Previous
Next
Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
Results 1 to 3 of 3

Thread: ชีวิตนี้เพื่ออะไร?.........

  1. #1
    hut2211's Avatar
    hut2211 is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    1,986

    Talking ชีวิตนี้เพื่ออะไร?.........

    ชีวิตนี้ เพื่ออะไร ?
    ผศ.พรรณทิวา รุจิพร


    “ คนเราเกิดมาทำไม ? ” “ ชีวิตนี้ เพื่ออะไร ? ”
    ท่านเคยตั้งคำถามนี้ ถามตัวท่านเองบ้างหรือไม่ ?
    คำตอบของท่าน เป็นอย่างไร ?
    คำตอบอาจมีหลากหลาย มากมาย มีความแตกต่างกันไป ตามความคิดเห็น
    ตามประสบการณ์ของแต่ละบุคคล
    บางคนอาจตอบว่า เกิดมาตามดวง
    บางคนก็อาจตอบว่า เกิดมาเพื่อที่จะตาย แล้วก็เกิดใหม่ต่อไปอีก
    นี้ก็คิดตั้งแต่ส่วนต้น จนถึงส่วนปลายของชีวิตเลย
    สำหรับบางคนก็อาจตอบว่า ไหนๆก็ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งทีในชาตินี้ ก็อยากจะทำประโยชน์
    ฝากฝีไม้ลายมือ ผลงาน ในสาชางานอาชีพของตนเองที่เชี่ยวชาญ ให้ไว้กับสังคม เพื่อนร่วมโลกบ้าง
    จะได้ไม่เสียทีที่ได้เกิดมา
    บางคนอาจคิดว่า ในชีวิตนี้จะต้องพยายามทำการงานให้มีความก้าวหน้า จนมีตำแหน่งหน้าที่การงานสูง แสวงหาชื่อเสียง เกียรติยศ ทรัพย์สินเงินทอง สร้างฐานะความเป็นปึกแผ่นให้แก่ครอบครัว
    ให้เป็นที่ยอมรับ นับหน้าถือตาของสังคม ฯลฯ

    จะคิดอย่างไร ก็ไม่ได้ผิดอะไร เป็นสิทธิส่วนบุคคลที่จะคิดอย่างไรก็ได้ ตามที่แต่ละคนจะเห็นสมควร
    และ ก็เป็นธรรมดาของทางโลกที่คนเรายังต้องการ และเห็นความสำคัญของสิ่งเหล่านี้
    ข้อคิดก็คือ ถ้าคนเรามุ่งแสวงหาทางวัตถุมากจนเกินไป ชีวิตก็อาจจะเหน็ดเหนื่อยทั้งทางกายและใจ
    นึกถึงแต่ผลประโยชน์ของตนเอง ขาดการนึกถึง เห็นอกเห็นใจคนอื่น ขาดการเอาใจเราไปใส่ใจเขา
    ไม่นึกถึงอกเขา อกเรา เพราะตนเองจะต้องมาก่อน ขาดความเอื้ออารี มีน้ำใจต่อกัน

    บางคนอาจดำเนินชีวิตดังที่ได้กล่าวแล้ว
    แต่ถ้ารู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับชีวิต ลองพิจารณาข้อความต่อไปนี้ ที่นำมาจากเทปชุดแผ่นดินธรรม

    “ คนจำนวนไม่น้อย แบกก้อนหินแห่งชีวิต คือ ความหนักอกหนักใจ วิ่งฝ่ากองไฟ คือ ความทะยานอยาก
    ไปสู่ภูเขาแห่งความว่างเปล่า
    สมมุติว่า มีใครสักคนหนึ่ง กลิ้งก้อนหินอันแสนหนัก ขึ้นสู่ยอดเขา แล้วปล่อยให้ตกลงมายังพื้นดิน
    ตามลงมา กลิ้งขึ้นไปอีก แล้วปล่อยลงมา
    เขากลิ้งหินขึ้นสู่ยอดเขาอยู่อย่างนี้ วันแล้ว วันเล่า ปีแล้ว ปีเล่า

    ท่านรู้สึกอย่างไร ? กับบุคคลผู้นั้น

    เขาถูกบังคับให้เข็นก้อนหิน โดยที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ ว่าจะต้องเข็นก้อนหินไปทำไม ?
    บุคคลสมมุติดังกล่าวนั้นฉันใด บุคคลในโลกนี้ส่วนมากก็ฉันนั้น ได้ลงทุนลงแรงอย่างมาก
    ได้เข็นก้อนหิน คือ ภาระอันแสนหนักของตน เพื่อไปสู่ยอดเขาแห่งความว่างเปล่า
    ต่างคน ต่างก็กลิ้งขึ้นไป ถูกความทะยานอยากของตน ผลักดันให้กลิ้งขึ้นไป
    ด้วยความเข้าใจว่า บนยอดเขานั้น จะมีอะไร
    เขาจึงแบก เข็น กลิ้ง ก้อนหินแห่งชีวิตต่อไป และต่อไป พร้อมกับร้องว่า ร้อน…. หนัก…. ร้อน…. หนัก….. อย่างนี้เรื่อยไป
    บางพวกก็กลิ้งหินกระทบกัน แย่งทางกัน แล้วทะเลาะกัน เบียดเบียนกัน ฆ่าฟันกัน
    แข่งขันกันว่า ใครจะถึงยอดเขาก่อน
    เมื่อถึงยอดเขาแล้ว จึงได้รู้ว่า ไม่มีอะไร !
    คนทั้งหมด ต้องนั่งลง กอดเข่า รำพันว่า ……เหนื่อยแรงเปล่า ! ”
    ท่านคิดอย่างไร ?
    ชีวิตนี้ เพื่ออะไรกันแน่ ?

    สิ่งต่างๆทางวัตถุ ที่แสวงหามาด้วยความเหนื่อยยากตลอดชีวิต เมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว
    จะไม่สามารถนำอะไรติดตัวไปได้เลย คืนให้โลกไว้อย่างเดิม
    เมื่อเจ้ามา มีอะไร มาด้วยเจ้า จะมัวเอา แต่สุข สนุกไฉน
    เจ้ามาตัวเปล่า แล้วเจ้า จะเอาอะไรไป เจ้าก็ไป ตัวเปล่า เหมือนเจ้ามา
    มาเปล่า ไปเปล่า จริงๆ
    โลกนี้ ยุติธรรมดีไหม ?

    ข้อคิดอีกประการหนึ่ง ก็คือ บางคน เมื่อพิจารณาทบทวนการดำเนินชีวิตที่ผ่านมา อาจพบว่า บางเวลา เราได้ใช้เวลาส่วนหนึ่งของชีวิตไปอย่างไร้ค่า เสียเวลา เหนื่อยแรงเปล่า ไม่ได้เป็นสาระ แก่นสาร ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิต ด้านจิตใจของตนเองและผู้อื่นเลย
    เมื่อมาดูสิ่งแวดล้อมรอบๆตัว ต้นไม้ ดอกไม้ใบหญ้า ยังให้ร่มเงา ให้ความร่มรื่น ประดับโลกให้สดชื่น สวยสดงดงาม เจริญตา เจริญใจ
    แล้วเราซึ่งเป็นมนุษย์ ได้ให้อะไรแก่เพื่อนร่วมโลกบ้าง ?
    ไม่จำเป็นต้องเป็นทางวัตถุ สิ่งของต่างๆ
    แต่ให้ด้านจิตใจ เช่น ให้น้ำใจ ให้กำลังใจ ให้ความช่วยเหลือ เอื้ออาทร ให้ความเมตตา ให้อภัย ฯลฯ
    วันนี้ ได้ให้อะไรแก่โลกบ้างหรือยัง ?
    ถ้ายัง ก็คงจะสู้ต้นไม้ ดอกไม้ใบหญ้า เหล่านี้ไม่ได้
    ถ้าได้ให้แล้ว แม้แต่นิดหนึ่ง ก็คงจะยืนอยู่บนพื้นโลกด้วยความสบายใจ ภาคภูมิใจ มิเสียที่ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์กับเขาคนหนึ่ง
    ท่านคิดอย่างไรบ้าง ? ________________________________________


    ขอบคุณบทความดี ๆ และอนุโมทนากับผู้ใผ่ศึกษาธรรมทุกท่านครับ สาธุ สาธุ สาธุ .........
    บุคคลผู้มีศีลเป็นพื้น ใจย่อมอยู่สบาย......
    อย่าเรียกร้องในสิ่งที่ไม่มี แต่จงภูมิใจในสิ่งที่มีอยู่...
    โกงเค้าชาตินี้ 1 ต้องใช้เค้าชาติหน้าเป็น พัน ทำทำไม?
    ศาสนาไม่ได้เสื่อม แต่คนเสื่อมจากศาสนา

    ธรรมนิยายธรรมะผู้สละโลก
    http://groups.google.com/group/DhammaSawasdee/web/%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81


  2. #2
    TEDDY07's Avatar
    TEDDY07 is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    3
    ขอขอบคุณข้อคิดดีๆจ๊ะ
    ขอบคุณ SBN จ๊ะ

    หนังสือสวดมนต์ แจกฟรี ฟรี ฟรี
    ขอเชิญเพื่อนๆ SBN รับหนังสือสวดมนต์ฟรี
    เพื่อสวดบูชา ก่อให้เกิดความเป็นสิริมงคล
    แก่ตัวท่านเองและครอบครัว
    หรือจะเอาไปช่วยกันบอกบุญต่อก็ดียิ่งๆขึ้นไปเลยนะจ๊ะ

    ตามลิ้งค์นี้เลย
    http://siambrandname.com/forum/showthread.php?t=390560

  3. #3
    PREZZO's Avatar
    PREZZO is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    2

    Smile

    ข้อคิดดีๆ ขอบคุณมากครับ



    เนมิราชชาดก
    พระเจ้าเนมิราช เมื่อทรงปฏิบัติธรรมอยู่นั้น ทรงสงสัยว่า การให้ทานกับการประพฤติพรหมจรรย์ คือ การรักษาความบริสุทธิ์ ไม่ข้องเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวโลกนั้น อย่างไหนจะประเสริฐกว่ากัน

    พระอินทร์ได้ทรงทราบถึงความกังขาในพระทัยของพระเจ้า เนมิราช จึงเสด็จจากดาวดึงส์ลงมาปรากฏ เฉพาะพระพักตร์ พระราชา ตรัสกับพระราชาว่า "การประพฤติพรหมจรรย์จึงทำได้ยากยิ่ง กว่าการบริจาคทาน และได้กุศลมากยิ่งกว่าหลายเท่านัก"

Posting Permissions

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •