อ่านเรื่องนี้จบแล้ว ต่อไปนี้ขอใช้บริการแต่แท็กซี่เรดิโอดีกว่าค่ะอย่างน้อยก็เป็นแท็กซี่ที่ลงทะเบียนปลอดภัยกว่าไปเรียกเอง ชีวิตไม่คุ้มที่จะเสี่ยงจริงๆ
เรื่องนี้ โพสไว้ที่พันทิพโดยคุณ สิริกันต์
ในทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/woman/top.../Q8339563.html
ถ้าเกิดมีใครเคยเอามาลงแล้วก็ขออภัยค่ะ แต่เห็นว่ามันอันตรายมาก และไม่อยากให้เพื่อนๆประมาทเลยอยากให้ได้อ่านกันทั่วๆ
ก้อปมาแปะตรงนี้ให้อีกที ลองอ่านดูนะคะ
มายืนยันเรื่องแท็กซี่มอมยาค่ะ ว่ามีจริง โดนมากับตัว
มาจากห้องราชดำเนินค่ะ พอดีมีกระทู้บอกว่าโดนแท็กซี่มอมยา และมีคนเข้ามาตั้งกระทู้ถามว่าแท็กซี่มอมยาได้จริงเหรอ เราจึงอยากเข้ามาแบ่งปันประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับตัวเองค่ะ เมื่อประมาณปีที่แล้วได้ แต่เราไม่ได้แจ้งตำรวจค่ะ เพราะต้องรีบไปทำงานและ ไม่อยากเป็นข่าวด้วยค่ะ (เพราะคิดว่าเราก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก และไม่มีหลักฐานด้วย แต่พยานบุคคลมีค่ะ)
เรื่องมีอยู่ว่า ..... ต้องขอบอกก่อนว่าเราทำงานกองถ่ายค่ะ ซึ่งเวลาทำงานปรกติก็จะออกจากบ้านสายอยู่แล้ว แต่ถ้าวันไหนต้องออกกองถ่าย เราต้องออกจากบ้านตั้งแต่ประมาณ ตีสี่ค่ะ เพื่อที่จะมาออฟฟิศแถวๆ สุขุมวิท เพราะบ้านเราอยู่ใกล้ๆ บางบ่อค่ะ คือ เคหะบางพลี นั่นเอง
ทุกๆ ครั้งเราจะใช้บริการจองรถแท็กซี่ค่ะ แต่วันนั้น ไม่รู้เป็นอะไร ขี้เกียจโทรไปจอง หรือดวงของเราจะโดนหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพื่อนๆ เคยเห็นจดหมายขยะต่างๆ หรือ ฟอร์เวิร์ด เมลล์ ที่พวกเราชอบลบทิ้งใช่ไหมคะ นั่นแหละค่ะ มีประโยชน์มาก หากไม่มีจดหมายพวกนั้น ดิชั้นคงไม่รู้เท่าทันเล่ห์กล ของพวกแท็กซี่ที่ขับตอนกลางคืนค่ะ ในเมลล์นั้น น่าจะเป็นคุณ มด ทรีจี นักร้องแกรมมี่ ค่ะ ที่โดน โดยในนั้นบอกว่าคุณมด โดนแถวๆ อโศก ข้างๆ แกรมมี่ที่คุณมด ทำงานนั่นแหละค่ะ โดยมีจุดสังเกตุดังนี้
1. คนขับรถ จะเปิดกระจกหน้าต่างด้านของตนเองลงนิดหน่อยเพื่อให้ตนเองได้รับอากาศภายนอก
2. คนขับรถ จะหันช่องแอร์ทุกช่องพุ่งมาที่เราคนเดียว โดยที่ตนเองไม่เอาเลย
3. ฉีดสเปรย์ เหมือนน้ำหอมหรือน้ำยาปรับอากาศ ที่แอร์
4. เราไม่รู้สึกตัวแล้วค่ะ แต่โชคดีที่คุณมด ก็รอดมาได้ โดยใช้สติที่เหลือพยายามปลดล็อก ออกมาช่วงที่รถติดค่ะ โชคดีที่อโศกรถติดมาก
ทีนี้ก็มาถึงดิชั้นค่ะ วันนั้นก็ออกกจากบ้านตอน ตี 3 . 45 นาที ในใจตอนที่เดินออกมาจากปากซอยบ้านก็คิดว่า ทำไมวันนี้เราไม่จองรถแท็กซี่ให้มารับนะ คิดตลอดค่ะ เหมือนจะมีลางสังหรณ์ แต่ก็ไม่มีเวลาคิดมาก เพราะกลัวไปทำงานไม่ทันค่ะ พอเดินออกมาที่หน้าปากซอย ก็รอรถแท็กซี่นานมาก สุดท้ายก็มีมาหนึ่งคัน สภาพ ก็กลางเก่ากลางใหม่ค่ะ ไม่อยากขึ้นเท่าไหร่ ตอนนั้นยังไม่ได้คิดกลัวอะไรนะคะ แค่ไม่อยากขึ้นรถที่เก่ามากเท่านั้นเอง เกรงว่ารถจะไปมีปัญหากลางทางค่ะ พอขึ้นไปนั่งบนรถคนขับรถอายุประมาณ 40 กว่าแล้วค่ะ แถมใส่หมวกด้วย เราก็ไม่ได้เอะใจ เพราะรีบ กลัวไปไม่ทัน ทีนี้ทางออกจากเคหะบางพลีน่ะมันมีสองทาง คือทางหน้าหมู่บ้านค่ะที่เป็นวันเวย์ คนส่วนมากจะใช้ทางนี้ และ ทางหลังหมู่บ้านที่เป็นพวกบ่อบำบัดน้ำเสียของโรงงานต่างๆ ค่ะ เพราะเคหะบางพลีนี่เป็นนิคมอุตสาหกรรม เส้นทางนั้นไม่ค่อยมีคนใช้หรอกค่ะตอนกลางคืน เพราะมันเปลี่ยว แต่ปรากฏว่าลุงแท็กซี่คนนั้นจะพาดิชั้นไปวนรถออกทางหลังหมู่บ้านค่ะ โดนปรกติ ดิชั้นเป็นคนชอบสังเกตุคนขับแท็กซี่อยู่แล้ว ว่าทำอะไรบ้าง ยิ่งได้อ่าน เมลล์ ฉบับนั้น ยิ่งขี้สังเกตใหญ่เลยค่ะ ดิชั้นก็เลย บอกเค้าว่า
" พี่คะ จะออกหลังหมู่บ้านทำไมคะ ไปหน้าหมู่บ้านดีกว่าค่ะ ถนนเส้นนั้นมันไม่ค่อยดี "
ลุงเค้าเลยเลี้ยวรถไปอีกทางค่ะ คือทางที่ไปหน้าหมู่บ้าน จริงๆ แล้วถนนเส้นนั้นมันก็โอเค ค่ะ แต่ มืด แถมเปลี่ยว อีกต่างหาก ใครจะกล้าบอกล่ะคะ ว่าเรากลัว เดี๋ยวเค้าจะหาว่าเราดูถูกเค้า ว่าเค้าเป็นโจร เลยหาทางเลี่ยงที่จะบอกค่ะ ซึ่งโดยปกติแล้ว ดิชั้นว่าคนที่เข้ามาในหมู่บ้านนี้ถ้ารู้เส้นทางดีไม่ใช้หลังหมู่บ้านตอนกลางคืนหรอกค่ะ ยิ่งถ้าเพิ่งเคยมายิ่งแล้วใหญ่ ไม่ใช้เส้นนั้นแน่นอน ดิชั้นเลยรู้สึกว่าลุงคนนี้ทะ:-)ๆ ตั้งแต่ตอนนั้นเลยค่ะ
พอ ออกมาถึงถนนใหญ่ หน้า รพ.บางนา 2 ก็ยังมีแสงสว่างอยู่ค่ะ เพราะเป็นหน้าโรงพยาบาล สักพัก พอเลยหน้าโรงพยาบาลมาได้สักสามร้อยเมตร เริ่มมืดแล้วค่ะ ( คนที่เคยสัญจร ถนนบางนาตราด ยามค่ำคืน น่าจะทราบนะคะ ว่ามันมืดและวังเวงแค่ไหน) นี่แหละค่ะ เริ่มเลย
ลุงแกหมุนแอร์มาทางดิชั้นหมดเลยค่ะ ทีแรกเราก็คิดว่า สงสัยแกจะกลัวเราไม่เย็นเพราะรถเก่าแล้ว ดิชั้นก็นั่งต่อค่ะ แต่ตาก็ยังมองแกเรื่อยๆ ดิชั้นนั่งเบาะหลังค่ะ แต่คนละด้านกับคนขับเพื่อที่จะสังเกตเค้าได้ชัดๆ
ทีนี้ลุงแกหมุนกระจก ฝั่งแก ลงค่ะ ประมาณสามนิ้วได้ เราก็ เฮ๊ย! ..... ทำไมเหมือนในเมลล์ เลยฟระ! ใจก็แอบนึกขำ ดิชั้นเลยคิดเอาเองว่ากันไว้ดีกว่าแก้ ดีกว่าเว๊ย ... เอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดจมูกไว้ดีกว่า เผื่อว่าเกิดไรขึ้นได้ไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่มีอะไร บอกเค้าก็ได้ว่าเราเป็นหวัดมีน้ำมูก
น่านนนนนนนน แหละค่ะ ช่วงที่หันไปหาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋า เราได้ยินเสียงดัง " ฟึ่ดดด " เหมือนเสียงฉีด อะไรสักอย่าง ไม่เห็นนะคะ แต่สาบานได้ว่าไม่ได้หูฝาดแน่ๆ
เท่านั้นเลยค่ะ ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ ดิชั้นรู้สึกเหมือนหน้าชาๆ ค่ะ บอกไม่ถูก อารมณ์ เหมือนเบลอๆ นิดหน่อย แต่ไม่มาก พอเป็นอย่างนั้น มือไวเท่าความคิดเลยค่ะ เพราะคิดทะ:-)ๆ มาตั้งแต่ต้นแล้ว เปิดประตูรถเลยค่ะ ตอนนั้นมองไปเค้าขับที่ 80 km ต่อ ชม. ค่ะ
" จอดๆๆ เลยพี่ จอดๆๆๆๆ "
ปากเราก็พูด ส่วนเท้าเรา ก็ดันประตูรถไม่ให้ปิดค่ะ ตอนนั้นคิดอย่างเดียวค่ะ ว่ายังไงก็ต้องหาอากาศบริสุทธิ์ ให้ได้
ดิชั้นร้องบอกให้เค้าจอดหลายครั้งมาก ถ้าเป็นคนอื่นที่บริสุทธิ์ใจ ป่านนี้เค้าคงจอดรถ และลงมาด่าดิชั้นแล้วว่าแกเป็นบ้าอะไร แถมคงไล่ดิชั้นลงจากรถอีกต่างหาก แต่นี่ไม่เลยค่ะ บอกดิชั้นว่า
" จอดทำไม จะไปสุขุมวิทไม่ใช่เหรอ นี่ไง จะไปส่ง "
ยื้อกันอยู่สักพักค่ะ เราก็ไม่ยอมปิดประตู เค้าก็ไม่ยอมจอด แถมเร่งเครื่องรถอีก อย่างนี้จะไม่ให้คิดว่าเป็นโจรได้ไงล่ะคะ
สักพักค่ะ เค้าก็ยอมจอด ดิชั้นก็รีบวิ่งลงจากรถ มองไปมองมา ไม่มีคนเลยค่ะ เห็นรถเก๋งหนึ่งคันตามหลังมา ดิชั้นเลยรู้ว่าทำไมเค้าจึงจอด คงเพราะรู้แล้วว่ามีคนเห็น รถเก๋งวิ่งเลยหน้าเราไปประมาณ 10 เมตร ค่ะ ดิชั้นเลย รีบวิ่งไปเปิดประตูหลังรถ หวังจะให้เค้าช่วย
" พี่คะ ช่วย ด้วววว " พูดยังไม่ทันจบค่ะ รถ วิ่งออกไปเลย เราก็ไม่โทษเค้าหรอกค่ะ ถนน บางนาตราด ตอนตีสี่ ใครก็กลัวนางนกต่อ หลอกปล้นทั้งนั้นแหละ คราวนี้แหละค่ะ กลัวมากเลย รู้เลย ว่าความรู้สึกที่กลัวตายมันเป็นยังไง เข้าใจแจ่มแจ้งเลยค่ะ มองไปไกลๆ ย้อนหลัง เห็นแสงสว่าง เป็นป้อมยาม ของบริษัทมิตซูบิชิ เลยวิ่งสุดแรงเกิดเลย ไปถึงเรียกป้อมยามค่ะ บอกว่า" พี่ๆๆๆ เปิดให้หนูเข้าไปหน่อย ช่วยหนูด้วย แท็กซี่มันจะจี้หนู " มียามเป็นผู้หญิงบอก " เปิดไม่ได้ เดี๋ยวผู้ใหญ่ว่า มันไม่กล้าฆ่าหรอก มีคนอยู่ตรงนี้ "
เราก็คิด โห เจ๊ พูดง่ายมากเลย เจ๊ก็พูดได้สิ เจ๊อยู่หลังรั้วสูงสองเมตร แต่ข้างนอกเนี่ย หนูอยู่คนเดียวนะ เราบอก " งั้นพี่ออกมายืนเป็นเพื่อนหนูหน่อยสิ หนูกลัวมาก พูดไปก็จะร้องไห้ไป เพราะกลัวจริงๆ " แกบอก " โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอก มันไม่ทำไรหรอก " ตอนนั้นคิดอย่างเดียว ถ้าชั้นตาย จะมาหลอกแกคนแรกเลยอีเจ๊เอ๋ย
ตอนนั้นมองไปที่แท็กซี่คันนั้นค่ะ ยังจอดอยู่เลย ความรู้สึกของเราคือ เหมือนอยู่คนเดียวในโลกค่ะ กลัวมาก คิดสาระพัด ถ้ามันถือมีดมาหาเรา เราจะทำไงดี
สักพัก มาจริงๆ ค่ะ เปิดประตูรถ เดินดุ่มๆ มาหาเราเลย ไม่รู้จะทำไง โทรหาเพื่อนเลยค่ะ เพื่อนบอกแกๆ รถจะออกแล้ว ทำไรอยู่ เราเลยรีบเล่าให้เพื่อนฟัง พร้อมๆ กับที่ตาลุงนั่นเดินเข้ามา เราได้แต่พูดว่า " แก มันเข้ามาหาชั้นแล้วๆๆๆๆๆๆ " เพื่อนก็บอก " แก มันทำอะไรแกๆๆๆๆๆๆๆๆ" ตอนนั้นขนหัวลุกเลยค่ะ ทำไรไม่ถูก เลยบอก พี่ๆ นี่ไง
เอาเงินไปเลยร้อยนึงนะ ค่ารถ พอดีหนูจะแวะมาหาพี่ชาย ในบริษัทนี้ เค้าให้หนูแวะมาหาก่อน เค้ากำลังมาแล้ว คือหาคำพูดเอาตัวรอดไปเรื่อยค่ะ เพื่อที่จะให้รอด พูดให้เค้าคิดว่ากำลังจะมีคนมาเยอะ ( ครั้งสุดท้ายเรามองในมิเตอร์ 80 บาท ) ยังมีการถามเราต่ออีกนะ ไม่ไปต่อเหรอ เดี๋ยวไปส่ง
เราบอกไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ชายไปส่ง ตอนนั้นกลัวมากๆ กลัวเค้าถือมีดมาด้วย จินตนาการมองเห็นภาพตัวเองโดนแทงไส้ไหลเลยค่ะ
เค้าก็ยังไม่ยอมไปนะ ยืนมองอาการเราอยู่มั้ง ตอนนั้นเบลอๆ นิดหน่อย หน้าก็ยังไม่หายชาค่ะ สักพัก คงมีการ วิทยุไปบอกคนข้างในจากยามหญิงคนนั้น เลยมีคนเดินออกมาจากตึกในบริษัท แต่ไม่ได้ออกมาจากรั้วนะคะ ประมาณ สี่คน ผู้ชายล้วน เป็นยาม สามคน และผู้ชายอีกหนึ่งคน ดูจากการแต่งตัวน่าจะเป็นหัวหน้าพนักงานเพราะใส่เน็คไทน์ พอตาลุงแท็กซี่เห็นคนมาเยอะ เลยรีบวิ่งขึ้นรถ และขับออกไป
หลังจากนั้นผู้ชายที่ใส่เน็คไทน์ ก็สอบถามเรื่องราวเรา ( จากในรั้วนั่นแหละ ) เราก็เล่าให้ฟัง ยัยเจ๊ยามหญิง เอาหน้าใหญ่เลย บอก คงจะจริงค่ะ เพราะดิชั้นสังเกต คนขับรถแท็กซี่จอดรถดูอาการน้องเค้าอยู่นานเลย ( ค่ะ อีเจ๊ ขอบใจมาก รู้อยู่ว่าให้เข้าไปไม่ได้ แต่ตัวเองก็มีอาวุธ ออกมาอยู่เป็นเพื่อนหน่อยก็ไม่ได้ )
หลังจากนั้นดิชั้นก็ต้องตามกองถ่ายไปที่ศาลายา เองค่ะ เพราะรถเค้าออกไปแล้ว จะไม่ไปก็ไม่ได้ เพราะมีของที่ต้องใช้อยู่ที่เรา เราก็คิดในใจ ทำไงดีล่ะ ต้องเรียกแท็กซี่อีกแล้ว เลยโทรไปที่ศูนย์ที่ใช้ประจำค่ะ คือ แท็กซี่เรดิโอ 1681 พร้อมกับเล่าเรื่องให้เค้าฟัง เค้าบอกว่าจะส่งรถมารับค่ะ ตอนนั้นตีห้าแล้ว
ยังค่ะ เรื่องยังไม่จบแค่นั้น
ตอนนั้นเป็นเวลาตีห้า ยังมืดอยู่เลย แต่พอจะมีรถเมล์วิ่งแล้ว เราเลยคิดว่า ควรจะไปหาที่ๆ สว่างๆ รอรถแท็กซี่ที่เรียกดีกว่า รออยู่ตรงนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ยืนเกาะรั้วเค้าอยู่ เกิดอะไรขึ้นก็ไม่มีใครช่วยได้หรอก เราเลยนั่งรถเมล์มาลงที่ ฝั่งตรงข้าม ม.หัวเฉียว ป้ายรถเมล์หน้าเซเว่น น่ะค่ะ ถ้าใครเคยผ่านจะเห็นว่ามีรถแท็กซี่จอดอยู่เยอะมากๆ
เราก็เดินไปกดเงินเพิ่มที่ เอทีเอ็ม หน้าเซเว่น เพื่อที่จะเป็นค่ารถไปศาลายา ปรกติเราไม่พกเงินเยอะอยู่แล้วค่ะ เวลาจะซื้อของค่อยกด เรายังว่า มันคิดยังไงว๊า จะมาจี้ชั้น
พอเรากดเงินมานั่งที่ป้ายรถเมล์ ตอนนั้นคนรอบๆ ที่อยู่บริเวณนั้น มองเราค่ะ ไม่ว่าจะเป็นคนขับแท็กซี่ ที่จอดอยู่บริเวณนั้น หรือ ผัวเมีย น่าจะเป็นม้ง หรือ พม่า ที่ขายน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ ที่ป้ายรถเมล์นั้น ( เด็กหัวเฉียวน่าจะเคยเห็น ) สักพักก็มีคนขับรถแท็กซี่ในกลุ่มนั้นเดินเข้ามาหาเรา พร้อมกับถามว่า จะไปไหนเหรอ ตอนนั้นเรากลัวมาก แถมไม่มีที่พึ่ง หรือเพื่อน เราเลยเล่าให้เค้าฟังถึงเรื่องราวที่เราเจอมา พร้อมกับบอกว่าเราเรียกแท็กซี่ศูนย์แล้วพร้อมกับแกล้งพูดว่า แจ้งตำรวจแล้วด้วย อาจจะตามมาที่นี่ เค้าเลยหันไปมองพวกเพื่อนเค้าที่มองมาทางเรา และเดินกลับไปที่รถ เราเห็นเค้าเปิดประตูรถ และหยิบอะไรออกมาไม่รู้ เราก็ไม่ได้สนใจ แล้วเค้าก็ปามันทิ้งลงไปในถุงขยะสีดำหน้าเซเว่น เสียงเหมือนขวดอะไรสักอย่าง เราก็ไม่กล้าหันไปมอง (พอเรากลับมาถึงบ้านและคิดย้อนหลัง เราเลยคิดได้ว่า หรือว่าพวกเค้ารู้กัน ไม่อย่างนั้นไม่เข้ามานั่งข้างๆ เราแล้วถามหรอกว่าจะไปไหน และลักษณะ ของคนแถวนั้นที่จงใจมองเรามันดูแปลกๆ ทั้งๆ ที่เราก็ไปแถวนั้นบ่อยๆ ไม่เคยเจออย่างนี้เลย)
พอรถแท็กซี่ที่เราตามไว้มาถึง เราก็ขึ้นไปนั่ง บอกตามตรงว่าตอนนั้นยังไม่หาย กลัว และ หลอนค่ะ เลยไม่ไว้ใจใครไปเลย เราก็เลยขอเค้าเปิดกระจกค่ะ โดยให้เหตุผลว่า เมารถง่าย ไปทางไกล กลัวจะเมารถ พี่แท็กซี่คนใหม่นี้เค้าก็เลยชวนเราคุย คุยไปคุยมา เค้าเลยบอกน้องเองเหรอ ที่โดน พอดีพี่ฟังจาก จส.100 โดยทางศูนย์แท็กซี่โทรไปเล่าแจ้งเตือนภัยให้คนอื่นๆ ฟัง เค้าให้เราเล่ารูปพรรณ สัณฐาน พอเราเล่าเค้าบอกว่า คนนี้โดนจับบ่อย แล้วก็โดนปล่อยออกมา แต่เค้าจะไม่ทำอะไรผู้โดยสารหรอก อย่างมากพอลอกคราบก็เอาไปทิ้งไว้ข้างทาง เราบอกเราจำทะเบียนเค้าไม่ได้ เพราะตอนนั้นกลัวมาก ไม่กล้าหันไปมอง เค้าบอกจำไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะพวกนี้เช่ารถตามศูนย์ ที่ไม่ได้สอบถามข้อมูลอะไรมาก จะเป็นรถที่ค่อนข้างเก่า ไม่เรื่องมาก เพราะกลัวไม่มีคนเช่า
เราก็ รู้สึกว่า โห .... น่ากลัวมากชีวิตเวลาค่ำคืน พี่แท็กซี่เค้าเลยบอกเราว่า ใช้แท็กซี่ศูนย์ดีกว่า เกิดอะไรขึ้นก็ตามได้ ลืมของก็สอบถามได้ เสียเพิ่มอีกแค่ 20 บาท เพื่อความปลอดภัยของเรา
ตั้งแต่นั้นมา เราก็ใช้แต่แท็กซี่ศูนย์ เลยค่ะ เพราะบอกตามตรงยังกลัวอยู่ ถึงขนาดนั้น เรายังให้แฟนเราส่งขึ้นรถทุกครั้งเพราะต้องการย้ำให้เค้ารู้ว่า มีคนรู้เห็นนะ ที่เราขึ้นรถคันนี้
ที่สำคัญ เราอ่าน เมลล์ ขยะ ทุกฉบับค่ะ ประโยชน์มาก ประโยชน์ น้อย เราอ่านหมด เพราะถ้าครั้งนั้นเราไม่อ่าน ป่านนี้เราจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้
ฝากเตือนคนที่โดยสารรถแท็กซี่นะคะ ปลอดภัยไว้ก่อนค่ะ
พอไปถึงที่ทำงานค่ะ ทุกคนมารุมถามเราใหญ่เลย เพราะเพื่อนเราเล่าให้ฟัง มีพี่คนนึงบอกว่า แกน่าจะแปลกๆ ตั้งแต่เห็นเค้าใส่หมวกขับรถตอนตีสี่แล้วนะ ก็ตอนนั้นเรารีบนี่คะ เราเลยไม่สนใจอะไร
จากคุณ : สิริกันต์
เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 20:19:49