Previous
Next
Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
Results 1 to 9 of 9

Thread: ความพลัดพรากจากเป็น ความพลัดพรากจากตาย

  1. #1
    hut2211's Avatar
    hut2211 is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    1,986

    Talking ความพลัดพรากจากเป็น ความพลัดพรากจากตาย

    ความพลัดพรากจากเป็น ความพลัดพรากจากตาย

    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ
    “การบริหารทางจิตสำหรับผู้ใหญ่”

    อันความทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพรากจากตายนั้นแม้จะมากเพียงใด
    แต่เมื่อเปรียบเทียบกับความทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพรากจากเป็นแล้ว
    บางทีความทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพรากจากตายก็เหมือนเล็กน้อยนัก
    ความทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพรากจากเป็นนั้น
    เมื่อเกิดถึงขีดสุดก็ทำให้เกิดความเศร้าสะเทือนใจอย่างยิ่งอยู่เนืองๆ

    ดังที่ปรากฎเป็นข่าวมิได้ว่างเว้นตลอดมา
    การกระทำอัตวินิบาตกรรมก็ตาม การฆาตกรรมก็ตาม
    เกิดขึ้นเพราะความทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพรากจากเป็นอยู่เป็นอันมาก
    โทษของการปล่อยใจให้อยู่ใต้อำนาจความทุกข์นี้จึงมหันต์นัก น่าจะได้พากันระมัดระวังอย่างยิ่ง

    จากการพลัดพรากจากเป็น ที่เป็นเหตุแห่งความทุกข์หนักนั้น
    เป็นที่ทราบกันดีว่า คือการพลัดพรากที่เกิดจากการเปลี่ยนใจในเรื่องรักชอบของฝ่ายหนึ่ง
    ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ปรารถนาให้เป็นเช่นนั้น
    อัตวินิบาตกรรมและฆาตกรรมเกิดขึ้นนักต่อนักเพราะเหตุนี้
    ในขณะเดียวกันผู้เสียสติเพราะเหตุนี้ก็มีเป็นจำนวนมาก

    จึงเห็นชัดได้ชัดว่าอิทธิพลของความทุกข์ในเรื่องนี้รุนแรงนัก
    ควรที่ทุกคนผู้ที่เป็นปุถุชนคนสามัญจะพยายามยับยั้งอิทธิพลร้ายนี้
    อย่างน้อยก็มิให้มีเหนือจิตใจตนเองอย่างรุนแรง
    และการจะทำได้สำเร็จพอสมควรก็จำเป็นต้องค่อยทำค่อยไป

    คือ แม้จะยังไม่ทันต้องประสบกับความพลัดพรากดังกล่าว ก็ให้ไม่ประมาท
    ให้มีสติระลึกถึงความจริง ๓ อย่าง ที่มีอยู่เป็นธรรมประจำโลก คือ

    อนิจจัง ความไม่เที่ยง

    ทุกขัง ความเป็นทุกข์ทนอยู่ไม่ได้ ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป

    อนัตตา ความไม่ใช่ตัวตนของเรา คือไม่อยู่ใต้อำนาจความปรารถนาต้องการของเรา

    ลักษณะสามนี้ ไม่มียกเว้นแก่ผู้ใดหรือสิ่งใด ทุกคนทุกสิ่งต้องมี
    มิได้เป็นความผิดความไม่ดีของผู้ใด แต่เป็นเรื่องธรรมดาโลก
    อนิจจัง ความไม่เที่ยง มีอยู่ทุกเวลา
    ทุกขัง ความเป็นทุกข์ทนอยู่ไม่ได้ ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปก็มีอยู่ทุกเวลา
    และอนัตตา ความไม่ใช่ตัวตนของเรา คือไม่อยู่ใต้อำนาจความปรารถนาต้องการใดๆ
    ของเราก็มีอยู่ทุกเวลา

    นำลักษณะทั้งสามหรือไตรลักษณ์นี้มาเทียบเข้ากับทุกคน ทุกสิ่งไว้ให้เสมอ
    เพราะดังกล่าวแล้ว ลักษณะทั้งสามมีอยู่ในทุกคนทุกสิ่งไม่มียกเว้น
    ถ้าพยายามทำสติระลึกถึงความจริงอันเป็นสัจธรรมอันยิ่งใหญ่นี้ไว้เสมอๆ

    เมื่อประสบความพลัดพรากจากตายหรือจากเป็นก็ตาม
    ก็จะมีปัญญาคือความรู้ทันความจริงว่า เป็นธรรมดาของโลก
    ไม่ใช่ความผิดความร้ายของใคร ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใดจะบังคับให้เป็นไป
    ตามความปรารถนาต้องการได้

    ความรักก็ตาม ความชังก็ตาม ความไม่รักไม่ชังก็ตาม
    ล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
    ใครฝืนไม่ได้ ใครบังคับไม่ได้ คนอื่นก็ฝืนไม่ได้บังคับไม่ได้
    เจ้าตัวก็ฝืนไม่ได้บังคับไม่ได้

    ดังนั้นจะไปโกรธแค้นอาฆาตใครก็ไม่ถูก
    จะเศร้าโศกเสียใจหนักหนาก็ผิด ก็ไม่ฉลาด
    เมื่อรู้ความจริงแท้มีอยู่อย่างหนึ่งจะไปหวังให้เป็นไปในทางตรงกันข้าม
    จะเรียกว่าฉลาดก็ไม่ได้ จึงเรียกว่าไม่ฉลาด ไม่มีปัญญา
    ไม่มีวิชชาคือความรู้ถูกตามเป็นจริง แต่มีอวิชชาคือความรู้ไม่ถูกครอบงำอยู่

    ความทุกข์ความเดือดร้อนทั้งหลายเกิดขึ้นก็เพราะอวิชชานี้แหละเป็นเหตุ
    และอวิชชาก็มีอยู่ในใจตนเองของผู้มีความทุกข์ความเดือดร้อนนี้แหละ
    ดังนั้นจะไปโทษใครอื่นว่าเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนก็ผิดอีก
    ยิ่งไปแก้แค้นคนอื่นในฐานะเป็นเหตุก็จะยิ่งผิดหนักเข้าไปอีก

    อวิชชาความรู้ไม่ถูกตามความจริงมีอยู่ในใจที่เป็นทุกข์ที่เดือดร้อน
    แก้ที่ใจอันเป็นทุกข์เดือดร้อนด้วยความเศร้าโศกเสียใจหรือโกรธแค้นอาฆาตพยาบาทนั่นแหละ
    แก้ด้วยการเพิ่มพูนปัญญาให้รู้ให้เห็นทุกสิ่งถูกต้องตามความจริงนั่นแหละ
    จะสามารถทำความทุกข์ให้ลดน้อยลงได้มาก
    แม้ต้องประสบความพลัดพรากจากตายหรือจากเป็นก็ตาม
    ของผู้เป็นที่รักที่ชอบใจแม้มากเพียงไรก็ตาม

    ไตรลักษณ์ ลักษณะสามที่มีคุณ

    สำหรับผู้หมั่นพิจารณาลักษณะสาม อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่เสมอ
    การพลัดพรากจากตายหรือจากเป็นย่อมจะ
    ไม่ก่อให้เกิดความทุกข์ความเศร้าโศกเสียใจหรือความอาฆาตพยาบาทรุนแรง
    เพราะการพิจารณาดังกล่าวเป็นการทำให้เกิดปัญญา
    และปัญญานั่นเองที่จะพาให้พ้นทุกข์ ตั้งแต่ทุกข์เล็กทุกข์น้อยจนถึงทุกข์หนัก
    ตั้งแต่พ้นได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวจนถึงพ้นอย่างสิ้นเชิง

    อันที่จริง การพิจารณาลักษณะสามดังกล่าวมา
    ไม่เพียงแต่จะแก้ทุกข์เพราะการพลัดพรากเท่านั้น
    แต่สามารถแก้ทุกข์ทั้งหลายได้สิ้น
    การพิจารณาไตรลักษณ์นี้ จึงเป็นสิ่งที่บรรดาผู้มาบริหารจิตควรปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง
    พิจารณามากเพียงใดก็จะสามารถช่วยใจตัวเองให้ห่างไกลจากความทุกข์ทั้งหลายได้มากเพียงนั้น

    อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ประสบความพลัดพรากอยู่แล้ว
    ความทุกข์เพราะความพลัดพรากเกิดขึ้นแล้ว
    สติเป็นสิ่งจำเป็นขณะนั้น ก่อนอื่นต้องมีสติ
    คือต้องพยายามนึกให้ได้ถึงไตรลักษณ์ว่าเป็นสิ่งมีอยู่จริง ไม่มีผู้ใดสิ่งใดพ้นไปได้
    ความไม่เที่ยงความเป็นทุกข์ทนอยู่ไม่ได้ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป
    และความไม่เป็นไปตามอำนาจความปรารถนาต้องการของผู้ใดทั้งสิ้น

    ทั้งสามประการนี้มีอยู่จริง ไม่มีผู้ใดหนีพ้นได้จริง
    แม้พยายามนึกอยู่เพียงเท่านี้ในขณะที่กำลังเป็นทุกข์
    ไม่ต้องนึกอะไรให้มากกว่านี้ ความทุกข์ก็จะคลายได้
    สำคัญดังกล่าวแล้วต้องมีสติ ต้องนึกให้ได้ถ้านึกได้เท่านั้น ก็ได้ผลพอสมควรแล้ว
    แต่ผลกับเหตุนั้นเป็นสิ่งเนื่องกันอยู่เสมอ ผลกับเหตุจะไม่เกี่ยวเนื่องกันไม่มีเลย

    ทำเหตุเช่นใดจะได้ผลเช่นนั้น ทำเหตุน้อยผลก็ได้น้อย
    ทำเหตุมากจึงจะได้มาก ทำเหตุดีผลจึงจะดี
    ทำเหตุแห่งความสุขจึงจะได้รับผลเป็นความสุข
    การพิจารณาไตรลักษณ์เป็นเหตุแห่งความสุข
    แต่พิจารณาน้อยก็เป็นความสุขน้อย

    ต้องพิจารณาให้มาก พิจารณาให้เสมอจึงจะเป็นสุขมาก
    เป็นสุขเสมอ ม่ว่าจะประสบกับความพลัดพรากจากเป็นหรือจากตาย
    ของผู้เป็นที่รักที่ชอบใจเพียงใดก็ตาม เมื่อไรก็ตาม

    ขอแนะนำผู้บริหารจิตทั้งหลาย
    ว่าอย่างน้อยก็ควรรู้จัก ควรจำไว้ว่าลักษณะสามหรือไตรลักษณ์มีอะไรบ้าง
    มีความหมายที่ถูกต้องอย่างไร จำไว้ให้ขึ้นใจให้รู้จักให้ดี
    เพียงเท่านี้ก็เป็นประโยชน์บ้างเล็กน้อยแล้ว ดีกว่าไม่รู้จักเสียเลย
    ต่อจากนั้นถ้าจะให้เป็นประโยชน์ให้ยิ่งขึ้นก็ต้องนึกทบทวนสักวันละเล็กละน้อย
    ไม่ใช่นึกอย่างที่กล่าวกันว่าแบบนกแก้วนกขุนทอง
    ต้องนึกอย่างเข้าใจความหมายด้วยจึงจะใช้ได้ จึงจะมีประโยชน์

    ผู้ขาดสติย่อมทำลายตัวเอง

    ทุกคนต้องประสบความพลัดพรากจากเป็นและจากตายเป็นธรรมดา
    จึงควรพิจารณาไตรลักษณ์กันไว้เสมอ
    ให้เป็นพื้นของจิตใจ เป็นพื้นฐานสำคัญของวิธีแก้ทุกข์ทั้งปวง
    แล้วจะใช้วิธีคิดอื่นๆ อีกมาประกอบเพื่อช่วยคลายทุกข์เป็นบางกรณีก็ได้
    แล้วแต่ว่าคิดเช่นใดได้ผลแก่กรณีใด ช่วยให้คลายทุกข์ได้ในกรณีใด

    ในกรณีที่ผู้พลัดพรากจากเป็น เป็นผู้ขาดเมตตาต่อเรา ไม่เห็นใจไม่ปราณีสงสาร
    แม้ว่าเราจะต้องเป็นทุกข์เพราะเขาเพียงใด
    เช่นนี้ นอกจากจะพิจารณาไตรลักษณ์ให้เป็นพื้นของใจแล้ว
    ก็อาจคิดประกอบไปด้วยได้ว่า เมื่อเขาเป็นเหตุให้เราเป็นทุกข์
    ต้องพลัดพรากจากกันไปเสียความทุกข์ของเราก็จะสิ้นสุด

    แม้ใหม่ๆ จะต้องเป็นทุกข์อยู่
    แต่นานไปก็จะคลายทุกข์และจะหายทุกข์เกี่ยวกับเขาในที่สุด
    เมื่อเป็นทุกข์ทุกคนก็คิดว่ามีกรรม
    เมื่อเหตุแห่งทุกข์พ้นไปก็ควรคิดว่าหมดกรรมแล้ว จะได้เป็นสุขสบายใจแล้ว
    เวลาประสบกับการพลัดพรากจากผู้เป็นเหตุให้เราเป็นทุกข์ ก็ควรคิดเช่นนั้น
    คิดว่าเราหมดกรรมที่ให้เป็นทุกข์เช่นนั้นแล้ว จึงต้องพลัดพรากจากไป

    อย่าคิดว่าการพลัดพรากจะทำให้เป็นทุกข์อยู่ยั่งยืนจนทนไม่ได้
    แต่ต้องมีสติคิดให้ถูกตามสัจธรรม ทุกสิ่งไม่เที่ยง
    ความสุขและความทุกข์ก็เช่นกัน
    ไม่ว่าจะเป็นความสุขความทุกข์ที่เกิดจากเหตุใดก็ตาม
    ก็ไม่เที่ยง ก็ทนอยู่ไม่ได้ ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลง และต้องสิ้นสุดลง
    ตรงตามสัจธรรมที่ว่าทุกสิ่งมีเกิดต้องมีดับ
    มีสุขได้ก็ต้องหมดสุข มีทุกข์ได้ก็ต้องมีหมดทุกข์ได้
    ทุกข์อันเกิดจากการพลัดพรากก็เช่นเดียวกัน เมื่อเกิดแล้วก็ต้องดับ

    ฉะนั้นเมื่อความทุกข์เกิดขึ้น
    แทนที่จะปล่อยใจให้หมกหมุ่นอยู่ในความทุกข์
    ต้องทำสติให้ได้ บังคับใจให้คิดว่า แล้วก็จะดับ แล้วก็จะหายทุกข์
    แล้วก็จะลืมเหตุแห่งความทุกข์ แล้วก็จะกลับสบาย

    อย่าขาดสติแล้วปล่อยใจให้เป็นทุกข์ จนตกอยู่ใต้อิทธิพลของความทุกข์
    ยอมให้ความทุกข์พาไปก่อกรรมทำเข็ญ ไม่ว่าจะแก่ตัวเองหรือว่าผู้อื่น
    ขาดสติถึงเช่นนั้นเมื่อใด เรียกว่าทำลายตัวเอง ไม่ใช่ถูกใครทำลาย
    เราทำลายตัวเราเองจริงๆ จะโทษใครไม่ได้ ต้องโทษตัวเองเท่านั้น

    ฉะนั้นจึงควรมีสติไว้เสมอ
    ให้พอสามารถช่วยตนเองให้พ้นจากอิทธิพลของความทุกข์
    อันเกิดจากการพลัดพรากให้ได้

    อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้คลายทุกข์ได้อย่างดี
    เมื่อต้องประสบกับการพลัดพรากจากความเป็นของผู้เป็นที่รักที่ชอบใจ
    ก็คือพยายามไม่ไปคิดถึงความรู้สึกหรือจิตใจของคนอื่น ให้ดูใจตัวเอง ดูความรู้สึกของตนเองเท่านั้น

    มีอธิบายเกี่ยวกับที่กล่าวว่าอย่าไปคิดถึงความรู้สึกหรือจิตใจคนอื่น
    ให้ดูความรู้สึกของตนเองเท่านั้น ดังนี้

    อย่าไปคิดว่าเขามีจิตใจที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
    เขารู้สึกเช่นนั้นต่อเราแล้ว
    เขารู้สึกเช่นนั้นต่อคนนั้นต่อคนนี้แล้ว
    เขาไม่เหมือนเดิมแล้ว
    เช่นนี้เป็นต้น

    การคิดเช่นนั้นจะเป็นการเพิ่มทุกข์แก่จิตใจโดยถ่ายเดียว
    เป็นโทษโดยถ่ายเดียว ไม่เป็นคุณอย่างใด ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น
    ไม่ทำให้เหตุการณ์ดีขึ้น ไม่ทำให้จิตใจสบายขึ้น
    ดังนั้นจึงไม่ควรคิดเช่นนั้นอย่างเด็ดขาด

    คือไม่ควรไปดูความคิดหรือไปดูจิตใจของคนอื่นอย่างเด็ดขาด
    ให้ดูความคิดหรือจิตใจของตัวเองเท่านั้น
    คิดอย่างไรรู้สึกอย่างไรก็ให้ติดตามดูของตัวเองไป ระวังอย่าให้ไปเกี่ยวกับคนอื่น
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งคืออย่าไปเกี่ยวกับจิตใจ
    หรือความรู้สึกนึกคิดของผู้พลัดพรากไปทั้งเป็นผู้นั้นเป็นอันขาด

    แล้วจะได้รู้สึกด้วยตัวเองว่าความทุกข์แม้หนักเพียงใดอันเกิดจากการพลัดพรากจากเป็น
    จะกลายเป็นความเบาสบายขึ้นในช่วงระยะที่สามารถรักษาสติ
    ไม่ปล่อยความคิดให้ไปเกี่ยวกับจิตของผู้อื่นดังกล่าวนั้น

    นี้เป็นการบริหารจิตโดยตรงที่จะช่วยให้เกิดผลทันทีที่ปฏิบัติ
    และจะเกิดยั่งยืนตลอดไปได้แม้ปฏิบัติสม่ำเสมอ
    ไม่ไปดูใจคนอื่น ดูแต่ใจตนเอง ไม่ไปดูความคิดคนอื่น ดูแต่ความคิดของตนเอง ดังกล่าวแล้ว
    ....


    บทความจาก
    http://rarinn.bloggang.com/
    บุคคลผู้มีศีลเป็นพื้น ใจย่อมอยู่สบาย......
    อย่าเรียกร้องในสิ่งที่ไม่มี แต่จงภูมิใจในสิ่งที่มีอยู่...
    โกงเค้าชาตินี้ 1 ต้องใช้เค้าชาติหน้าเป็น พัน ทำทำไม?
    ศาสนาไม่ได้เสื่อม แต่คนเสื่อมจากศาสนา

    ธรรมนิยายธรรมะผู้สละโลก
    http://groups.google.com/group/DhammaSawasdee/web/%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81


  2. #2
    pepsi5510's Avatar
    pepsi5510 is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    308
    เป็นเรื่องจริงมากๆครับ การพลัดพรากจากความตาย ยิ่งถ้าเป็นคนใกล้ชิด สะเทือนใจมาก เมื่อ 2 ปีที่แล้ว คุณพ่อเสีย ก็ทําให้เสียใจมากเหมือนกัน แต่ก็ต้องทําใจแบบบทความคุณ hut กล่าว คนเราต้องปลง ความตายไม่มีอะไรมาบังคับได้...ทุกคนก็ต้องตายเหมือนกัน.

    ขอบคุณมากครับ....
    ในคําสอนที่แฝงไปด้วยความรู้ และ ความเป็นจริงของชีวิตมนุษย์..

