เรื่องของธูป
ธูปที่จุดบูชาพระพุทธเจ้านิยมจุดครั้งละ3ดอก หมายถึงการบูชา"พระคุณทั้งสามของพระองค์ท่าน"
คือ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ (เรื่องธูปบางท่านอาจจะเข้าใจผิด ว่าหมายถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งไม่ถูกต้องนะครับ)
กลิ่นของธูปในปัจจุบันปรุงแต่งกลิ่นมากเกินไป อาจทำให้เกิดการฟุ้งซ่าน หอมฟุ้งตรึงใจมากเกิน
ธูปในสมัยก่อนจะไม่ค่อยปรุงแต่งกลิ่น จะเป็นธรรมชาติและทำให้เกิดกิเลสยุบตัวลง จิตใจก็จะสงบระงับได้เร็ว ถ้าสวดมนต์ภาวนาก็จะไม่ฟุ้งมากนัก เท่ากับธูปที่ปรุงกลิ่นมากเกินไป
ธูปที่แสดงการเผาไหม้นั้นเป็นการเตือนสติให้แก่ชาวพุทธ ให้รู้จักเผากิเลาของตนลงเสียด้วย พระปัญญา พระบริสุทธิ พระกรุณาเป็นความหอมของพระพุทธองค์ท่าน
ไม่มีวันที่จางหายไปเปรียบเหมือนศีลที่เรารักษาเอาไว้ ก็มีความหอมอยู่ภายในด้วยสติแห่งการสำรวม เวลาจุดธูปเราจึงระลึกในคุณทั้งสามของพระองค์ท่าน
ธูปที่กำลังเผาไหม้จงมาเตือนสติเผากิเลสในใจให้เบาบางแห่งตนเอง เหตุดีผลก็ดีด้วย แสวงหาปัญญาย่อมได้ปัญญา
อย่าจุดธูปเพื่อบนบาน อย่าจุดธูปที่เต็มไปด้วยกิเลส แต่จงจุดธูปเพื่อระลึกคุณทั้งสามของพระพุทธองค์ที่แสดงเหตุและผล
อย่าเป็นผู้ขอ อย่าอ้อนวอน อย่าติดสินบน อย่าหวังในผล จุดแบบมีสติ กราบแบบมีสติ รู้ตามความจริงย่อมมีเหตุมีผลในตัวเองอยู่แล้ว
คือการระลึกรู้ธรรมชาติที่ถูกต้อง ใจจะพัฒนามากยิ่งขึ้นถ้าเพียงตัดคำว่ากิเลสทิ้งไป อย่าอยากนำ นี่เป็นหลักของพระองค์ท่านนะครับ
เรื่องของเทียน
เทียนเอาไว้สำหรับบูชาพระธรรม นิยมจุดบูชาครั้งละ2เล่มเป็นอย่างน้อยนะครับ
ที่จุด2เล่มก็มีความหมายอยู่คือ บูชาพระธรรมและพระวินัย และเป็นเครื่องเตือนสติของตนว่าเราปฏิบัติตามพระธรรมและพระวินัยมาอย่างถูกต้องหรือไม่
การจุดเทียนแสดงถึงความสว่างจึงหมายถึงความโล่งโปร่ง ความเบา ความว่องไว ซึ่งจะเข้ามาทำลายความมืดบอดของใจ คืออับเฉา อึดอัด คับแคบ รุ่มร้อนกระวนกระวาย
ยามใดที่เราจุดเทียนเราจะรู้สึกถึงความสว่าง นิ่มนวล อ่อนโยน มีพลัง มีสุขใจ ปีติแบบลุ่มลึก
ในขณะจุดเทียนบูชาพระธรรมและพระวินัยพระองค์ท่านเปรียบเสมือนความขลัง มีมนต์ดลใจให้ตรึงตาและเกิดการรวมจิตไม่ให้วอกแวก ไม่ให้ซัดส่าย
เทียนที่อยู่ตรงหน้าตรงสายตาทั้งคู่ จึงเหมือนมีอำนาจทำให้กิเลสสงบลงไปชั่วขณะและใจก็ไม่ซัดส่ายเหมือนลมที่สงบลงชั่วคราวฉันใด เทียนคู่เล่มน้อยก็สงบใจให้นิ่งเหมือนเปลวเทียนฉันนั้น
ผู้ใดที่ศึกษาพระธรรม พระวินัยมาโดยดี ย่อมทำโอปนยิโก น้อมเข้ามาหาพิจารณาสติแห่งตน ศีล สมาธิ ปัญญาย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย
ด้วยการสำรวมสติ ระวัง รักษา ผู้นั้นย่อมขจัดเสียซึ่งความมืดภายในคือ โมหะให้ละลายหายไปด้วยปัญญาที่ถูกจุดขึ้นมาเหมือนเปลวเทียนที่ให้แสงสว่างปานนั้น
เมื่อเทียนหมดไป ความมืดก็มาเยือน ย่อมแสดงถึงอนัตตา ธรรมทั้งหลาย ไม่ใช่ตัวตน หาสิ่งใดจับต้องไม่ได้
ดีก็มาชั่วคราว ชั่วก็มาชั่วคราว สว่างก็มาชั่วคราว มืดก็มาชั่วคราว ทุกสิ่งล้วนแล้วอาศัยเหตุ
เมื่อหมดเหตุ ผลก็ตามมาอันเป็นเรื่องธรรมดาของธรรมชาติ เทียนที่หมดเชื้อ ไฟก็ย่อมมอดดับลงไปเป็นเรื่องธรรมดา
ธัมมารมณ์ในธัมมารมณ์เมื่อพิจารณาย่อมทำให้เกิดปลงสังเวชแม้แต่สังขารก็ไม่เที่ยง ไม่มีสิ่งใดจับต้องได้
เทียนที่ให้แสงสว่างย่อมมีความหมายที่ละเอียดลึกซึ้งตามแต่ความเข้าใจในธรรมชาติแต่ละบุคคล แต่ความหมายของข้าพเจ้าเป็นเช่นนี้
เรื่องของดอกไม้
เป็นสิ่งสำหรับบูชาพระสงฆ์ มีความหมายว่า ธรรมดาดอกไม้เมื่ออยู่กับต้น ก็ย่อมจะสวยงามตามสภาพของธรรมชาติ
เมื่อบุคคลใดเก็บดอกไม้มากองรวมกันก็ย่อมไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย หาความงามไม่ได้
พระพุทธองค์เปรียบประดุจช่างดอกไม้ นำมาจัดเรียงวางอย่างลงตัว ย่อมทำให้เกิดความสวยงาม น่าชื่นชมยินดี พระองค์ทรงวางพระวินัยทำให้พระสงฆ์มีแบบแผน
มีกริยาทางกาย วาจา ใจ ด้วยสติรู้ จึงทำให้อิริยาบทงดงามคือ งามด้วยศีล และวางงานให้แก่พุทธบริษัทในศีลเบื้องต้นจึงทำให้เกิดความงามไปทั่วและมีระเบียบเรียบร้อย
ดอกไม้จึงนำมาบูชาพระสงฆ์ เพราะท่านมีความงามอยู่ภายในและภายนอก ด้วยศีลแห่งอริยมรรคที่ท่านรักษาที่ใจด้วยดี