มาเกือบไม่ทันๆ ขอร่วมสนุกด้วยครับโดยการส่งเรียงความเข้าประกวด 555+

.....................................................การอยู่ร่วมกันแบบมีความสุขบนโลก online
.......สังคม (Social) หมายถึง การอยู่ร่วมกันของบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปภายใต้อำนาจเดียวกันในอันที่จะดำเนินไปสู่จุดหมายร่วมกัน และยึดถือคุณค่าทางสังคมอย่างเดียวกัน ตลอดจนมีการกระทำโต้ตอบกันอย่างต่อเนื่อง และมีการสังสรรค์ระหว่างกัน ซึ่งในปัจจุปัน”สังคม” มีหลากหลายรูปแบบมากขึ้น เช่น “สังคมออนไลน์” เป็นต้น
.......ในเมื่อมนุษย์เป็นสัตว์สังคม (Social animals) ดังนั้นมนุษย์ทุกคนย่อมเสาะแสวงหาสังคมของตัวเองทุกคน ไม่ว่าจะเป็นสังคมในชุมชนก็ดี สังคมในที่ทำงานก็ดี หรือแม้กระทั่ง “สังคมออนไลน์” แต่โดยธรรมชาติแล้วสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตย่อมมีความคิดเป็นของตัวเอง โดยเฉพาะมนุษย์ ในสังคมของคนหมู่มาก สิ่งหนึ่งที่จะเพิ่มขึ้นไม่แพ้จำนวนคนเลยนั่นคือ ความคิด ความคิดสำคัญมากในการดำรงชีวิตเรามักใช้ความคิดในการแก้ไขปัญหาต่างๆอยู่เสมอ ดังนั้นความคิดจึงเป็นสาเหตุแห่งการกระทำ ซึ่งการกระทำจะส่งผลต่อตนเองและบุคคลรอบข้างซึ่งก็คือสังคมนั่นเอง ดังนั้นสรุปได้ว่าความคิดมีผลต่อสังคมเป็นอย่างมาก แล้วอะไร? ที่จะทำให้ความคิดของคนทุกคนเป็นกลางเอาใจเขามาใส่ใจเรา อะไร? ที่จะทำให้การกระทำของตนนั้นจะไม่ทำให้ตนและผู้อื่นเดือดร้อน ผมจึงขอยกเอาคำสอนขององค์พระตถาคตที่พระองค์ทรงสอนไว้เป็นหลักธรรมในการปฏิบัติ ดังนี้
.......สังคหวัตถุธรรม แปลว่า ธรรมหรือข้อปฏิบัติสำหรับการอยู่ร่วมกันของคนในสังคม ที่จะก่อให้เกิดความสงบสุขทุกฝ่ายต้องรู้จักเฉลี่ยแบ่งปันประโยชน์ส่วนน้อยของตน เพื่อประโยชน์สุขอันไพบูลย์ของคนส่วนใหญ่ ทุกฝ่ายจะต้องมีคุณธรรมสำคัญ 4 ประการคือ ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา และสมานัตตตา
......1. ทาน คือ การให้แสงความโอบอ้อมอารี ได้แก่ การช่วยเหลือเกื้อกูลกันด้วยวัตถุสิ่งของ การยอมเสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อประโยชน์ส่วนรวมการสงเคราะห์ดูแลกันตามกำลัง ตามความจำเป็น และตามเหตุการณ์หนักเบาที่เกิดขึ้น ไม่นิ่งดูดาย ไม่เฉยเมย เข้าทำนองว่า “มือไม่พาย แต่เอาเท้าราน้ำ” ผู้ที่ให้ย่อมได้รับผลแห่งการให้เฉพาะตน เช่น ได้บุญ ได้คุณ และความสุข ส่วนในด้านสังคม ได้ความภักดี ความกตัญญูกตเวทีและความปลอดภัย
......2. ปิยวาจา คือ คำพูดที่ชวนให้เกิดความรัก ความชื่นใจ ได้แก่ พูดด้วยเจตนาดี มุ่งประโยชน์ สานประโยชน์ เว้นคำพูดที่ทำลายประโยชน์ เอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น เช่น พูดเท็จ พูดหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ การพูดดี คือพูดอ่อนหวานพูดสานประโยชน์ พูดลดความขัดแย้ง เป็นมงคลภาษา ดังคำพังเพยที่ว่า “ปากเป็นเอก เลขเป็นโท” คนที่พูดดี เป็นคนมีปากทอง เมื่อพูดไปแล้ว จะได้รับผลตอบสนอง คือ มีคนชอบ มีคนเชื่อ และมีคนช่วย
......3. อัตถจริยา คือ การบำเพ็ญประโยชน์ ได้แก่ การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ด้วยกำลังกาย กำลังทรัพย์ การอนุรักษ์สาธารณสมบัติ การสร้างสรรค์สาธารณประโยชน์ การช่วยบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่สาธารณชน โดยไม่เห็นแก่ตัว หรือประโยชน์ของตัวจนเกินงาม
......4. สมานัตตตา คือ วางตนเป็นกลาง ได้แก่ มีความยุติธรรมเที่ยงตรง ไม่อคติ เพราะชอบ ชัง ลุ่มหลง หวาดกลัว ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่เลือกปฏิบัติ ปฏิบัติตนกับทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน ที่สำคัญคือต้องวางตนอย่างเหมาะสมเสมอต้นเสมอปลายตามฐานานุรูป
.......จะเห็นได้ว่า สังคหวัตถุธรรม คือ ทาน โอบอ้อมอารี ปิยวาจา วจีไพเราะ อัตถจริยา สงเคราะห์ประชาชน สมานัตตตา วางตนเหมาะสมเป็นคุณธรรมที่ยึดโยงคนในสังคมให้มีน้ำใจต่อกัน รู้จักให้โอกาสให้อภัยต่อกัน หากคนในสังคมใดโดยเฉพาะสังคมไทย ยึดถือปฏิบัติ ย่อมจะได้รับความสงบสุข และเกิดความสมัครสมานสามัคคีปรองดองขึ้นแบบยั่งยืน เปรียบเสมือนลิ่มสลักทำให้อาคารบ้านเรือนมั่นคงแข็งแรง
........สาราณียธรรม คือ ธรรมะข้อปฏิบัติที่ก่อให้เกิดความรัก ความเคารพยกย่อง และช่วยให้คิดถึงกันและกันอย่างจริงใจเป็นหลักธรรมสำคัญที่เป็นไปเพื่อการสงเคราะห์ช่วยเหลือกัน เพื่อการไม่ทะเลาะวิวาทบาดหมางกัน เพื่อความสามัคคีกัน และเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พระพุทธเจ้า ทรงแสดงหลักสาราณียธรรม คือ
.......1. เมตตากายกรรม ช่วยเหลือผู้อื่นทางกาย ด้วยความปรารถนาดี คือช่วยด้วยแรงกายเต็มตามกำลังความสามารถ
.......2. เมตตาวจีกรรม ช่วยเหลือผู้อื่นทางวาจา ด้วยความปรารถนาดี คือช่วยด้วยการพูด ให้คำปลุกปลอบ ให้คำแนะนำ การไม่กล่าวร้าย ไม่ดูหมิ่นเหยียดหยามไม่เหยียบย่ำซ้ำเติมผู้อื่น
.......3.เมตตามโนกรรม ช่วยเหลือผู้อื่นทางใจด้วยความปรารถนาดี คือเอาใจช่วย คิดช่วย ไม่มุ่งเอาแต่ได้ ไม่คิดร้ายหมายขวัญ ไม่ก่อกวนด้วยทัศนคติที่ผิดทำนองคลองธรรม ไม่เห็นผิดเป็นชอบ ไม่กำหนดกรอบสองมาตรฐาน
......4. สาธารณโภคี แบ่งปันสิ่งของที่ตนได้มาโดยชอบธรรมแก่ผู้อื่น ให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์จากทรัพย์สิ่งของของตนบ้าง ซึ่งก็คือการรู้จักเฉลี่ยประโยชน์แก่คนรอบข้างแก่สังคม และสูงขึ้นไปกว่านั้นคือ การสละทรัพย์ เพื่อรักษาอวัยวะ สละอวัยวะ เพื่อรักษาชีวิต สละทรัพย์ อวัยวะ และชีวิตเพื่อรักษาธรรม ในที่นี้ได้แก่ การสละทรัพย์
อวัยวะ และชีวิตเพื่อรักษาและสร้างความมั่นคงแก่สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
......5. สีลสามัญญตา มีความประพฤติดีงามเท่าเทียมผู้อื่น หมายถึง เคารพกฏเกณฑ์กติกา ระเบียบแบบแผน ในที่นี้ ได้แก่การปฏิบัติตามกฎหมาย ศีลธรรม วัฒนธรรม จารีตขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของสังคม ตลอดถึงการรู้จักแพ้ รู้จักชนะ รู้อภัย ไม่มุ่งแต่จะเอาชนะกันอย่างเดียวกัน เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ย่อมเป็นทุกข์ (คิดแต่จะแก้แค้น)
......6. ทิฏฐิสามัญญตา มีความคิดเห็นร่วมกับผู้อื่นในสังคม การยอมรับความแตกต่างทางความคิด ไม่เป็นเหตุก่อให้เกิดความแตกแยกเพราะการที่คนในสังคมมีความหลากหลายทางความคิด เป็นความงอกงามของสังคม หากสามารถปรับแนวคิดต่าง ๆให้เป็นไปเพื่อจุดมุ่งหมายในทางสร้างสรรค์ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมหันต์ ในทางกลับกัน หากคนในสังคมมีความคิดเห็นร่วมกันในทางทำลาย ก็จะกลายเป็นภัยอย่างใหญ่หลวงเช่นกัน
......จะเห็นได้ว่า สาราณียธรรมทั้ง ๖ ประการนั้น เป็นหลักธรรมพื้นฐานของสังคม ที่จะเชื่อมประสานรอยร้าว
สร้างความรักความผูกพันของคนในสังคมให้แนบแน่น เป็นแกนกลางของความสมานฉันท์สามัคคี ปลูกรักปลูกไมตรีมีความร่วมมือร่วมใจ ห่วงหาอาทรต่อกัน ดังคำที่ว่า “รักกันให้เหมือนพี่ ดีกันให้เหมือนน้อง ปรองดอง ให้เหมือนญาติ สังคมจะเจริญ”
......สิ่งเหล่านี้ที่องค์พระศาสดาได้ทรงสอนไว้ซึ่งเป็นคำสอนที่พวกเราทุกคนสามารถปฏิบัติได้อย่างไม่ยากนัก ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติใด ศาสนาใดก็ตาม อย่ามองว่านี่เป็นคำสอนของศาสนาพุทธให้มองว่านี่เป็นคำสอนสำหรับมนุษย์ “ดาวไม่ว่าจะมีซักกี่หมื่นล้านทุกดวงก็ยังทอแสงส่องลงมาให้เราได้เห็น” นี่จึงเป็นแสงอีกแสงหนึ่งที่จะส่องสว่างให้กับมุนยษ์ว่าทำอย่างไรถึงจะดำรงอยู่อย่างมีคุณค่าในสังคม โดนเฉพาะ”สังคมออนไลน์”จะได้ไม่มีการหลอกลวงขายของปลอม ไม่มีการเอาเปรียบในการซื้อ-ขาย เป็นต้น สังคมออนไลน์ เป็นสังคมที่ผู้คนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน ดังนั้นเราควรปฏิบัติตามนี้ให้ได้อย่างดีที่สุด เพื่อสังคมออนไลน์ที่ดีของเราครับ