Previous
Next
Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
Results 1 to 9 of 9

Thread: ความพลัดพรากจากเป็น ความพลัดพรากจากตาย

Hybrid View

  1. #1
    pepsi5510's Avatar
    pepsi5510 is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    308
    เป็นเรื่องจริงมากๆครับ การพลัดพรากจากความตาย ยิ่งถ้าเป็นคนใกล้ชิด สะเทือนใจมาก เมื่อ 2 ปีที่แล้ว คุณพ่อเสีย ก็ทําให้เสียใจมากเหมือนกัน แต่ก็ต้องทําใจแบบบทความคุณ hut กล่าว คนเราต้องปลง ความตายไม่มีอะไรมาบังคับได้...ทุกคนก็ต้องตายเหมือนกัน.

    ขอบคุณมากครับ....
    ในคําสอนที่แฝงไปด้วยความรู้ และ ความเป็นจริงของชีวิตมนุษย์..

    สาธุ สาธุ...
    กาลเวลาเป็นเครื่องชี้ตัวตนแห่งคน.
    ยินดีต้อนรับเพื่อนๆเข้ากลุ่ม Buddha Pra เพื่อเรียนรู้และถามปัญหาต่างๆเกี่ยวกับพระเครื่องที่คุณมี ด้วยความเต็มใจและจริงใจ การแบ่งปันความรู้ เป็นกุศลอันใหญ่หลวง.

    http://siambrandname.com/forum/forumdisplay.php?f=72

  2. #2
    PREZZO's Avatar
    PREZZO is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    2

    Smile

    โมทนาสาธุครับ



    เนมิราชชาดก
    พระเจ้าเนมิราช เมื่อทรงปฏิบัติธรรมอยู่นั้น ทรงสงสัยว่า การให้ทานกับการประพฤติพรหมจรรย์ คือ การรักษาความบริสุทธิ์ ไม่ข้องเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวโลกนั้น อย่างไหนจะประเสริฐกว่ากัน

    พระอินทร์ได้ทรงทราบถึงความกังขาในพระทัยของพระเจ้า เนมิราช จึงเสด็จจากดาวดึงส์ลงมาปรากฏ เฉพาะพระพักตร์ พระราชา ตรัสกับพระราชาว่า "การประพฤติพรหมจรรย์จึงทำได้ยากยิ่ง กว่าการบริจาคทาน และได้กุศลมากยิ่งกว่าหลายเท่านัก"

  3. #3
    ple15's Avatar
    ple15 is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    40

    เป็นเรื่องจริงค่ะ การพลัดพรากเป็นอะไรที่เจ็บปวดที่สุด

    อยากบอกว่าเป็นเรื่องจริงค่ะ การพลัดพรากเป็นอะไรที่เจ็บปวดที่สุด ยิ่งผูกพันยิ่งเจ็บปวดมากค่ะ สำหรับเราเนี่ยแทบจะทนไม่ได้กับตอนแรกเราเสียพี่ชายที่แสนดีของเราไป ทำให้เหลือเรากับแม่แค่ 2 คน ตอนนั้นเรากับแม่ทำอะไรไม่ได้เลยนั่งร้องไห้ทุกวัน เพราะความเหงา ความคิดถึงมันทำให้เจ็บปวดที่สุด ทุกคนถามว่าทำไมยังทำใจไม่ได้อีกอยากบอกว่าปัจจุบันก็ยังทำใจไม่ได้ค่ะ แต่เวลาก็ทำให้ดีขึ้น อยากบอกใครไม่มาเจอไม่มีทางรู้เลยค่ะ เพราะเรา 3 คนสนิทกันเป็นทุกอย่างเหมือนเพื่อนกันเลยค่ะ ไปไหนไปด้วยกันตลอด ตอนนั้นหนีไปเปิด โรงงานที่ลพบุรี2 ปี แต่เห็นว่ามันไม่มีอะไรดีขึ้น จึงตัดสินใจกลับมาเผชิญหน้ากับมันที่กทม. พอหลังจากนั้นอีก 2 ปีก็มาเสียแฟนที่คบกันมาตั้งแต่มหาลัยมีโครงการจะแต่งงานกันในปีหน้าแต่แล้วก็มาจากเราไป ก็ยิ่งทำให้เหงาขึ้นไปอีก แต่แล้วหมา (เหมือนลูกมากกว่าค่ะ ) เค้าชื่อ Mukly เป็นพันธ์ อัลเซเชียล ค่ะ มันเหมือนคนเลยค่ะ นอนบนเตียงกับเราเลยมีหมอนของมันด้วยนะ เวลาเรากับแม่ไปโรงงาน ก็จะเปิดแอร์ทิ้งให้มัน เวลาเรากลับบ้านมันจะมาออดอ้อน เราไปไหนก็ไปตาม เรานั่งมันก็ต้องขึ้นมาโซฟานอนตักเราทุกครั้ง ใครบอกว่าหมาใหญ่ไม่อ้อน อันนี้ไม่จริงค่ะ ของเรา Super Super อ้อนเลยค่ะ แถมป้องกันเราได้ด้วย ก็มาตายจากเราไปอีก หลังจากที่แฟนเสียไม่กี่วัน เพราะแก่ตาย 13 ปีค่ะ ทุกวันนี้เราไม่เคยเป่าเค้ก ได้แต่ซื้อมากินเฉยๆๆ

    ขอบคุณที่นำบทความดีๆๆ มาให้ทุกคนได้งานนะคะ ขอบคุณมากๆๆค่ะ

  4. #4
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    19
    ที่บ้านจะสอนเรื่องการจากตายมากๆๆเลยค่ะ คุณตาจะสอนเสมอว่าการตายเป็นธรรมชาติ การจากกันเพราะการตายเราจึงไม่ควรจะเสียใจมากไม่ควรจะทุกข์มาก ให้เราคิดเสมอว่าการตายคือการที่เราจะไม่ได้เห็นหน้ากันอีกแต่ไม่ได้หมายความว่าความรักที่เรามีให้กันมันตายไปด้วย เราต่างรู้อยู่แก่ใจว่าเรายังรักกันอยู่ และความรักที่เรามีให้แก่กันนั้นเมื่อเราระลึกถึงเราจะมีแต่ความสุข เราจะรู้สึกว่าที่จริงแล้วเราไม่ได้จากกันไปไหนเลย เวลามีคนในครอบครัวจากไปทุกคนจะทำเหมือนปกติไม่ได้มีการสูญเสียยิ่งใหญ่มากทุกคนยังยิ้มยังหัวเราะกันได้


    ปล.ส่วนตัวคิดว่าการจากเป็นทุกข์กว่าการจากตายค่ะ(อาจเพราะธรรมะในใจยังน้อยอยู่)การจากเป็นเรารู้เลยว่ารักมันหมดแล้วความรู้สึกมันมีแต่ความเจ็บปวด คราบน้ำตา แต่สำหรับการจากตายเรายังรู้สึกว่าเรายังรักกันอยู่
    [SIGPIC][/SIGPIC]

  5. #5
    wawe's Avatar
    wawe is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    685
    ขออนุญาติคุณ hut2211 แทรกบทธรรมจาก พระไตรปิฏก ฉบับเซ็น เกี่ยวกับเรื่องนี้ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
    ารระลึกถึงควาามตายอยู่เสมอ ๆ ที่เรียกว่า "เจริญมรณานุสติ" เป็นประจำนั้น ย่อมมีคุณประโยชน์ หรืออานิสงฆ์มหาศาลยากที่จะหาอะไรมาเปรียบเทียบได้
    ผู้ที่เจริญมรณานุสติเป็นนิตย์ ย่อมเป็นผู้ไม่ประมาทมัวเมาในชีวิต ในความหนุ่มสาว และในความไม่มีโรค
    ในอดีตกาล มีชาวนาอยู่ครอบครัวหนึ่ง ประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูกชาย ลูกสะใภ้ ลูกสาว และคนใช้ ทุกคนในครอบครัวนี้ต่างเจริญมรณานุสติอย่างเคร่งครัดเป็นประจำเสมอมิำได้ขาด
    วันหนึ่ง สองพ่อลูกได้ไปไถนาแต่เช้าตามปกติ พอตกสาย ลูกชายก็ถูกงูมีพิษกัดถึงแก่ความตายในทันที พ่อจึงได้อุ้มร่างของลูกชายไปนอนไว้บนคันนา เอาผ้าคลุมไว้ แล้วแกก็ไถนาไปตามปกติเหมือนว่าไม่มีอะไรที่เกิดขึ้น ระหว่างนั้นมีเพื่อนบ้านเดินผ่านมา แกจึงฝากบอกให้ที่บ้าน จัดอาหารมาส่งให้พ่อเพียงคนเดียว และบอกให้คนในบ้านมากันให้หมด ฝ่ายแม่ และทุกคนในบ้านเมื่อได้รับคำบอกเล่าเช่นนั้น ก็รู้ได้ทันทีว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับลูกชาย ทุกคนจึงนุ่งขาวห่มขาวมายังทุ่งนาโดยไม่มีใครร้องไห้แม้แต่คนเดียว และช่วยกันจัดหาฟืนมากองไว้ และยกศพขึ้นทำการเผาอย่างง่าย ๆ โดยไม่มีพิธีรีตองแต่อย่างใด ขณะไฟกำลังไหม้ศพอยู่นั้น ชาวบ้านเดินผ่านไปผ่านมารู้สึกแปลกใจว่าทั้งห้าคนนั้นเผาศพใครอยู่ จึงถามไปว่าเผาศพใคร และทำไมไม่มีใครร้องไห้เสียใจเลย ผู้เป็นพ่อเลยตอบไปว่า "เป็นลูกชายคนเดียวของผม" ผู้เป็นแม่ก็ตอบว่า "เป็นลูกชาย " คนต่อมาก็ตอบว่า "เป็นเมีย" คนต่อมา "เป็นน้องสาว" และคนสุดท้าย "เป็นคนรับใช้" ชาวบ้านเลยถามต่อว่า "ไม่เห็นมีใครร้องไห้ คร่ำครวญอาลัยเลย" ผู้เป็นพ่อตอบว่า "อันว่าลูกชายของผมจากไปและทิ้งร่างไว้เหมือนงูทิ้งคราบ การร้องไห้ คร่ำครวญถึงคราบงูไม่มีประโยชน์ฉันใด การเศร้าโศกถึงคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เิกิดประโยชน์อันใด" ผู้เป็นแม่ตอบว่า "ลูกชายของดิฉันนี้เมื่อเขาเกิดมาในท้องของดิฉัน เขาก็มาเอง ไม่มีใครเชื้อเชิญ เมื่อเขาจากไปเขาก็มิได้บอกลา ดิฉันจึงไม่อาลัยถึงเขา" ผู้เป็นภรรยาตอบว่า "ขึ้นชื่อว่าสามีที่ดีใคร ๆ ก็ย่อมรักและหวงแหนเป็นธรรมดา แต่เด็กแม้จะร้องไห้เอาพระจันทรฺ์บนท้องฟ้าไม่ได้ฉันใด ดิฉันจะร้องไห้ให้สามีฟื้นคืนมา ย่อมเป็นไปไม่ได้ฉันนั้น" น้องสาวตอบว่า "ถ้าดิฉันร้องไห้จนผ่ายผอม น้ำตาแทบเป็นสายเลือด พี่ชายของดิฉันก็ไม่ฟื้นคืนมาแน่" และคนใช้ตอบบ้าง "หม้อดินใส่น้ำที่แตกแล้วย่อมเชื่อมให้สนิทดังเดิมไม่ได้ฉันใด ดิฉันจะโศกเศร้า ร่ำไห้ถึงนายที่ตายแล้วก็ไม่มีฟื้น"

    ความง่ายอยู่ที่ปาก ความยากอยู่ที่ทำ
    การรู้จักปล่อยวาง เป็นวิถีทางแห่งความสุขสงบ
    มนุษย์ย่อมได้รับผลของการกระทำของตนเสมอ อาจจะเร็วหรือช้าเท่านั้น

  6. #6
    hut2211's Avatar
    hut2211 is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    1,986

    Talking

    Quote Originally Posted by wawe View Post
    ขออนุญาติคุณ hut2211 แทรกบทธรรมจาก พระไตรปิฏก ฉบับเซ็น เกี่ยวกับเรื่องนี้ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
    ารระลึกถึงควาามตายอยู่เสมอ ๆ ที่เรียกว่า "เจริญมรณานุสติ" เป็นประจำนั้น ย่อมมีคุณประโยชน์ หรืออานิสงฆ์มหาศาลยากที่จะหาอะไรมาเปรียบเทียบได้
    ผู้ที่เจริญมรณานุสติเป็นนิตย์ ย่อมเป็นผู้ไม่ประมาทมัวเมาในชีวิต ในความหนุ่มสาว และในความไม่มีโรค
    ในอดีตกาล มีชาวนาอยู่ครอบครัวหนึ่ง ประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูกชาย ลูกสะใภ้ ลูกสาว และคนใช้ ทุกคนในครอบครัวนี้ต่างเจริญมรณานุสติอย่างเคร่งครัดเป็นประจำเสมอมิำได้ขาด
    วันหนึ่ง สองพ่อลูกได้ไปไถนาแต่เช้าตามปกติ พอตกสาย ลูกชายก็ถูกงูมีพิษกัดถึงแก่ความตายในทันที พ่อจึงได้อุ้มร่างของลูกชายไปนอนไว้บนคันนา เอาผ้าคลุมไว้ แล้วแกก็ไถนาไปตามปกติเหมือนว่าไม่มีอะไรที่เกิดขึ้น ระหว่างนั้นมีเพื่อนบ้านเดินผ่านมา แกจึงฝากบอกให้ที่บ้าน จัดอาหารมาส่งให้พ่อเพียงคนเดียว และบอกให้คนในบ้านมากันให้หมด ฝ่ายแม่ และทุกคนในบ้านเมื่อได้รับคำบอกเล่าเช่นนั้น ก็รู้ได้ทันทีว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับลูกชาย ทุกคนจึงนุ่งขาวห่มขาวมายังทุ่งนาโดยไม่มีใครร้องไห้แม้แต่คนเดียว และช่วยกันจัดหาฟืนมากองไว้ และยกศพขึ้นทำการเผาอย่างง่าย ๆ โดยไม่มีพิธีรีตองแต่อย่างใด ขณะไฟกำลังไหม้ศพอยู่นั้น ชาวบ้านเดินผ่านไปผ่านมารู้สึกแปลกใจว่าทั้งห้าคนนั้นเผาศพใครอยู่ จึงถามไปว่าเผาศพใคร และทำไมไม่มีใครร้องไห้เสียใจเลย ผู้เป็นพ่อเลยตอบไปว่า "เป็นลูกชายคนเดียวของผม" ผู้เป็นแม่ก็ตอบว่า "เป็นลูกชาย " คนต่อมาก็ตอบว่า "เป็นเมีย" คนต่อมา "เป็นน้องสาว" และคนสุดท้าย "เป็นคนรับใช้" ชาวบ้านเลยถามต่อว่า "ไม่เห็นมีใครร้องไห้ คร่ำครวญอาลัยเลย" ผู้เป็นพ่อตอบว่า "อันว่าลูกชายของผมจากไปและทิ้งร่างไว้เหมือนงูทิ้งคราบ การร้องไห้ คร่ำครวญถึงคราบงูไม่มีประโยชน์ฉันใด การเศร้าโศกถึงคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เิกิดประโยชน์อันใด" ผู้เป็นแม่ตอบว่า "ลูกชายของดิฉันนี้เมื่อเขาเกิดมาในท้องของดิฉัน เขาก็มาเอง ไม่มีใครเชื้อเชิญ เมื่อเขาจากไปเขาก็มิได้บอกลา ดิฉันจึงไม่อาลัยถึงเขา" ผู้เป็นภรรยาตอบว่า "ขึ้นชื่อว่าสามีที่ดีใคร ๆ ก็ย่อมรักและหวงแหนเป็นธรรมดา แต่เด็กแม้จะร้องไห้เอาพระจันทรฺ์บนท้องฟ้าไม่ได้ฉันใด ดิฉันจะร้องไห้ให้สามีฟื้นคืนมา ย่อมเป็นไปไม่ได้ฉันนั้น" น้องสาวตอบว่า "ถ้าดิฉันร้องไห้จนผ่ายผอม น้ำตาแทบเป็นสายเลือด พี่ชายของดิฉันก็ไม่ฟื้นคืนมาแน่" และคนใช้ตอบบ้าง "หม้อดินใส่น้ำที่แตกแล้วย่อมเชื่อมให้สนิทดังเดิมไม่ได้ฉันใด ดิฉันจะโศกเศร้า ร่ำไห้ถึงนายที่ตายแล้วก็ไม่มีฟื้น"
    ขอบคุณเรื่องเล่าดี เช่นกันครับ อนุโมทนาสาธุครับ ...
    บุคคลผู้มีศีลเป็นพื้น ใจย่อมอยู่สบาย......
    อย่าเรียกร้องในสิ่งที่ไม่มี แต่จงภูมิใจในสิ่งที่มีอยู่...
    โกงเค้าชาตินี้ 1 ต้องใช้เค้าชาติหน้าเป็น พัน ทำทำไม?
    ศาสนาไม่ได้เสื่อม แต่คนเสื่อมจากศาสนา

    ธรรมนิยายธรรมะผู้สละโลก
    http://groups.google.com/group/DhammaSawasdee/web/%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81


  7. #7
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    0

    Smile เห็นด้วยค่ะ

    เห็นด้วยค่ะ เราจึงต้องอยู่กับวันนี้ ทำวันนี้ของเราให้ดีที่สุด ติ๊กก็มีเพื่อนคนนึง เป็นคนตลก เฮฮา แถมยังเป็นคนเก่ง ทำงานหลายอย่าง ได้เงินเดือนละ หลายแสน ทำงานจนไม่มีเวลาใช้เงิน ได้แต่เก็บส่งไปให้ที่บ้าน ตื่นเช้าทุกวัน กลับดึก เป็นอย่างนี้ทุกวันไม่มีวันหยุด เค้าก็บอกว่าเค้าเหนื่อย แต่ก็ต้องทำ เพราะโอกาสไม่ได้เข้ามาง่ายๆ อยากใช้เงินก็เสียดาย อยากเก็บไว้มากกว่า จนวันนึงเจ็บคอ ไปหาหมอเค้าบอกว่าเป็นต่อมทอมซิลอักเสบ
    และด้วยความที่ทำงานทุกวัน ไม่มีเวลารักษาตัว ประกอบกับงานที่ต้องใช้เสียงอยู่ตลอดเวลา จนผ่านไปไม่นาน กลับกลายเป็นว่ามันได้กลายเป็นมะเร็ง และได้ลามไปที่ต่อมน้ำเหลือง หมดทางรักษา
    ไม่นานหลังจากนั้นก็เสียชีวิตลง ทิ้งเงินประกันชีวิต กับทรัพย์สินต่างๆให้กับครอบครัว ทั้งๆที่ตอนมีชีวิตอยู่ก็ประหยัดอดออมเพื่อครอบครัวมาโดยตลอด
    (ลืมบอกไปว่าเพื่อนคนนี้เป็นมังสวิรัติตั้งแต่เริ่มรู้จักกันเมื่อแปดปีที่แล้ว)
    เรื่องของเพื่อนคนนี้ทำให้เราหันมามองตัวเอง ทำอะไรอย่างที่เราอยากทำ ถ้าไม่ได้ทำให้ตัวเรา หรือคนอื่นเดือดร้อน ติ๊กว่าก็โอเค และจงมีความสุขกับวันนี้แต่พอดีๆไม่มากไม่น้อยไป ส่วนวันพรุ่งนี้ก็เป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้
    ทุกวันนี้ก็ได้แต่คิดถึงเพื่อนคนนี้ค่ะ

    จบแล้ว มาร่วมแบ่งปันความรู้สึกดีๆค่ะ

  8. #8
    due's Avatar
    due is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    64
    เข้ามาร่วมอ่านความเห็นของทุกๆคน
    ทำให้รู้สึกปลงกับชีวิตมากๆขึ้น
    เพราะชีวิตเรา ยังไม่เคยต้องเสียคนที่เป็นที่รักก่อนเวลาอันควร
    ก็เลยยังไม่รู้ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น เราจะทำใจได้มากน้อยแค่ไหน
    แต่ทุกวันนี้ก็พยายามทำมรณานุสติอยู่เรื่อยค่ะ

    ขอบคุณน้องhut คุณwawe ที่นำบทความดีๆมาให้สติกันนะคะ
    สาธุค่ะ
    เรารักอะไรก็จะทุกข์เพราะสิ่งนั้น
    เพราะว่าสิ่งทั้งหลายล้วนแปรปรวนทั้งสิ้น
    ไม่มีอะไรคงที่อยู่ได้ตลอดเวลา

Posting Permissions

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •