อ่ะ มาต่อกัน ความเดิมคราวที่แล้ว บินจาก toronto-vancouver-anchorage ถึงแล้วขึ้นรถของทาง princess cruise ที่มารับไปลงเรือ (จริงๆ เล่าแบบนี้ก็สั้นดีนะ ใจความเท่ากันเลย 555)
ด้วยความรู้สึกตามปกติ พอลงเครื่องนั่งรถต่อนิดนึงก็น่าจะถึงที่หมายแล้ว (อย่างว่า trip instruction มีแต่ไม่อ่าน -"-) ก็เข้าใจไปเองว่า เด๋วก็จะได้ทานข้าวแล้ว เพราะตอนนั้นหิวสุดๆ แถมจะเก็บท้องไว้ทานให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้อีกตะหาก คือเผื่อท้องไว้ตะกละนั่นเอง นิสัยเสียจริงๆ เมื่อเป็นรถของทาง cruise ก็ย่อมจะมีผู้บริการเป็นไกด์ท้องถิ่นนั่งประจำรถ ตอนแรกนึกว่าเป็นแค่คนนับหัว (ปกติถ้าไปทัวร์จะมีคนคอยเอานิ้วมาจิ้มหัวทำปากขมุบขมิบว่า เออมันมากันครบแล้วอยู่เสมอ) ปรากฎว่าไม่ใช่ เป็นคนท้องถิ่น มาคอยอธิบายซ้ายขวาหน้าหลังรอบรถว่าเราผ่านอะไรกันมาบ้าง เพราะเรื่องของเรื่องคือ ต้องนั่งรถไปกว่าชั่วโมงกว่าจะไปถึงท่าลงเรือ ซึ่งอันนี้แล้วแต่ดวงว่า จะชั่วโมงเดียว หรือชั่วโมงครึ่ง เพราะทางที่จะไปยังท่าเรือต้องผ่านอุโมง ซึ่งเป็นอุโมงเดียวที่จะเชื่อมทั้งสองเมืองเข้าด้วยกัน เป็นอุโมงเดินรถทางเดียว แปลว่าถ้าข้างโน้นมา ข้างนี้ต้องรอ ... แค่นั้นไม่พอ ยังเป็นอุโมงที่ใช้ร่วมกับรถรางอีกด้วย แปลว่าถ้ามีรถรางมา ทุกคนก็ต้องหยุดรอรถรางผ่าน หรือถ้าไม่หยุดก็ตัวใครตัวมันนี่แหละ เพราะฉะนั้น ขึ้นอยู่กับดวงว่าจะไปทันหรือไม่ทันรถรางนั่นเอง
ระหว่างทางไกด์ก็เล่าไปเรื่อยๆ ประวัติรัฐ เค้าว่ากันว่าทางรถไฟสายแรกในอลาสก้ามูลค่าการก่อสร้างสูงมาก สูงเท่ากับมูลค่าของรัฐตอนที่ซื้อมาใหม่ๆ แปลว่าแพงนั่นแหละ แต่ด้วยความด้อยความรู้ จึงไม่แน่ใจว่าตะก่อนอเมริกามันโตโดยการซื้อที่ดิน (หรือซื้อรัฐนั่นแหละ) หรือเปล่า เพราะแถวบ้านเราขอบเขตที่ดินได้มาโดยการไปตีเค้าเอามาเป็นของเรา ไม่ได้ซื้อขายนี่ เลยไม่ค่อยมั่นใจ ทางรถไฟเป็นเส้นทางเลียบฝั่ง ถ้าได้นั่งคงสวยมาก แต่ไม่เป็นรัย เราเน้นเร็วไว้ก่อนจะดีกว่า หลังจากนั้นก็อธิบายโน่นนี่นั่นไปตามเรื่องตามราว ฟังทันมั่งไม่ทันมั่งหลับมั่งท้องร้องมั่ง อ่านเอาตามรูปละกันนะ ที่สนใจคือเจ้าสาหร่ายโคลนดูด คือเค้ามีชื่อแหละ แต่จำไม่ได้ หน้าตาจะเหมือนชายเลนบ้านเรา ซึ่งของบ้านเราเดินได้ ข้างล่างเป็นดินเละๆ แต่มีก้น เจ้าสาหร่ายนี่จะลอยๆ อยู่ เดินลงไปจะเหมือนเดินลงทรายดูด คือจมอย่างเดียว ไม่มีก้น (ทำไมถึงเรียกว่าก้นนะ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เดินบนก้นซะหน่อย ^^") และไม่มีที่ยึดเหนี่ยว ถ้าไม่มีคนมาเห็นทัน ก็จมลงไปทั้งเป็นนี่แหละ แถมขึ้นมาก็ลำบากเพราะเหมือนว่ายน้ำในโคลน และด้วยความเป็นโคลนมันจะก็ไม่เหมือนจมน้ำยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ เห็นว่ามีคนตายเพราะเจ้านี่ทุกปี ความพิเศษอีกอย่างคือ เพราะมันเป็นสาหร่าย แต่ละวันจะไม่เหมือนกัน จะเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสน้ำ หรือตามใจของมันก็ไม่รู้ ทำให้ดูได้ยากในบางกรณีว่า หาดมันสุดแค่ไหน แล้วตรงนั้นมันหาดหรือมันสาหร่ายกันแน่ ... พยายามมองจากรถแยกไม่ออกเลย พอเข้าใจทำไมมีคนจมทุกปี
นั่งรถพอหลับก็ตื่นมาด้วยอาการว่า เย้ถึงแล้ว มีเสียงวู้วว้าวเล็กน้อย ลืมตาขึ้นมา เย้ยยยย เคยคิดในใจนะว่าเรือมันจะลำใหญ่ แต่พอเห็นก็เข้าใจว่า ที่คิดไว้เล็กมากเลย เรือที่จะนั่งชื่อ island princess เป็นของเครือ princess cruise เรือมีความสูงทั้งหมด 15 ชั้น ความจุผู้โดยสารสองพันกว่าคน และลูกเรืออีกประมาณร้อยคนมั้ง จำไม่ได้อ่ะ เห็นแล้วใจฝ่อนึกถึง titanic กับ poseidon (ที่ไม่ได้บริการนวด) ความคิดแรกคือ ... มันจะจมมั้ยเนี่ย ... คือสมัยนี้ก็เป็นสมัยที่เรือเดินสมุทรจมน้อยกว่าเครื่องบินอ่ะนะ แต่ก็ยังหวั่น ใจจริงๆ ^^"
ก่อนขึ้นเรือต้องทำการยืนยันตัวตน เช็คหนังสือเดินทางว่าท่านสามารถเหยียบย่างเข้าไปในแคนาดาได้ (เพราะตอนนี้เราอยู่ในอลาสก้า ของอเมริกาแล้วนั่นแหละ) เพราะต้องไปขึ้นเรือที่ vancouver (ลงไปในเรือ กับขึ้นฝั่งจากเรือใช่มั้ย งงๆ แหะๆ) ถ้าเข้าแคนาดาไม่ได้ ก็จะออกจากเรือไม่ได้นั่นแล เข้าไปในจุด check-in โห คิวยาวมาก เพราะตอนนั้นไม่คิดว่าเรือจะรับได้ถึงสองพันคน ทางเจ้าหน้าที่ก็จะให้บัตรห้อง ซึ่งเป็นบัตรลงเรือด้วย ถ้าขึ้นฝั่งแล้วลืมเอาลงไป ก็จะลงเรือไม่ได้เพราะใช้แทนบัตร id เลยทีเดียว ในบัตรจะคีย์ข้อมูลว่าเราอยู่ห้องไหน ชื่ออะไร บัตรเครดิตเลขที่เท่าไหร่ พาสปอร์ตระหัสอะไร ประมาณนั้น แถมเวลาขึ้นลงเรือ จะมีการแสกนบัตรและถ่ายรูปไว้ (คล้ายๆ เวลาเราผ่าน immigration ที่สุวรรณภูมินั่นแหละ) เวลาขึ้นเรือเจ้าหน้าที่จะได้เช็คได้ว่าเราไม่ได้แอบไปทำศัลยกรรมมา ตัวเองได้บัตรเรียบร้อย คุณ dad รายงานเรื่องกระเป๋าหายเป็นรอบที่ล้าน เจ้าหน้าที่บนฝั่งก็บอกว่าให้ไปแจ้งเจ้าหน้าที่ด้านในเรือให้ตามเรื่องให้ ให้ไปแจ้งอีกรอบที่ล้านหนึ่ง ส่วนคุณแม่มีปัญหาคือในใบ confirmation สะกดชื่อถูก พอมาที่นี่ข้อมูลชื่อผิด มันไปผิดตอนไหนก็ไม่รู้ ก็กลัวว่าจะขึ้นเรือไม่ได้เพราะชื่อผิด แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่เป็นรัย ไปแก้ได้ในเรือที่เดียวกับที่แจ้งกระเป๋าหายนั่นเอง
ที่แอบขำเล็กๆ คือว่า การแบ่งห้องนอนก็ให้ คุณพ่อ กับ dad นอนห้องเดียวกัน ส่วนตัวเองก็นอนห้องเดียวกับคุณแม่ แต่คุณแม่ตอนกรอกชื่อจองใช้ prefix ว่า Dr. ทางคนจองเลยเข้าใจว่าเป็นหมอผู้ชาย มากับเมีย ข้าพเจ้าก็เลยกลายเป็น Mrs. ไปโดยปริยาย ... เข้าไปในห้องมีใบโปรโมชั่น champagne candle light dinner สามีภรรยาสุดหรูไว้ให้ไปใช้บริการด้วย!!! อยู่ๆ ก็กลายเป็นคนแต่งงานแล้วซะงั้น แถมแต่งกับคุณแม่ตัวเองอีกตะหาก 555
จังหวะแรกที่จะเดินเข้าเรือ (ใช้คำว่าเข้าดีกว่า ลงมันก็ไม่เหมือนลงอ่ะ มันสูง เดินเข้าไปที่ชั้นห้าแหน่ะ) ก็รีบมองเรือชูชีพก่อน ... มีแค่นี้จะพอมั้ยเนี่ย แล้วมันเป็นของจริงใช่มั้ย ไม่ใช่โฟมตัวทาสีนะ (ใครหลอนก่อนมาไม่รู้จำไม่ได้ จำไว้เลยยยย) พอเข้าไป โอ้ โห เหมือนในหนังเลย มันมีจริงๆ ด้วยนะ เรือที่เป็นแบบนี้ ทางเดินดูมึนงงมาก จะหลงมั้ยไม่รู้ รีบขอแผนผังก่อนเลยอย่างแรก ห้องพักอยู่ชั้น 12 ชื่อว่า aloha deck เป็นชั้นบนสุดของห้องพัก ข้างบนจะเป็น observation deck, spa, กับห้องอาหาร buffet ชั้นห้องพักเดาว่ามันคงมาจาก a b c d ... ประมาณนี้ ชั้น 12 Aloha deck ชั้น 11 Bahama deck ชั้น 10 C... อะไรไม่รู้ จำไม่ได้แล้ว
อีกอย่าง ด้านซ้ายกับขวาของเรือเค้าจะไม่เรียกกันว่า ซ้าย ขวา เค้าจะเรียกตามหัวเรือคือ หันหน้าไปทางหัวเรือ ด้านซ้ายเรียกว่า port side ด้านขวาเรียกว่า starboard side ห้องที่ได้ก็อยู่ทาง starboard side ซึ่งก็รู้สึกดี ไม่รู้เป็นเพราะถนัดขวาหรือเปล่า เวลาเรือแล่นแล้วมองออกไปเห็นวิวทางด้านขวาจะรู้สึกชินกว่ายังงัยไม่รู้ ภายในห้องก็สะอาดดี มีห้องน้ำในตัว มีเตียง twin 2 เตียง โต๊ะแต่งตัว โต๊ะวางของ ทีวี เหมือนห้องพักโรงแรม 3 ดาว แต่ที่ดีที่สุด และดีกว่าโรงแรมคือมีระเบียงชมวิว ที่วิวจะเปลี่ยนของมันเองตลอดเวลา (^o^~ )/
มาดูในเรือบ้าง ดาดฟ้าเรือจะเป็นส่วนที่เป็นสระน้ำ ซึ่งมีทั้ง indoor และ outdoor ตอนเห็นคิดในใจว่าหนาวขนาดนี้ใครมันจะบ้าลงสระฟระ... แล้วมันก็มีจริงๆ 555 สระน้ำเป็นสระปรับอุณหภูมิ เห็นไอร้อนไหวๆ ตอนอยู่ในสระก็พอจะเข้าใจได้ ตอนขึ้นจากน้ำแล้วต้องเดินไปห้องเปลี่ยนเสื้อผ้านี่ซิ ใส่โค้ทอยู่ยังหูจะขาดแล้วเลย ฝรั่งทนได้เจรงๆ ข้างบนสุดเป็น observatory deck ให้ขึ้นมาชมวิว มี outdoor oversize chessboard ด้วย แต่นะ เย็นขนาดนี้ ลมแรงขนาดนั้น ใครจะมีสมาธิเล่นได้ หรือเค้าไว้ใช้ฝึกจิตก็ไม่รู้ ส่วนตัวยืนเฉยๆ ก็สติแตกซ่านวิ่งหากำบังลมเรียบร้อย
จุดชมวิวที่มีลมปะทะจะมีกระจกใสอยู่รอบ คงกลัวจะมี man over board หรือคนตกเรือนั่นแหละ กระจกวันแรกก็ใสดี วันที่สามชักมัวละ ก็เข้าใจอ่ะนะ ใครจะออกไปเช็ดให้จากนอกเรือตอนมันแล่นอยู่ (^x^" ) ส่วนโถงด้านในเป็นจุดที่ก่อความขนลุกขนพองมาก เพราะเป็นลิฟท์แก้ว แล้วตอนที่ไปถึง เจ้าหน้าที่ในเรือกำลังก่อ champagne pyramid อยู่ ก็เอาแก้วมาซ้อนๆ กันแล้วรินแชมเปญลงไปนี่แหละ จริงๆ มันก็สวยดีไม่น่าหลอน แต่มันเหมือนฉากเปิดเรื่อง poseidon มากๆ ที่เป็นฉากปาร์ตี้ ก่อนที่มันจะล่ม เลยแอบรู้สึกหวาดเล็กๆ ด้านในทางเดิน counter service เหมือนอยู่โรงแรมขนาดใหญ่มากๆ บางวันคลื่นลมสงบ เดินๆ แล้วลืมไปเลยว่าอยู่บนเรือ
ห้องอาหารบนเรือแบ่งเป็น buffet ฟรี และเปิด 24/7 ส่วนห้องอาหารหลักจะแบ่งกันตามบัตร โดยบนบัตร id จะมีระบุเลยว่าเราต้องนั่งทานห้องไหน และทานได้ห้องนั้นเท่านั้น โชคดีวันท้ายๆ ห้องประจำเต็มคนเยอะมาก เลยได้ upgrade ไปนั่งอีกห้องที่เหมือนจะหรูกว่า แต่เมนูก็เหมือนกันเลยไม่รู้ว่ามันต่างกันตรงไหนนอกจากคนน้อยกว่า ส่วนห้องอาหารอื่นๆ จุดนั่ง drink bar lounge เหล่านั้นต้องเสียเงินเพิ่มนอกเหนือจากค่าเรือที่จ่ายไป ห้องอาหารในเรือก็จะมีห้องอาหารอิตาลี กับห้องอาหาร steak ด้วยว่าไม่มีห้องอาหารญี่ปุ่น เลยไม่ได้อยากที่จะไปชิมที่อื่นนัก ห้องปกติก็เปลี่ยนเมนูทุกวัน แค่นี้ก็ทานไม่หวาดไม่ไหวแล้ว
ในเรือจะมีร้านอาหารมากมาย ร้านขายของซึ่งจะมี american brand เช่น guess แล้วก็มี international brand เช่น swarovski ที่มีมากที่สุดจะเป็นร้านขายเครื่องเพชร โดยจะมี personal helper ช่วยประกบอย่างดี เพราะส่วนมากคนมักจะมาขอแต่งงานกัน หรือฉลอง honeymoon ไม่ก็ anniversary ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่จะเกิดการเสียตังค์ ร้านขายของไม่ใช่จุดเดียวที่ดูดทรัพย์ จุดใหญ่ที่สุดคือ casino เป็น casino ลอยน้ำที่รวมทั้ง slotmachine (ที่ไม่ใช่วง) และโต๊ะไพ่ไว้ในที่เดียวกัน เห็นบางคนนั่งตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย เค้าเกิดมาเพื่อสิ่งนี้กันจริงๆ ส่วนบริการอื่นๆ ที่ไม่ต้องเสียทรัพย์ก็จะมีเช่นยิม แต่... ใช่มันมีแต่ แต่ถ้าลงคอร์สพิเศษ หรือมี personal trainer (แค่เจ็ดวันจะได้ผลมั้ยเนี่ย) ต้องจ่ายเพิ่ม มีโรงหนังที่ดูฟรี แต่มีเรื่องเดียว ตอนที่ไปคือ the secret life of bees เค้าว่าดี แต่ไม่ได้ดู เมื่อมีโรงหนังก็มีโรงละคร ซึ่งมีละครให้ดูทุกวัน คุณแม่กับ dad ชอบมากกกก ไปดูกันทุกคืน ส่วนคุณพ่อ ประจำการอยู่ตามกราบเรือ รอถ่ายรูปเป็ดทะเล คงเป็นญาติห่างๆ ของผีทะเล การจะถ่ายให้ติดเลยอยู่ในขั้นยากมากกกกก
นอกจากนี้แล้ว บนเรือก็ยังมีส่วนที่เป็น track ไว้วิ่งออกกำลังกาย เป็นชั้นที่เปิดสองข้างให้วิ่งวนรอบเรือ และเป็นจุดที่ถ่ายเทอากาศของในเรือ ซึ่งคุณพ่อเป็นผู้ค้นพบว่า ถ้ามายืนดูนกตรงนี้ จะอุ่นกว่าที่ไหนๆ เพราะเป็นจุดที่ลมร้อนระบายออกมาพอดี ... เก่งมากๆ หาทั้งเรือจนเจอที่ๆ สบายที่สุด 555 และเป็นจุดที่อยู่ใกล้น้ำกว่า observation deck แปลว่าถ้าเจอตัวอะไรต่อมิอะไรจะถ่ายรูปได้ใกล้กว่า ...
ผลน่ะหรือ ตอนพยายามมองหาเจ้าวาฬหลังค่อม (hunchback whale) ตัวใกล้ๆ เพราะส่วนใหญ่จะอยู่ไกลๆ เห็นพ่นน้ำลิบๆ คุณวาฬเจ้ากรรมก็ว่ายมาตรงที่ยืนอยู่พอดี แทบจะติดกับเรือ จากที่บอกว่าอยู่ตรงนี้เห็นใกล้ถ่ายดี กลายเป็นมัวแต่ดีใจตื่นเต้น กว่าจะเปิดหน้ากล้อง น้องวาฬก็ไปไหนต่อไหนแล้ว 555 เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า สิ่งที่สำคัญกว่า location location location คือ "สติ"
ชมในเรือมามากแล้ว มาชมนอกเรือบ้าง ทริปนี้จะเป็นนั่งเรือชมอ่าว และจุดประสงค์หลักคือชม glacier bay ทำให้เรือจะค่อยๆ แล่นเลียบฝั่ง หรือแล่นในช่องแคบเป็นส่วนใหญ่ ที่ฉลาดน้อยก็คือ มาทางนี้ แผ่นดินใหญ่อยู่ทางซ้ายของเส้นทาง ห้องอยู่ทางขวา ทำให้บางวันมองเห็นแต่น้ำกับทะเล ไม่รู้เลยว่า อีกด้านเค้ากรี๊ดๆ เห็นฝูงปลาโลมา เห็นน้อง sea lion นอนอาบแดดเลียบฝั่ง แต่แค่วิวที่เห็น ก็ประทับแล้ว (ในที่นี้คือประทับใจซักสามวัน วันที่สี่ เวลาเห็น ก็จะรู้สึกว่า เฮ้อออ ฟ้า น้ำ น้ำแข็ง ความสุนทรีย์ช่างมีน้อยนิดจริงๆ ฮ่าๆ)
และนอกเหนือไปจากน้ำแข็งแล้ว การมาอยู่บนเรือก็ทำให้รู้ว่าการได้มองพระอาทิตย์ลับฟ้า และมุมมองแบบ panorama มันทำให้รู้สึกดีแค่ไหน ไม่ได้เห็นอะไรโล่งๆ มานานแล้ว
ก่อนลงเรือได้เห็นภูเขาที่เต็มไปด้วยหิมะใหญ่โตมากมาย ทำให้เกิดความฮึกเฮิม (จะไปรบเร๊อะ!) กะว่าจะต้องได้เห็นอีกเต็มๆ แน่ๆ ในการล่องเรือนี้ ยิ่งวันแรก ทางเรือประกาศปรับเวลา รวมทั้งแจ้งว่า อย่าตกใจไป ถ้าพบว่า ฟ้ายังไม่มืด เพราะเราขึ้นมาทางเหนือ พระอาทิตย์จะช้ากว่าทางใต้ และในวันแรกนี้ พระอาทิตย์จะตกตอนเวลายี่สิบสามนาฬิกา... โอ้วววว อีกนิดเดียวก็จะได้เห็นพระอาทิตย์เที่ยงคืนแล้วซินะ ตื่นเต้นมากกกก มองฟ้าตลอดว่ากี่โมงแล้ว จะมืดหรือยัง หากวันแรกเดินทางมาอย่างทรหด สุดท้ายก็ม่อยไปก่อนได้เห็นพระอาทิตย์ตอนยี่สิบสามนาฬิกา แต่ก็ไม่รู้สึกอะไรมาก เพราะหลับกันหมด 55 ถ้าเป็นคนเดียวที่ไม่ได้เห็นคงจะนอยด์น่าดู ^^"
ท้องฟ้าทั้งหมดที่เห็นเป็นรูปที่ถ่ายหลังสองทุ่มครึ่งค่ะ
อยู่บนเรือเยอะละ รอบหน้ามาเที่ยวเมืองใน alaska กันดีกว่า "o(^.^ )o"
ยาวจัด ขอพักหน่อยนะคะ ไว้มาต่อกันคราวหน้าค่า