Previous
Next
Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
Results 1 to 10 of 61

Thread: สามีเปนไรไม่รู้ค่ะ เหนื่อยใจจิง

Hybrid View

  1. #1
    AnnAnnAntz's Avatar
    AnnAnnAntz is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    210
    ใจเย็นๆค่ะ ..

    ช่วงสองปีแรกหลังการแต่งงาน เป็นช่วงการปรับตัวให้เข้ากับชีวิตใหม่อย่างมโหฬารทั้งเค้าและเราและครอบครัว(สามี/ภรรยา)
    มันเหมือนสะสมค่ะแล้วต่างก็คิดว่าอีกฝ่ายก็น่าจะรู้จนกลายเป็นเก็บและกดมันไว้ พอเห็นอะไรที่ตัวเองไม่ชอบซ้ำๆเข้าเรื่อยๆก็กลายเป็นเงียบเพื่อเลี่ยงปัญหา
    แล้วก็หาอะไรทำเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะต้องพูดคุยหรือมีปฏิสัมพันธ์กัน
    นานวันเข้ากลายเป็นทำอะไรก็ผิดไปหมด..ขัดหูขัดตา

    อีกอย่างคือ..พอแต่งงานแล้วกลายเป็นเราและเค้าดูแลและเอาใจใส่กันน้อยลง
    ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าทำไมแต่งแล้วมันไม่เหมือนตอนเป็นแฟน

    ลองปรับมาเป็นดูแลตัวเองให้มากขึ้น มีความสุขกับตัวเองให้ร่าเริงแจ่มใส
    อะไรที่เคยทำตอนเป็นแฟน..เช่น SMSข้อความบอกรัก ทำอาหารโปรดให้ทาน
    พอให้บรรยากาศอึดอัดลดลง แล้วก็เปิดอกคุยกันค่ะ..หลังจากนั้นก็ไปฮันนีมูนอีกรอบ

    เป็นกำลังใจให้
    และขอให้เรื่องอึดอัดผ่านพ้นไปแล้วหวานกันเหมือนเดิมนะคะ .. เอาใจช่วยค่ะ


    . . . . . . . .
    if u want smthing very badly, set it free.
    if it come back 2u, it's ur 4ever.
    if it doesn't, it was never ur 2 begin with.

  2. #2
    Jellyfish's Avatar
    Jellyfish is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    5
    แมงเข้าใจในจุดนี้คะ เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่หลาย ๆ คู่สมรสมีนะคะ ไม่ใช่แค่คุณdoris คนเดียวหรอกคะ กับแมงเองก็เคย ด้วยความเคยชินที่เราอยู่ด้วยกัน ใช้ชีวิตด้วยกันกับสามีมานาน บางสิ่งบางอย่างอาจหายไป เค้าอาจเหนื่อยกับการงาน กลับมาอาจเฉยชาเพราะเหนื่อยที่จะพูดคุย แล้วก็อย่าไปเปรียบเทียบกับสมัยก่อนแต่งงานนะคะ เพราะอย่างที่หลายคนเคยบอกไว้ว่า จะเลือกแต่งงานกับผู้ชายสักคน ให้ดูสิ่งที่เค้าทำกับครอบครัวพ่อแม่ เพราะนั่นคือคนที่เค้าใกล้ชิดคุ้นเคย เค้าก็อาจจะปฎิบัติกับเราตามความที่เป็นคนใกล้ชิด ไม่เหมือนสมัยเป็นแฟนที่ต้องมีความเกรงใจ ต่อให้เหนื่อยยังไงก็ต้องมีพูดคุยฉอเลาะ เพราะความแตกต่างมันอยู่ที่ตรงนี้คะ พอเป็นสามีภรรยากันแล้ว ความเกรงใจก็จะหายไป เพราะความคุ้นเคย และ เคยชิน