    สาธุ สาธุ...
    กาลเวลาเป็นเครื่องชี้ตัวตนแห่งคน.
    ยินดีต้อนรับเพื่อนๆเข้ากลุ่ม Buddha Pra เพื่อเรียนรู้และถามปัญหาต่างๆเกี่ยวกับพระเครื่องที่คุณมี ด้วยความเต็มใจและจริงใจ การแบ่งปันความรู้ เป็นกุศลอันใหญ่หลวง.

    http://siambrandname.com/forum/forumdisplay.php?f=72

  3. #3
    PREZZO's Avatar
    PREZZO is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    2

    Smile

    โมทนาสาธุครับ



    เนมิราชชาดก
    พระเจ้าเนมิราช เมื่อทรงปฏิบัติธรรมอยู่นั้น ทรงสงสัยว่า การให้ทานกับการประพฤติพรหมจรรย์ คือ การรักษาความบริสุทธิ์ ไม่ข้องเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวโลกนั้น อย่างไหนจะประเสริฐกว่ากัน

    พระอินทร์ได้ทรงทราบถึงความกังขาในพระทัยของพระเจ้า เนมิราช จึงเสด็จจากดาวดึงส์ลงมาปรากฏ เฉพาะพระพักตร์ พระราชา ตรัสกับพระราชาว่า "การประพฤติพรหมจรรย์จึงทำได้ยากยิ่ง กว่าการบริจาคทาน และได้กุศลมากยิ่งกว่าหลายเท่านัก"

  4. #4
    ple15's Avatar
    ple15 is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    40

    เป็นเรื่องจริงค่ะ การพลัดพรากเป็นอะไรที่เจ็บปวดที่สุด

    อยากบอกว่าเป็นเรื่องจริงค่ะ การพลัดพรากเป็นอะไรที่เจ็บปวดที่สุด ยิ่งผูกพันยิ่งเจ็บปวดมากค่ะ สำหรับเราเนี่ยแทบจะทนไม่ได้กับตอนแรกเราเสียพี่ชายที่แสนดีของเราไป ทำให้เหลือเรากับแม่แค่ 2 คน ตอนนั้นเรากับแม่ทำอะไรไม่ได้เลยนั่งร้องไห้ทุกวัน เพราะความเหงา ความคิดถึงมันทำให้เจ็บปวดที่สุด ทุกคนถามว่าทำไมยังทำใจไม่ได้อีกอยากบอกว่าปัจจุบันก็ยังทำใจไม่ได้ค่ะ แต่เวลาก็ทำให้ดีขึ้น อยากบอกใครไม่มาเจอไม่มีทางรู้เลยค่ะ เพราะเรา 3 คนสนิทกันเป็นทุกอย่างเหมือนเพื่อนกันเลยค่ะ ไปไหนไปด้วยกันตลอด ตอนนั้นหนีไปเปิด โรงงานที่ลพบุรี2 ปี แต่เห็นว่ามันไม่มีอะไรดีขึ้น จึงตัดสินใจกลับมาเผชิญหน้ากับมันที่กทม. พอหลังจากนั้นอีก 2 ปีก็มาเสียแฟนที่คบกันมาตั้งแต่มหาลัยมีโครงการจะแต่งงานกันในปีหน้าแต่แล้วก็มาจากเราไป ก็ยิ่งทำให้เหงาขึ้นไปอีก แต่แล้วหมา (เหมือนลูกมากกว่าค่ะ ) เค้าชื่อ Mukly เป็นพันธ์ อัลเซเชียล ค่ะ มันเหมือนคนเลยค่ะ นอนบนเตียงกับเราเลยมีหมอนของมันด้วยนะ เวลาเรากับแม่ไปโรงงาน ก็จะเปิดแอร์ทิ้งให้มัน เวลาเรากลับบ้านมันจะมาออดอ้อน เราไปไหนก็ไปตาม เรานั่งมันก็ต้องขึ้นมาโซฟานอนตักเราทุกครั้ง ใครบอกว่าหมาใหญ่ไม่อ้อน อันนี้ไม่จริงค่ะ ของเรา Super Super อ้อนเลยค่ะ แถมป้องกันเราได้ด้วย ก็มาตายจากเราไปอีก หลังจากที่แฟนเสียไม่กี่วัน เพราะแก่ตาย 13 ปีค่ะ ทุกวันนี้เราไม่เคยเป่าเค้ก ได้แต่ซื้อมากินเฉยๆๆ

    ขอบคุณที่นำบทความดีๆๆ มาให้ทุกคนได้งานนะคะ ขอบคุณมากๆๆค่ะ

  5. #5
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    19
    ที่บ้านจะสอนเรื่องการจากตายมากๆๆเลยค่ะ คุณตาจะสอนเสมอว่าการตายเป็นธรรมชาติ การจากกันเพราะการตายเราจึงไม่ควรจะเสียใจมากไม่ควรจะทุกข์มาก ให้เราคิดเสมอว่าการตายคือการที่เราจะไม่ได้เห็นหน้ากันอีกแต่ไม่ได้หมายความว่าความรักที่เรามีให้กันมันตายไปด้วย เราต่างรู้อยู่แก่ใจว่าเรายังรักกันอยู่ และความรักที่เรามีให้แก่กันนั้นเมื่อเราระลึกถึงเราจะมีแต่ความสุข เราจะรู้สึกว่าที่จริงแล้วเราไม่ได้จากกันไปไหนเลย เวลามีคนในครอบครัวจากไปทุกคนจะทำเหมือนปกติไม่ได้มีการสูญเสียยิ่งใหญ่มากทุกคนยังยิ้มยังหัวเราะกันได้


    ปล.ส่วนตัวคิดว่าการจากเป็นทุกข์กว่าการจากตายค่ะ(อาจเพราะธรรมะในใจยังน้อยอยู่)การจากเป็นเรารู้เลยว่ารักมันหมดแล้วความรู้สึกมันมีแต่ความเจ็บปวด คราบน้ำตา แต่สำหรับการจากตายเรายังรู้สึกว่าเรายังรักกันอยู่
    [SIGPIC][/SIGPIC]

  6. #6
    wawe's Avatar
    wawe is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    685
    ขออนุญาติคุณ hut2211 แทรกบทธรรมจาก พระไตรปิฏก ฉบับเซ็น เกี่ยวกับเรื่องนี้ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
    ารระลึกถึงควาามตายอยู่เสมอ ๆ ที่เรียกว่า "เจริญมรณานุสติ" เป็นประจำนั้น ย่อมมีคุณประโยชน์ หรืออานิสงฆ์มหาศาลยากที่จะหาอะไรมาเปรียบเทียบได้
    ผู้ที่เจริญมรณานุสติเป็นนิตย์ ย่อมเป็นผู้ไม่ประมาทมัวเมาในชีวิต ในความหนุ่มสาว และในความไม่มีโรค
    ในอดีตกาล มีชาวนาอยู่ครอบครัวหนึ่ง ประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูกชาย ลูกสะใภ้ ลูกสาว และคนใช้ ทุกคนในครอบครัวนี้ต่างเจริญมรณานุสติอย่างเคร่งครัดเป็นประจำเสมอมิำได้ขาด
    วันหนึ่ง สองพ่อลูกได้ไปไถนาแต่เช้าตามปกติ พอตกสาย ลูกชายก็ถูกงูมีพิษกัดถึงแก่ความตายในทันที พ่อจึงได้อุ้มร่างของลูกชายไปนอนไว้บนคันนา เอาผ้าคลุมไว้ แล้วแกก็ไถนาไปตามปกติเหมือนว่าไม่มีอะไรที่เกิดขึ้น ระหว่างนั้นมีเพื่อนบ้านเดินผ่านมา แกจึงฝากบอกให้ที่บ้าน จัดอาหารมาส่งให้พ่อเพียงคนเดียว และบอกให้คนในบ้านมากันให้หมด ฝ่ายแม่ และทุกคนในบ้านเมื่อได้รับคำบอกเล่าเช่นนั้น ก็รู้ได้ทันทีว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับลูกชาย ทุกคนจึงนุ่งขาวห่มขาวมายังทุ่งนาโดยไม่มีใครร้องไห้แม้แต่คนเดียว และช่วยกันจัดหาฟืนมากองไว้ และยกศพขึ้นทำการเผาอย่างง่าย ๆ โดยไม่มีพิธีรีตองแต่อย่างใด ขณะไฟกำลังไหม้ศพอยู่นั้น ชาวบ้านเดินผ่านไปผ่านมารู้สึกแปลกใจว่าทั้งห้าคนนั้นเผาศพใครอยู่ จึงถามไปว่าเผาศพใคร และทำไมไม่มีใครร้องไห้เสียใจเลย ผู้เป็นพ่อเลยตอบไปว่า "เป็นลูกชายคนเดียวของผม" ผู้เป็นแม่ก็ตอบว่า "เป็นลูกชาย " คนต่อมาก็ตอบว่า "เป็นเมีย" คนต่อมา "เป็นน้องสาว" และคนสุดท้าย "เป็นคนรับใช้" ชาวบ้านเลยถามต่อว่า "ไม่เห็นมีใครร้องไห้ คร่ำครวญอาลัยเลย" ผู้เป็นพ่อตอบว่า "อันว่าลูกชายของผมจากไปและทิ้งร่างไว้เหมือนงูทิ้งคราบ การร้องไห้ คร่ำครวญถึงคราบงูไม่มีประโยชน์ฉันใด การเศร้าโศกถึงคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เิกิดประโยชน์อันใด" ผู้เป็นแม่ตอบว่า "ลูกชายของดิฉันนี้เมื่อเขาเกิดมาในท้องของดิฉัน เขาก็มาเอง ไม่มีใครเชื้อเชิญ เมื่อเขาจากไปเขาก็มิได้บอกลา ดิฉันจึงไม่อาลัยถึงเขา" ผู้เป็นภรรยาตอบว่า "ขึ้นชื่อว่าสามีที่ดีใคร ๆ ก็ย่อมรักและหวงแหนเป็นธรรมดา แต่เด็กแม้จะร้องไห้เอาพระจันทรฺ์บนท้องฟ้าไม่ได้ฉันใด ดิฉันจะร้องไห้ให้สามีฟื้นคืนมา ย่อมเป็นไปไม่ได้ฉันนั้น" น้องสาวตอบว่า "ถ้าดิฉันร้องไห้จนผ่ายผอม น้ำตาแทบเป็นสายเลือด พี่ชายของดิฉันก็ไม่ฟื้นคืนมาแน่" และคนใช้ตอบบ้าง "หม้อดินใส่น้ำที่แตกแล้วย่อมเชื่อมให้สนิทดังเดิมไม่ได้ฉันใด ดิฉันจะโศกเศร้า ร่ำไห้ถึงนายที่ตายแล้วก็ไม่มีฟื้น"

    ความง่ายอยู่ที่ปาก ความยากอยู่ที่ทำ
    การรู้จักปล่อยวาง เป็นวิถีทางแห่งความสุขสงบ
    มนุษย์ย่อมได้รับผลของการกระทำของตนเสมอ อาจจะเร็วหรือช้าเท่านั้น

  7. #7
    hut2211's Avatar
    hut2211 is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    1,986

    Talking

    Quote Originally Posted by wawe View Post
    ขออนุญาติคุณ hut2211 แทรกบทธรรมจาก พระไตรปิฏก ฉบับเซ็น เกี่ยวกับเรื่องนี้ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
    ารระลึกถึงควาามตายอยู่เสมอ ๆ ที่เรียกว่า "เจริญมรณานุสติ" เป็นประจำนั้น ย่อมมีคุณประโยชน์ หรืออานิสงฆ์มหาศาลยากที่จะหาอะไรมาเปรียบเทียบได้
    ผู้ที่เจริญมรณานุสติเป็นนิตย์ ย่อมเป็นผู้ไม่ประมาทมัวเมาในชีวิต ในความหนุ่มสาว และในความไม่มีโรค
    ในอดีตกาล มีชาวนาอยู่ครอบครัวหนึ่ง ประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูกชาย ลูกสะใภ้ ลูกสาว และคนใช้ ทุกคนในครอบครัวนี้ต่างเจริญมรณานุสติอย่างเคร่งครัดเป็นประจำเสมอมิำได้ขาด
    วันหนึ่ง สองพ่อลูกได้ไปไถนาแต่เช้าตามปกติ พอตกสาย ลูกชายก็ถูกงูมีพิษกัดถึงแก่ความตายในทันที พ่อจึงได้อุ้มร่างของลูกชายไปนอนไว้บนคันนา เอาผ้าคลุมไว้ แล้วแกก็ไถนาไปตามปกติเหมือนว่าไม่มีอะไรที่เกิดขึ้น ระหว่างนั้นมีเพื่อนบ้านเดินผ่านมา แกจึงฝากบอกให้ที่บ้าน จัดอาหารมาส่งให้พ่อเพียงคนเดียว และบอกให้คนในบ้านมากันให้หมด ฝ่ายแม่ และทุกคนในบ้านเมื่อได้รับคำบอกเล่าเช่นนั้น ก็รู้ได้ทันทีว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับลูกชาย ทุกคนจึงนุ่งขาวห่มขาวมายังทุ่งนาโดยไม่มีใครร้องไห้แม้แต่คนเดียว และช่วยกันจัดหาฟืนมากองไว้ และยกศพขึ้นทำการเผาอย่างง่าย ๆ โดยไม่มีพิธีรีตองแต่อย่างใด ขณะไฟกำลังไหม้ศพอยู่นั้น ชาวบ้านเดินผ่านไปผ่านมารู้สึกแปลกใจว่าทั้งห้าคนนั้นเผาศพใครอยู่ จึงถามไปว่าเผาศพใคร และทำไมไม่มีใครร้องไห้เสียใจเลย ผู้เป็นพ่อเลยตอบไปว่า "เป็นลูกชายคนเดียวของผม" ผู้เป็นแม่ก็ตอบว่า "เป็นลูกชาย " คนต่อมาก็ตอบว่า "เป็นเมีย" คนต่อมา "เป็นน้องสาว" และคนสุดท้าย "เป็นคนรับใช้" ชาวบ้านเลยถามต่อว่า "ไม่เห็นมีใครร้องไห้ คร่ำครวญอาลัยเลย" ผู้เป็นพ่อตอบว่า "อันว่าลูกชายของผมจากไปและทิ้งร่างไว้เหมือนงูทิ้งคราบ การร้องไห้ คร่ำครวญถึงคราบงูไม่มีประโยชน์ฉันใด การเศร้าโศกถึงคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เิกิดประโยชน์อันใด" ผู้เป็นแม่ตอบว่า "ลูกชายของดิฉันนี้เมื่อเขาเกิดมาในท้องของดิฉัน เขาก็มาเอง ไม่มีใครเชื้อเชิญ เมื่อเขาจากไปเขาก็มิได้บอกลา ดิฉันจึงไม่อาลัยถึงเขา" ผู้เป็นภรรยาตอบว่า "ขึ้นชื่อว่าสามีที่ดีใคร ๆ ก็ย่อมรักและหวงแหนเป็นธรรมดา แต่เด็กแม้จะร้องไห้เอาพระจันทรฺ์บนท้องฟ้าไม่ได้ฉันใด ดิฉันจะร้องไห้ให้สามีฟื้นคืนมา ย่อมเป็นไปไม่ได้ฉันนั้น" น้องสาวตอบว่า "ถ้าดิฉันร้องไห้จนผ่ายผอม น้ำตาแทบเป็นสายเลือด พี่ชายของดิฉันก็ไม่ฟื้นคืนมาแน่" และคนใช้ตอบบ้าง "หม้อดินใส่น้ำที่แตกแล้วย่อมเชื่อมให้สนิทดังเดิมไม่ได้ฉันใด ดิฉันจะโศกเศร้า ร่ำไห้ถึงนายที่ตายแล้วก็ไม่มีฟื้น"
    ขอบคุณเรื่องเล่าดี เช่นกันครับ อนุโมทนาสาธุครับ ...
    บุคคลผู้มีศีลเป็นพื้น ใจย่อมอยู่สบาย......
    อย่าเรียกร้องในสิ่งที่ไม่มี แต่จงภูมิใจในสิ่งที่มีอยู่...
    โกงเค้าชาตินี้ 1 ต้องใช้เค้าชาติหน้าเป็น พัน ทำทำไม?
    ศาสนาไม่ได้เสื่อม แต่คนเสื่อมจากศาสนา

    ธรรมนิยายธรรมะผู้สละโลก
    http://groups.google.com/group/DhammaSawasdee/web/%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81


  8. #8
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    0

    Smile เห็นด้วยค่ะ

    เห็นด้วยค่ะ เราจึงต้องอยู่กับวันนี้ ทำวันนี้ของเราให้ดีที่สุด ติ๊กก็มีเพื่อนคนนึง เป็นคนตลก เฮฮา แถมยังเป็นคนเก่ง ทำงานหลายอย่าง ได้เงินเดือนละ หลายแสน ทำงานจนไม่มีเวลาใช้เงิน ได้แต่เก็บส่งไปให้ที่บ้าน ตื่นเช้าทุกวัน กลับดึก เป็นอย่างนี้ทุกวันไม่มีวันหยุด เค้าก็บอกว่าเค้าเหนื่อย แต่ก็ต้องทำ เพราะโอกาสไม่ได้เข้ามาง่ายๆ อยากใช้เงินก็เสียดาย อยากเก็บไว้มากกว่า จนวันนึงเจ็บคอ ไปหาหมอเค้าบอกว่าเป็นต่อมทอมซิลอักเสบ
    และด้วยความที่ทำงานทุกวัน ไม่มีเวลารักษาตัว ประกอบกับงานที่ต้องใช้เสียงอยู่ตลอดเวลา จนผ่านไปไม่นาน กลับกลายเป็นว่ามันได้กลายเป็นมะเร็ง และได้ลามไปที่ต่อมน้ำเหลือง หมดทางรักษา
    ไม่นานหลังจากนั้นก็เสียชีวิตลง ทิ้งเงินประกันชีวิต กับทรัพย์สินต่างๆให้กับครอบครัว ทั้งๆที่ตอนมีชีวิตอยู่ก็ประหยัดอดออมเพื่อครอบครัวมาโดยตลอด
    (ลืมบอกไปว่าเพื่อนคนนี้เป็นมังสวิรัติตั้งแต่เริ่มรู้จักกันเมื่อแปดปีที่แล้ว)
    เรื่องของเพื่อนคนนี้ทำให้เราหันมามองตัวเอง ทำอะไรอย่างที่เราอยากทำ ถ้าไม่ได้ทำให้ตัวเรา หรือคนอื่นเดือดร้อน ติ๊กว่าก็โอเค และจงมีความสุขกับวันนี้แต่พอดีๆไม่มากไม่น้อยไป ส่วนวันพรุ่งนี้ก็เป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้
    ทุกวันนี้ก็ได้แต่คิดถึงเพื่อนคนนี้ค่ะ

    จบแล้ว มาร่วมแบ่งปันความรู้สึกดีๆค่ะ

  9. #9
    due's Avatar
    due is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    64
    เข้ามาร่วมอ่านความเห็นของทุกๆคน
    ทำให้รู้สึกปลงกับชีวิตมากๆขึ้น
    เพราะชีวิตเรา ยังไม่เคยต้องเสียคนที่เป็นที่รักก่อนเวลาอันควร
    ก็เลยยังไม่รู้ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น เราจะทำใจได้มากน้อยแค่ไหน
    แต่ทุกวันนี้ก็พยายามทำมรณานุสติอยู่เรื่อยค่ะ

    ขอบคุณน้องhut คุณwawe ที่นำบทความดีๆมาให้สติกันนะคะ
    สาธุค่ะ
    เรารักอะไรก็จะทุกข์เพราะสิ่งนั้น
    เพราะว่าสิ่งทั้งหลายล้วนแปรปรวนทั้งสิ้น
    ไม่มีอะไรคงที่อยู่ได้ตลอดเวลา

Posting Permissions

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •