริษยานั้น ยังดีเสียกว่าถูกเขาสงสารเป็นไหน ๆ ทั้งนี้เพราะ
คนที่ริษยาคนอื่นนั้น เป็นคนที่ด้อยกว่าเขา ไม่ว่าจะเป็นทางฐานะ ทางการศึกษา การงานหรือแม้แต่ความสุข เป็นต้น
ดังนั้น ถ้าเราถูกคนเขาริษยา ก็ไม่ควรจะโกรธหรือหงุดหงิดจนคันในหัวใจ ให้เสียสุขภาพจิต แต่ควรจะภูมิใจในวาสนาของตน แล้วพยายามดำรงสภาพ และคุณธรรมเหล่านั้นไว้ อย่าให้ความคิดริษยา กลายสภาพเป็นความสงสารขึ้นมาก็แล้วกัน
คนที่ถูกเขาสงสารนั้น เป็นคนที่ด้อยกว่า จากบวกคือริษยากลายมาเป็นลบคือสงสารหรือสังเวชใจ
อาการริษยานั้น มักจะมาคู่กับนินทาด้วย คือเห็นคนอื่นเขาได้ดีแล้วทนอยู่ไม่ได้ แม้ว่าคนนั้นจะมีอะไร ๆ ดีไปหมด แทบทุกอย่างในสายตาของคนทั่วไป คนขี้ริษยาหรือขี้นินทา ก็จะหาจุดใดจุดหนึ่งตำหนิ ให้เขาเกิดมลทินจนได้ เช่นว่า คนนี้อะไร ๆ ก็ดีหมดทุกอย่าง แต่…เมียค่อนข้างขี้เหร่ ผอมไป ดำไปหรือขาวไป เป็นต้น
คนเป็นคนมีฐานะดี ก็ว่าอาจจะโกงเขามา เบียดบังเขามาจึงรวยเร็ว ถ้าการศึกษาดี ก็ว่าอาจจะซื้อใบประกาศเขามา เป็นต้น ขยายต่อเอาเองก็ได้ไม่จบสิ้น คนเราลงริษยาหรือจะนินทากันแล้ว อะไร ๆ มันก็ไมดีไปหมด
ตราบใดที่คนเรายังมีธรรมะในใจน้อยอยู่ การริษยาหรือการนินทา ก็ย่อมมีเป็นของประจำโลกอยู่ตราบนั้น
อันวิสัยของคนดี ย่อมจะไม่เที่ยวไปเก็บเอาคำพูดชั่วๆ ของคนเลวๆ มาสุมไว้ให้รกในหัวใจดอก
ดังนั้น เมื่อเราได้ยินใครเขาซุบซิบนินทา อันเกิดจากความริษยาแล้ว เกิดความหงุดหงิดรำคาญใจ เดือดร้อนใจ อยากจะโต้ตอบ ด้วยประการใดก็ตาม นั่นก็แสดงว่า จิตของเราเป็นพาลแล้ว จงรีบตั้งสติระงับเสียโดยเร็ว มิฉะนั้นถ้าเกิดบ่อย ๆ มันจะกลายนิสัยเป็นคนจิตอ่อน ขี้ระแวง และจะกลายเป็นโรคประสาทในที่สุด
ทางที่ถูกต้องนั้น เมื่อมีคนนินทา ควรจะรีบหันมาสำรวจตนเอง ว่าเราเป็นจริงตามนั้นหรือเปล่า ? ถ้าเป็นจริงก็ควรที่จะขอบคุณเขา ที่เขาช่วย “ชี้ขุมทรัพย์” ให้เปล่า ๆ
แต่ถ้าไม่เป็นจริง ก็ควรจะภูมิใจว่า นี่เขาริษยาเราแล้ว แสดงว่าเรามีอะไร ๆ เหนือกว่า หรือดีกว่าเขา เขาจึงได้ริษยาเรา ควรที่จะเมตตาเขา สงสารเขา ที่สร้างมลทินขึ้นใจจนล้น และไหลออกมาทางปาก ทำให้สุขภาพจิตเสื่อม โดยไม่คุ้มค่าหรือจำเป็นเลย
ทางแก้
๑. ถ้าทำได้และไม่ลำบาก ควรหาของฝากไปให้เขาบ้าง เมื่อเขาได้รับอามิส การนินทาก็จะเปลี่ยนเป็นสรรเสริญไปในทันที แต่ไม่จำเป็นต้องทำก็ได้
๒. รีบสำรวจตนเองในทันที ถ้าเขานินทาจริง ก็ควรจะขอบคุณเขาด้วยความจริงใจ ถ้าไม่จริงก็อย่าไปใส่ใจเลย นินทากาเลเหมือนเทน้ำ
๓. พระพุทธองค์ตรัสว่า การนินทาและสรรเสริญ เป็นโลกธรรม คือสิ่งที่มีประจำโลก ถ้าไม่อยากได้ยินคนนินทา ก็มีอยู่ทางเดียว คืออย่ามาเกิดเป็นคนในโลกนี้
๔. ควรภูมิใจที่มีคนนินทา แสดงว่าเราดีกว่าเขา ถ้าเราเลวกว่าเขา หรือต่ำที่สุด เขาก็จะไม่นินทา แต่จะมีความสงสารเข้ามาแทน
๕. ควร “ทำใจ” ว่า ปากของเขา อยู่บ้านเขา กินข้าวของเขา แต่มานินทาเรา เราก็ไม่สึกหรออะไร ช่างเขาเถิด “ชั่งเขาชั่งมัน” ได้ ใจเราสบาย.
วิธีดับทุกข์ เพราะ...วุ่นวาย
วุ่นวาย คือ อาการหงุดหงิดภายในจิต แล้วก็แสดงออกมาทางคำพูดและทางกาย เช่น บ่น เพ้อ รำพรรณ จะนั่งนอนที่ไหนก็ไม่เป็นสุข หรือไม่เกิดความพอใจ เป็นต้น
อาการที่ว่านี้ ถ้าไม่รู้จับยับยั้ง หรือไม่มีอุบายที่จะทำให้มันสงบได้ อาจจะแตกดอกออกผล เป็นด่าหรือทุบตีเกิดขึ้นได้ ถ้ามีผุ้ขัดใจหรือมีอำนาจที่พอทำได้
เจ้าความวุ่นวายที่ว่านี้ มีเหตุให้เกิดได้ ๒ ทาง คือ จากสิ่งแวดล้อม และจากจิตของเราเอง
วุ่นวายจากสิ่งแวดล้อม คือ อยู่ในสภาพที่พลุกพล่านด้วยผู้คน และเสียงต่าง ๆ เช่น อยู่ด้วยกันมาก ๆ แออัดยัดเยียด เสียงจากโรงงาน เสียงสัตว์ เสียงคน เป็นต้น
วุ่นวายจากจิตของเราเอง คือ จิตใจมันไม่สงบอยู่แล้ว แม้ได้อยู่ในสถานที่สงบ มันก็อดที่จะวุ่นวายไม่ได้ ถ้าอยู่ในที่วุ่นวายด้วย ก็ยิ่งจะเสริมให้หงุดหงิด หรือวุ่นวายยิ่งขึ้นไปอีก
การจัดการกับสิ่งแวดล้อม ที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายนี้ จัดได้ยากและไม่ควรจัด เพราะจะต้องจัดกันไม่รู้จักจบสิ้น ทั้งจะต้องพบกับอุปสรรค และต้องลงทุนลงแรงมาก ผลที่ได้ไม่คุ้มค่ากัน
สู้การจัดที่จิตใจของตนเองดีกว่า ทั้งง่ายและประหยัดด้วยมีวิธีทำได้ ๒ ประการ คือ ก. แยกตัวเอง ข. สงบใจตนเอง
การแยกตัวเอง คือ การปลีกตนออกไปอยู่คนเดียว ในที่สงบสงัด ตามแต่ที่เราจะเห็นสมควร ถ้ามีบริเวณบ้าน หรือสวน จะจัดมุมใดมุมหนึ่ง ให้เป็นที่วิเวก เช่น ปลูก กระท่อมเล็ก ๆ ที่อยู่โดดเดี่ยวและอิสระก็ได้
การอยู่ในสถานที่สงบสงัดนั้น เท่ากับปิดทวารไปได้ ๕ ทางแล้ว คือ ทางกาย ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น เหลืออยู่แต่ทางใจทางเดียว คือความนึกคิด
การสงบใจตนเอง คือ การทำให้จิตใจสงบ มีวิธีทำอยู่ ๒ ประการ คือ ก. ทำในที่สงบสงัด ข. ทำในทุกที่
การทำในที่สงบสงัด คือ อยู่ในสถานที่สงบสงัด แล้วจึงจัดการกับจิตใจของตนเอง มีการเจริญสติ สมาธิ และ วิปัสสนา เป็นต้น
การทำในทุกที่ คือ ไม่เลือกสถานที่ อยู่ที่ไหนก็ทำมันที่นั่น ไม่สนใจกับสิ่งใดหรืออารมณ์ใดทั้งสิ้น ข้อสำคัญคือการ "ทำใจ" ไม่เกาะเกี่ยวในอะไรทุกสิ่ง
ตัวเจตนา ความตั้งใจ ความใส่ใจ หรือจะพูดให้ตรง ๆ ก็คือความเส่หาอารมณ์ไม่เข้าเรื่อง หรือสิ่งที่ไม่เป็นเรื่องนั่นแหละ เป็นมารหัวใจที่ร้ายกาจยิ่ง
สิ่งใดที่มันจะเกิดมันก็เกิด สิ่งใดมันจะดับมันก็ดับของมันไปตามสภาวะหรือเหตุปัจจัย ถ้าเรามีสติและสัมปชัญญะ เราก็จะแยกรับหรือปล่อย โดยที่ไม่เกิดความเดือดร้อนอะไรเลย
รวมความว่า ต้นเหตุว่าความวุ่นวายใจทั้งหลาย ล้วนเกิดจากการขาดสติ สมาธิ และปัญญา กล่าวคือระลึกไม่ได้ ว่าอะไรเกิดอะไรดับ อะไรมีโทษและมีคุณแก่จิตใจ ในขณะนั้น ๆ ก็ไม่รู้ตัวเลย
ทางแก้
๑. ถ้าจัดการกับสิ่งแวดล้อมได้ ก็จัดการไป
๒. ถ้าจัดไม่ได้ก็ปลีกตนออกไปอยู่ในที่สงบสงัด
๓. คุมจิตของตนเอง ด้วยสติ สมาธิและปัญญา
ข้อที่ ๓ นี้สำคัญที่สุด ถ้าเอาสติควบคุมจติไว้ได้เพียงสิ่งเดียว สิ่งอื่นทั้งโลกก็หมดความหมาย.
ขอบคุณบทความดี ๆ จากสนุกดอตคอมครับ