    แมงเข้าใจในความเหนื่อยของคุณdoris คะ ทั้งในเรื่องสามีและคุณพ่อสามี แต่ด้วยความที่แมงเป็นคนตรง เคยมีปัญหานี้กับสามีคะ คือเราอยู่กันด้วยความเคยชิน กลับมาต่างคนต่างไม่ค่อยพูดกัน แยกย้ายมีกิจกรรมของตัวเอง ทำอะไรกันไปตามหน้าที่ (โทรหาถามเรื่องกินข้าว หรือไปจับจ่ายของวันอาทิตย์) จนมันมีความเย็นหลังมาสะกิดใจเรา แมงก็มุ่งหน้าพูดคุยกับสามีเลยคะ
    ว่าอะไรมันเป็นอะไร อย่าใช้อารมณ์นะคะ ใช้วิธีพูดคุยกันว่า เรามีอะไรต้องคุยกันนะ วันนั้นอาจจะไปทานอาหารนอกบ้านกัน เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศไม่ให้มันเป็นบรรยากาศในบ้าน จะอ้างว่าได้ วอเช่อฟรี หรืออะไรก็ได้คะ ในกรณีที่ถ้าคุณสามีเป็นคนประหยัด (เช่นสามีแมงเป็นต้น) แล้วก็คุยปรับความเข้าใจ ว่ามันเกิดอะไร อย่างน้อย ๆ ถึงเราจะไม่หวานแหววกุกกิ๊กกัน แต่เราก็เป็นสามีภรรยากัน ให้มีความรู้สึกต่อกันบ้าง เมื่อเราเปิดใจคุยกับเค้า เค้าก็จะเปิดใจคุยกับเรา เช่นอย่างสามีแมง ซึ่งเป็นคนพูดน้อย พอเราเคลียว่า ทำไมนะ เรารู้สึกมันเย็นชาและใกล้เหมือนไกล เค้าก็บอกว่า เค้าก็รู้สึกนะ แต่เค้าเหนื่อย กลับมาบ้านก็เหนื่อย ไม่อยากทำอะไร กลับมาก็ผ่อนคลาย อ่านหนังสือ ทำกิจกรรมส่วนตัว (ดูทีวี ดูบอล สารคดีอะไรไปตามเรื่อง) แล้วก็นอน เค้าก็ยอมรับว่าเค้าผิดที่เหมือนเห็นเราเป็นตุ๊กตาตั้งโชว์ เผอเรอและลืมไป แต่เค้าเองก็มีรู้สึกบ้างว่าเราก็เหมือนกันนะ เราก็เหมือนมีโลกของเราที่เค้าเข้าไปหาเราไม่ได้เหมือนกัน ทีนี้เราสองคนเลยคุยกันว่าเราเหนื่อย เราไปพักผ่อนกันดีกว่านะ ก็เริ่มสนุกคะ เริ่มคิดหากิจกรรมเที่ยว เริ่มกลับมาเป็นเหมือนสมัยเป็นแฟน (คือเราลุยกันมากคะสมัยก่อน) เริ่มคิดหากิจกรรม ไปพักผ่อน ก็เริ่มมีความสัมพันธ์ที่ดีกลับมา (รวมทั้งเรื่องเพศสัมพันธ์ อันนี้ไม่อายที่จะบอกเล่าว่ามันจำเป็นคะ) พอกลับมาจากพักผ่อน เราก็เริ่มดีขึ้น หากิจกรรมทำร่วมกัน เช่น เค้าเหนื่อยจากงาน ไอ้เราก้เหนือ่ยเหมือนกัน แต่ก็เข้าไปออดอ้อน นวด ๆ สามีเล็กน้อย เอาขนมให้เค้ากิน ชวนนั่งเล่นไพ่ วิพากวิจารกีฬา หรืออะไรร่วมกัน ก็เริ่มจูนหากันคะ หาอะไรที่มันเป็นความเคยชิน แต่ปรับแต่งให้มันมีชีวิตชีวา อย่างการไปซื้อของร่วมกันวันอาทิตย์ เราก็เปลี่ยนเป็น เธอ ไปดอนหวายกันมั้ย ซื้อกับข้าวที่นั่นก็น่าสนุกดี อะไรอย่างนี้น่ะคะ พิมพ์มาสะยาว แมงคิดว่าภรรยาทุกคนต้องเจอเหมือนกันคะ อยูที่กลเม็ดว่าเราจะแกไขปรับปรุให้มีชีวิตชีวาอย่างไร แมงเองก็ยังไม่มีลูกคะ เชื่อเถอะคะคุณ doris ตอนนี้ยิ่งโอกาศเหมาะเพราะไม่มีลูกเราก็สามารถไปเที่ยวกันได้ตัวปลิว ๆ ดีไม่ดี เที่ยวกลับมาอาจจะได้น้องนะคะ

    ยังไงให้กำลังใจนะคะ ส่วนเรื่องคุณพ่อสามี เราก็ปรึกษาสามีด้วยก็ดีนะคะ หรือไม่ก็ทำแบบแมง คือเดินหน้าเข้าคุยกับท่านเลยคะ อย่างเช่นของแมงคือพ่อสามีจะเงียบ ๆ เงียบมาก เอาใจยาก แมงก็จะทำเข้าไปคุย พ่อคะ หนูได้ยินเสียงลม หวิว ๆ ผ่าน ๆ พ่อพูดอะไรบ้างก็ได้นะคะ อยากกินอะไรก็บอกหนู เพราะทุกวันนี้หนูได้ยินแต่เสียงลม เดี๋ยวหนูก็ทำกับข้าวลมให้พ่อสะหรอก แต่พูดแบบ ขำ ๆ คะ คือแล้วแต่ลักษณะนิสัยของพ่อสามีแต่ละคนด้วยนะคะ อย่างของแมงท่านเงียบ ๆ ท่านไม่ขำด้วยคะ แต่พอแมงพูดมาก ๆ ขำมาก ๆ ท่านก็ขำ แล้วก็พูดกับเราแบบ "อืม วันนี้อยากกินน้ำพริกนะ หวังว่าคงไม่มีเป็นลมตดมาให้นะ" อะไรแบบนี้คะ


    อย่าท้อนะคะ สู้ ๆ คะ มีอะไรปรึกษากันได้คะ
    Mangkaprun
    Wish you all the best ปีใหม่นี้พบเจอแต่สิ่งดี ๆ มีความสุขกันทุกท่านนะคะ

  3. #3
    Doris is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Location
    www.Brandaza.Com
    Posts
    1,134

    Red face :)

    จะยามยามนะค่ะ ขอบคุณมากๆๆๆค่ะ เพื่อนๆๆน่ารักทุกคนเลยค่ะ *_* ซึ้งจริงๆ

    Quote Originally Posted by AnnAnnAntz View Post
    ใจเย็นๆค่ะ ..

    ช่วงสองปีแรกหลังการแต่งงาน เป็นช่วงการปรับตัวให้เข้ากับชีวิตใหม่อย่างมโหฬารทั้งเค้าและเราและครอบครัว(สามี/ภรรยา)
    มันเหมือนสะสมค่ะแล้วต่างก็คิดว่าอีกฝ่ายก็น่าจะรู้จนกลายเป็นเก็บและกดมันไว้ พอเห็นอะไรที่ตัวเองไม่ชอบซ้ำๆเข้าเรื่อยๆก็กลายเป็นเงียบเพื่อเลี่ยงปัญหา
    แล้วก็หาอะไรทำเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะต้องพูดคุยหรือมีปฏิสัมพันธ์กัน
    นานวันเข้ากลายเป็นทำอะไรก็ผิดไปหมด..ขัดหูขัดตา

    อีกอย่างคือ..พอแต่งงานแล้วกลายเป็นเราและเค้าดูแลและเอาใจใส่กันน้อยลง
    ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าทำไมแต่งแล้วมันไม่เหมือนตอนเป็นแฟน

    ลองปรับมาเป็นดูแลตัวเองให้มากขึ้น มีความสุขกับตัวเองให้ร่าเริงแจ่มใส
    อะไรที่เคยทำตอนเป็นแฟน..เช่น SMSข้อความบอกรัก ทำอาหารโปรดให้ทาน
    พอให้บรรยากาศอึดอัดลดลง แล้วก็เปิดอกคุยกันค่ะ..หลังจากนั้นก็ไปฮันนีมูนอีกรอบ

    เป็นกำลังใจให้
    และขอให้เรื่องอึดอัดผ่านพ้นไปแล้วหวานกันเหมือนเดิมนะคะ .. เอาใจช่วยค่ะ
    Quote Originally Posted by Jellyfish View Post
    แมงเข้าใจในจุดนี้คะ เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่หลาย ๆ คู่สมรสมีนะคะ ไม่ใช่แค่คุณdoris คนเดียวหรอกคะ กับแมงเองก็เคย ด้วยความเคยชินที่เราอยู่ด้วยกัน ใช้ชีวิตด้วยกันกับสามีมานาน บางสิ่งบางอย่างอาจหายไป เค้าอาจเหนื่อยกับการงาน กลับมาอาจเฉยชาเพราะเหนื่อยที่จะพูดคุย แล้วก็อย่าไปเปรียบเทียบกับสมัยก่อนแต่งงานนะคะ เพราะอย่างที่หลายคนเคยบอกไว้ว่า จะเลือกแต่งงานกับผู้ชายสักคน ให้ดูสิ่งที่เค้าทำกับครอบครัวพ่อแม่ เพราะนั่นคือคนที่เค้าใกล้ชิดคุ้นเคย เค้าก็อาจจะปฎิบัติกับเราตามความที่เป็นคนใกล้ชิด ไม่เหมือนสมัยเป็นแฟนที่ต้องมีความเกรงใจ ต่อให้เหนื่อยยังไงก็ต้องมีพูดคุยฉอเลาะ เพราะความแตกต่างมันอยู่ที่ตรงนี้คะ พอเป็นสามีภรรยากันแล้ว ความเกรงใจก็จะหายไป เพราะความคุ้นเคย และ เคยชิน

    แมงเข้าใจในความเหนื่อยของคุณdoris คะ ทั้งในเรื่องสามีและคุณพ่อสามี แต่ด้วยความที่แมงเป็นคนตรง เคยมีปัญหานี้กับสามีคะ คือเราอยู่กันด้วยความเคยชิน กลับมาต่างคนต่างไม่ค่อยพูดกัน แยกย้ายมีกิจกรรมของตัวเอง ทำอะไรกันไปตามหน้าที่ (โทรหาถามเรื่องกินข้าว หรือไปจับจ่ายของวันอาทิตย์) จนมันมีความเย็นหลังมาสะกิดใจเรา แมงก็มุ่งหน้าพูดคุยกับสามีเลยคะ
    ว่าอะไรมันเป็นอะไร อย่าใช้อารมณ์นะคะ ใช้วิธีพูดคุยกันว่า เรามีอะไรต้องคุยกันนะ วันนั้นอาจจะไปทานอาหารนอกบ้านกัน เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศไม่ให้มันเป็นบรรยากาศในบ้าน จะอ้างว่าได้ วอเช่อฟรี หรืออะไรก็ได้คะ ในกรณีที่ถ้าคุณสามีเป็นคนประหยัด (เช่นสามีแมงเป็นต้น) แล้วก็คุยปรับความเข้าใจ ว่ามันเกิดอะไร อย่างน้อย ๆ ถึงเราจะไม่หวานแหววกุกกิ๊กกัน แต่เราก็เป็นสามีภรรยากัน ให้มีความรู้สึกต่อกันบ้าง เมื่อเราเปิดใจคุยกับเค้า เค้าก็จะเปิดใจคุยกับเรา เช่นอย่างสามีแมง ซึ่งเป็นคนพูดน้อย พอเราเคลียว่า ทำไมนะ เรารู้สึกมันเย็นชาและใกล้เหมือนไกล เค้าก็บอกว่า เค้าก็รู้สึกนะ แต่เค้าเหนื่อย กลับมาบ้านก็เหนื่อย ไม่อยากทำอะไร กลับมาก็ผ่อนคลาย อ่านหนังสือ ทำกิจกรรมส่วนตัว (ดูทีวี ดูบอล สารคดีอะไรไปตามเรื่อง) แล้วก็นอน เค้าก็ยอมรับว่าเค้าผิดที่เหมือนเห็นเราเป็นตุ๊กตาตั้งโชว์ เผอเรอและลืมไป แต่เค้าเองก็มีรู้สึกบ้างว่าเราก็เหมือนกันนะ เราก็เหมือนมีโลกของเราที่เค้าเข้าไปหาเราไม่ได้เหมือนกัน ทีนี้เราสองคนเลยคุยกันว่าเราเหนื่อย เราไปพักผ่อนกันดีกว่านะ ก็เริ่มสนุกคะ เริ่มคิดหากิจกรรมเที่ยว เริ่มกลับมาเป็นเหมือนสมัยเป็นแฟน (คือเราลุยกันมากคะสมัยก่อน) เริ่มคิดหากิจกรรม ไปพักผ่อน ก็เริ่มมีความสัมพันธ์ที่ดีกลับมา (รวมทั้งเรื่องเพศสัมพันธ์ อันนี้ไม่อายที่จะบอกเล่าว่ามันจำเป็นคะ) พอกลับมาจากพักผ่อน เราก็เริ่มดีขึ้น หากิจกรรมทำร่วมกัน เช่น เค้าเหนื่อยจากงาน ไอ้เราก้เหนือ่ยเหมือนกัน แต่ก็เข้าไปออดอ้อน นวด ๆ สามีเล็กน้อย เอาขนมให้เค้ากิน ชวนนั่งเล่นไพ่ วิพากวิจารกีฬา หรืออะไรร่วมกัน ก็เริ่มจูนหากันคะ หาอะไรที่มันเป็นความเคยชิน แต่ปรับแต่งให้มันมีชีวิตชีวา อย่างการไปซื้อของร่วมกันวันอาทิตย์ เราก็เปลี่ยนเป็น เธอ ไปดอนหวายกันมั้ย ซื้อกับข้าวที่นั่นก็น่าสนุกดี อะไรอย่างนี้น่ะคะ พิมพ์มาสะยาว แมงคิดว่าภรรยาทุกคนต้องเจอเหมือนกันคะ อยูที่กลเม็ดว่าเราจะแกไขปรับปรุให้มีชีวิตชีวาอย่างไร แมงเองก็ยังไม่มีลูกคะ เชื่อเถอะคะคุณ doris ตอนนี้ยิ่งโอกาศเหมาะเพราะไม่มีลูกเราก็สามารถไปเที่ยวกันได้ตัวปลิว ๆ ดีไม่ดี เที่ยวกลับมาอาจจะได้น้องนะคะ

    ยังไงให้กำลังใจนะคะ ส่วนเรื่องคุณพ่อสามี เราก็ปรึกษาสามีด้วยก็ดีนะคะ หรือไม่ก็ทำแบบแมง คือเดินหน้าเข้าคุยกับท่านเลยคะ อย่างเช่นของแมงคือพ่อสามีจะเงียบ ๆ เงียบมาก เอาใจยาก แมงก็จะทำเข้าไปคุย พ่อคะ หนูได้ยินเสียงลม หวิว ๆ ผ่าน ๆ พ่อพูดอะไรบ้างก็ได้นะคะ อยากกินอะไรก็บอกหนู เพราะทุกวันนี้หนูได้ยินแต่เสียงลม เดี๋ยวหนูก็ทำกับข้าวลมให้พ่อสะหรอก แต่พูดแบบ ขำ ๆ คะ คือแล้วแต่ลักษณะนิสัยของพ่อสามีแต่ละคนด้วยนะคะ อย่างของแมงท่านเงียบ ๆ ท่านไม่ขำด้วยคะ แต่พอแมงพูดมาก ๆ ขำมาก ๆ ท่านก็ขำ แล้วก็พูดกับเราแบบ "อืม วันนี้อยากกินน้ำพริกนะ หวังว่าคงไม่มีเป็นลมตดมาให้นะ" อะไรแบบนี้คะ


    อย่าท้อนะคะ สู้ ๆ คะ มีอะไรปรึกษากันได้คะ
    แม่ค้ากลับมาแล้วจ้า
    084-297 1010 (10.00-16.00)
    Brandazashop@gmail.com (24hrs)

  4. #4
    Phicha_pk's Avatar
    Phicha_pk is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    15

    Wink สู้ๆนะคะ ;-)

    ก่อนอื่นต้องขอเอาใจช่วยให้คุณดอริสคลี่คลายปัญหาได้ไวๆนะคะ ส่วนตัวพิและสามีเราจะมีข้อตกลงกันก่อนแต่งงานคือ... เราต้องคุยกันแบบเปิดเผยไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามจะน้อยใจเรื่องไหนโกธรกันเรื่องอะไร จะคุยกันค่ะจะไม่มีการปิดบังกัน เพราะถ้าเริ่มมีความลับหรือปิดบังกันเมื่อไหร่ปัญหาที่ว่าเล็กๆจะกลายเป็นปัญหาใหญ่โตขึ้นมา...ทันที!!!!

    โดยส่วนตัวพิกะสามีอยู่คนละที่ซึ่งก็จะใช้เวลาคุยโทรศัพท์กันทุกวันและบินไปกลับกันเอา...ซึ่งเราสองคนอยู่ไกลกันคนละซีกโลก เราสองคนไม่สามารถมองเห็นพฤติกรรมซึ่งกันและกันได้ตลอด แต่จะยึดคติคือความรัก ความเชื่อใจ การให้เกียรติซึ่งและกันและกัน เปิดเผย และซื่อสัตย์... พิว่าทั้งหมดนี้มันสำคัญนะเพราะคนเราเป็นสามีภรรยากันไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกลเราก็สามารถหาเรื่องมาทะเลาะเบาะแว้งหรือมีคนอื่นได้ ถ้าคนใดคนนึงอยากทำ...จริงไหม?? เพราะฉะนั้นเราเลยถือคติว่าจะต้องซื่อสัตย์และให้เกรียติคนที่เรารักและจะไม่ทำให้ใครคนใดคนนึงเสียใจ ตั้งแต่แต่งและมีลูกมาก็ไม่เคยมีปัญหาอะไรใหญ่โตกันค่ะ มีแต่งอนกันบ้างนิดหน่อยแต่จะไม่ปล่อยให้เกินข้ามคืน ไม่เค้าง้อเราก่อนเราก็ง้อเค้าก่อนค่ะ....ทุกๆครั้งในการคุยโทรศัพท์หรือเจอหน้ากัน เราก็จะบอกรักกันตลอดค่ะ...อย่างน้อยๆๆพิว่าคำว่ารัก ฟังเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อแถมยังเหมือนน้ำทิพย์ที่มาชะโลมใจเราด้วยค่ะ ;-)

    แต่ในเคสของคุณดอริส : ทุกอย่างมันยังไม่สายเกินแก้ค่ะ...
    1.ก่อนอื่นลองดูว่าเราเปลี่ยนไปไหมหลังจากแต่งงานกะเค้า ?? อันนี้หมายถึงทุกๆเรื่องนะคะ
    2.เหมือนที่เพื่อนๆแนะนำค่ะ ทำใจให้สบายอย่าเครียส...แล้วค่อยๆลองคุยกะเค้า ลองบอกสิ่งที่เรารู้สึกและลองคุยกันว่าเราสองคนควรปรับส่วนไหน ยังไง... ของอย่างงี้ต้องร่วมมือกันทั้ง2ฝ่ายนะคะ
    3.หมั่นเอาใจใส่เค้าให้มากขึ้น และลองหาวันหยุดไปเที่ยวกันสองต่อสอง...
    4.อันนี้สำคัญนะคะ >> เรื่องบนเตียงค่ะ ลองสังเกตุดูนะคะว่าพฤติกรรมบนเตียงของคุณและเค้าเปลี่ยนไปไหม คนส่วนใหญ่ชอบมองเรื่องอื่นก่อน แต่สำหรับผู้ชาย(เหมือนอย่างคุณเป๊บซี่..ว่าไว้ข้อความด้านบนอ่ะค่ะ)เรื่องพวกนี้สำคัญนะคะ สำคัญพอๆกับการทานข้าวก็ต้องดื่มน้ำอ่ะคะ เรื่องบนเตียงไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเรื่องนั้นเรื่องเดียวนะคะ อาจหมายถึงการโอบกอดหรือหอมแก้มก่อนนอน แค่นี้ก็รู้สึกอบอุ่นแล้วล่ะค่ะ

    เพราะอย่างที่เพื่อนๆว่าแต่งงานแค่2ปี มันก็ยังอยู่ช่วงเริ่มต้นของการปรับตัว เพราะฉะนั้นการเริ่มที่จะคุยหรือปรับตัวกันระหว่างคุณสองคนก็ยังเป็นเรื่องที่ทำได้ ยังไม่สาย อย่าปล่อยให้เรื่องนี้เลยตามเลย เลยค่ะ มันจะทำให้ชีวิตการแต่งงานของคุณดูน่าเบื่อและพิเชื่อว่าไม่มีใครที่จะอดทนอยู่กับความน่าเบื่อได้นาน ถึงวันนั้นแล้วมันอาจทำให้ทุกอย่างสายเกินแก้นะคะ....

    พิเอาใจช่วยคุณดอริสอีกแรงนึงค่ะ สู้ๆๆ นะคะ สู้เพื่อเรียกชีวิตรักของเรากลับมาค่ะ.....
    พิเองไม่ใช่คนเก่งหรือรอบรู้อะไร ถ้าคุณดอริสอยากได้เพื่อนอีกซักคน พิยินดีเป็นเพื่อนคุณดอริสนะคะ..... ยินดีที่จะช่วยและเป็นกำลังใจให้ค่ะ

    " Love knows no limit to its endurance no end to its trust.Love still stands when all else has fallen. "

  5. #5
    Doris is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Location
    www.Brandaza.Com
    Posts
    1,134

    Red face :)

    จะพยายามนะค่ะ คือตอนก่อนแต่งก้อตกลงไง้แบบนี้เหมือนกันคะ แต่พอถึงเวลาจริงๆ ไม่เปนตามนั้น
    ดอริสพยายามจะเข้าใจเขามากที่สุด ที่บ้านนี้มีแต่ผู้ชาย และเป็นประเภทที่ว่า ไม่เข้าใจเรื่องผู้หญิงเอาซะเลย เขาอยู่กันแบบแมนๆค่ะ พูดน้อย ส่วนเราพูดมาก จนเขาคงจะรำคาญ ดอริสก้อพยายามปรับตัวนะค่ะ พยายามนะ แต่บางทีก้อเหนื่อยยๆ ค่ะ แต่ขอบคุณมากนะค่ะ คุณพิ **

    Quote Originally Posted by Phicha_pk View Post
    ก่อนอื่นต้องขอเอาใจช่วยให้คุณดอริสคลี่คลายปัญหาได้ไวๆนะคะ ส่วนตัวพิและสามีเราจะมีข้อตกลงกันก่อนแต่งงานคือ... เราต้องคุยกันแบบเปิดเผยไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามจะน้อยใจเรื่องไหนโกธรกันเรื่องอะไร จะคุยกันค่ะจะไม่มีการปิดบังกัน เพราะถ้าเริ่มมีความลับหรือปิดบังกันเมื่อไหร่ปัญหาที่ว่าเล็กๆจะกลายเป็นปัญหาใหญ่โตขึ้นมา...ทันที!!!!

    โดยส่วนตัวพิกะสามีอยู่คนละที่ซึ่งก็จะใช้เวลาคุยโทรศัพท์กันทุกวันและบินไปกลับกันเอา...ซึ่งเราสองคนอยู่ไกลกันคนละซีกโลก เราสองคนไม่สามารถมองเห็นพฤติกรรมซึ่งกันและกันได้ตลอด แต่จะยึดคติคือความรัก ความเชื่อใจ การให้เกียรติซึ่งและกันและกัน เปิดเผย และซื่อสัตย์... พิว่าทั้งหมดนี้มันสำคัญนะเพราะคนเราเป็นสามีภรรยากันไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกลเราก็สามารถหาเรื่องมาทะเลาะเบาะแว้งหรือมีคนอื่นได้ ถ้าคนใดคนนึงอยากทำ...จริงไหม?? เพราะฉะนั้นเราเลยถือคติว่าจะต้องซื่อสัตย์และให้เกรียติคนที่เรารักและจะไม่ทำให้ใครคนใดคนนึงเสียใจ ตั้งแต่แต่งและมีลูกมาก็ไม่เคยมีปัญหาอะไรใหญ่โตกันค่ะ มีแต่งอนกันบ้างนิดหน่อยแต่จะไม่ปล่อยให้เกินข้ามคืน ไม่เค้าง้อเราก่อนเราก็ง้อเค้าก่อนค่ะ....ทุกๆครั้งในการคุยโทรศัพท์หรือเจอหน้ากัน เราก็จะบอกรักกันตลอดค่ะ...อย่างน้อยๆๆพิว่าคำว่ารัก ฟังเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อแถมยังเหมือนน้ำทิพย์ที่มาชะโลมใจเราด้วยค่ะ ;-)

    แต่ในเคสของคุณดอริส : ทุกอย่างมันยังไม่สายเกินแก้ค่ะ...
    1.ก่อนอื่นลองดูว่าเราเปลี่ยนไปไหมหลังจากแต่งงานกะเค้า ?? อันนี้หมายถึงทุกๆเรื่องนะคะ
    2.เหมือนที่เพื่อนๆแนะนำค่ะ ทำใจให้สบายอย่าเครียส...แล้วค่อยๆลองคุยกะเค้า ลองบอกสิ่งที่เรารู้สึกและลองคุยกันว่าเราสองคนควรปรับส่วนไหน ยังไง... ของอย่างงี้ต้องร่วมมือกันทั้ง2ฝ่ายนะคะ
    3.หมั่นเอาใจใส่เค้าให้มากขึ้น และลองหาวันหยุดไปเที่ยวกันสองต่อสอง...
    4.อันนี้สำคัญนะคะ >> เรื่องบนเตียงค่ะ ลองสังเกตุดูนะคะว่าพฤติกรรมบนเตียงของคุณและเค้าเปลี่ยนไปไหม คนส่วนใหญ่ชอบมองเรื่องอื่นก่อน แต่สำหรับผู้ชาย(เหมือนอย่างคุณเป๊บซี่..ว่าไว้ข้อความด้านบนอ่ะค่ะ)เรื่องพวกนี้สำคัญนะคะ สำคัญพอๆกับการทานข้าวก็ต้องดื่มน้ำอ่ะคะ เรื่องบนเตียงไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเรื่องนั้นเรื่องเดียวนะคะ อาจหมายถึงการโอบกอดหรือหอมแก้มก่อนนอน แค่นี้ก็รู้สึกอบอุ่นแล้วล่ะค่ะ

    เพราะอย่างที่เพื่อนๆว่าแต่งงานแค่2ปี มันก็ยังอยู่ช่วงเริ่มต้นของการปรับตัว เพราะฉะนั้นการเริ่มที่จะคุยหรือปรับตัวกันระหว่างคุณสองคนก็ยังเป็นเรื่องที่ทำได้ ยังไม่สาย อย่าปล่อยให้เรื่องนี้เลยตามเลย เลยค่ะ มันจะทำให้ชีวิตการแต่งงานของคุณดูน่าเบื่อและพิเชื่อว่าไม่มีใครที่จะอดทนอยู่กับความน่าเบื่อได้นาน ถึงวันนั้นแล้วมันอาจทำให้ทุกอย่างสายเกินแก้นะคะ....

    พิเอาใจช่วยคุณดอริสอีกแรงนึงค่ะ สู้ๆๆ นะคะ สู้เพื่อเรียกชีวิตรักของเรากลับมาค่ะ.....
    พิเองไม่ใช่คนเก่งหรือรอบรู้อะไร ถ้าคุณดอริสอยากได้เพื่อนอีกซักคน พิยินดีเป็นเพื่อนคุณดอริสนะคะ..... ยินดีที่จะช่วยและเป็นกำลังใจให้ค่ะ

    แม่ค้ากลับมาแล้วจ้า
    084-297 1010 (10.00-16.00)
    Brandazashop@gmail.com (24hrs)

  6. #6
    wawe's Avatar
    wawe is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    685
    ก่อนอื่นต้องขอเป็นกำลังใจให้คุณDoris ด้วยคนนะคะ ถ้าคิดว่าเรารักสามีคนนี้ ต้องรักในความเป็นเขาด้วย ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น หันหน้าคุยกัน ระยะเวลาผ่านไปเพียงสองปีเอง สำหรับพี่ผ่านไปสามสิบสามปีแล้ว มีทุกรูปแบบ เคยมีปัญหากับคุณแม่สามี เคยไปอำเภอเพื่อขอหย่า แต่ด้วยความอดทนของเรา และที่สำคัญบนพื้นฐานจากความรักของเรา เหตุการณ์ต่าง ๆ ก็ผ่านไปได้ จนถึงทุกวันนี้
    ความง่ายอยู่ที่ปาก ความยากอยู่ที่ทำ
    การรู้จักปล่อยวาง เป็นวิถีทางแห่งความสุขสงบ
    มนุษย์ย่อมได้รับผลของการกระทำของตนเสมอ อาจจะเร็วหรือช้าเท่านั้น

  7. #7
    Doris is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Location
    www.Brandaza.Com
    Posts
    1,134

    Smile

    ขอบคุณค่ะพี่ หนูก้อแบบว่า... เฮ่อออ อยากให้ผ่านจุดยากๆๆไปปเร๊วๆ ก้อรู็ว่าต้องอดทน แต่ก้อแบบว่า หวนคิอดถึงตอนเปนโสดไม่ได้ หวนคิดถึงที่บ้าน พ่อแม่พี่น้องเรา ชีวิตคู่นี่มันเหนื่อยมากๆๆๆนะค่ะ ยิ่งเป็นผู้หญิงเนี้ย - -

    Quote Originally Posted by wawe View Post
    ก่อนอื่นต้องขอเป็นกำลังใจให้คุณDoris ด้วยคนนะคะ ถ้าคิดว่าเรารักสามีคนนี้ ต้องรักในความเป็นเขาด้วย ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น หันหน้าคุยกัน ระยะเวลาผ่านไปเพียงสองปีเอง สำหรับพี่ผ่านไปสามสิบสามปีแล้ว มีทุกรูปแบบ เคยมีปัญหากับคุณแม่สามี เคยไปอำเภอเพื่อขอหย่า แต่ด้วยความอดทนของเรา และที่สำคัญบนพื้นฐานจากความรักของเรา เหตุการณ์ต่าง ๆ ก็ผ่านไปได้ จนถึงทุกวันนี้
    แม่ค้ากลับมาแล้วจ้า
    084-297 1010 (10.00-16.00)
    Brandazashop@gmail.com (24hrs)

  8. #8
    Doris is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Location
    www.Brandaza.Com
    Posts
    1,134

    :)

    ขอบคุณมากๆๆค่ะ จะพยายามเข้าใจเขาให้มากๆๆนะค่ะ

    Quote Originally Posted by AnnAnnAntz View Post
    ใจเย็นๆค่ะ ..

    ช่วงสองปีแรกหลังการแต่งงาน เป็นช่วงการปรับตัวให้เข้ากับชีวิตใหม่อย่างมโหฬารทั้งเค้าและเราและครอบครัว(สามี/ภรรยา)
    มันเหมือนสะสมค่ะแล้วต่างก็คิดว่าอีกฝ่ายก็น่าจะรู้จนกลายเป็นเก็บและกดมันไว้ พอเห็นอะไรที่ตัวเองไม่ชอบซ้ำๆเข้าเรื่อยๆก็กลายเป็นเงียบเพื่อเลี่ยงปัญหา
    แล้วก็หาอะไรทำเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะต้องพูดคุยหรือมีปฏิสัมพันธ์กัน
    นานวันเข้ากลายเป็นทำอะไรก็ผิดไปหมด..ขัดหูขัดตา

    อีกอย่างคือ..พอแต่งงานแล้วกลายเป็นเราและเค้าดูแลและเอาใจใส่กันน้อยลง
    ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าทำไมแต่งแล้วมันไม่เหมือนตอนเป็นแฟน

    ลองปรับมาเป็นดูแลตัวเองให้มากขึ้น มีความสุขกับตัวเองให้ร่าเริงแจ่มใส
    อะไรที่เคยทำตอนเป็นแฟน..เช่น SMSข้อความบอกรัก ทำอาหารโปรดให้ทาน
    พอให้บรรยากาศอึดอัดลดลง แล้วก็เปิดอกคุยกันค่ะ..หลังจากนั้นก็ไปฮันนีมูนอีกรอบ

    เป็นกำลังใจให้
    และขอให้เรื่องอึดอัดผ่านพ้นไปแล้วหวานกันเหมือนเดิมนะคะ .. เอาใจช่วยค่ะ
    แม่ค้ากลับมาแล้วจ้า
    084-297 1010 (10.00-16.00)
    Brandazashop@gmail.com (24hrs)

Posting Permissions

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •