ที่มา http://board.palungjit.com/showthread.php?p=1474132
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นโลกธรรม
ให้ถือว่าเป็นธรรมดาของโลกให้วางมันเสีย
กรรมของเราที่มีความโง่เกิดมาในโลกนี้
โลกที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อน ความร้อนมันก็ถูกเรา
แต่ว่าให้มันถูกแต่กาย อย่าให้มันเข้าไปถึงใจ
ความสุขความทุกข์ในโลกอย่าสนใจ
สนใจอย่างเดียวธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงสอนให้เรามีความสุข ร่างกายของเราจะอยู่ในโลกนี้
อีกไม่กี่วันมันก็พัง ฉะนั้นในเมื่อพระพุทธเจ้าท่านปรินิพพานไปแล้ว
ท่านบอกว่าท่านมีความสุข พระอรหันต์ทั้งหลายร่างกายของท่านพัง
ท่านบอกว่าท่านมีความสุขเราก็พยายามทำให้สุขเหมือนท่านบ้าง
ข้อสำคัญจงจำไว้ว่า จงอย่าคิดว่าเราดีไว้เสมอ
มองดูความบกพร่องของจิตว่าจิตเราบกพร่องตรงไหนบ้าง
พยายามแก้ไขให้สู่ระดับความดี
อย่างนี้เป็นความดีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงต้องการ
บรรดาลูกรักของพ่อทุกคนปฏิปทาใดที่องค์สมเด็จพระทศพลบรม
ศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามีความชนะในมารฉันใดขอบรรดาลูกรัก
ทั้งหลายจงชนะในมารฉันนั้นด้วยกำลังใจที่ทรงความดี
***อัตตนาโจทยัตตานัง
จงกล่าวโทษโจทความผิดของตัวไว้เสมออย่าไปยุ่งกับคนอื่น
คตินี้นักปฏิบัติทุกคนเขาจะประณามตัวเองเข้าไว้เสมอ
อารมณ์ยุ่งอยู่กับกามราคะนิดหนึ่ง
เขาจะประณามว่าเลวทันที ของอะไรก็ดีถ้าชมว่าสวย
ชมว่างามเมื่อรู้สึกขึ้นมาก็รู้สึกว่าใจของเรามันเลวเสียแล้วรึนี่
แค่นี้เขาตำหนิตัวเขาแล้วแล้ว ยิ่งไปเพ่งโทษของบุคคลอื่น
ไปแสดงอารมณ์อิจฉาริษยาบุคคลอื่น
ทำให้บุคคลอื่นได้รับความเร่าร้อน
นั่นแสดงว่ากิเลสมันไหลออกมาทางกายและทางวาจา
มันล้นออกมาจากใจ มันเลวเกินที่จะเกิดเป็นมนุษย์ใหม่
นี่เราต้องประณาม อย่างนี้ แล้วทางที่ไปจะไปไหนเป็นสัตว์เดรัจฉาน
ก็ยังเป็นไม่ได้ต้องไปขึ้นต้นมาจากนรก มันไม่เหมาะสำหรับเรานี่
เราต้องประณามตัวไว้เป็นปกติอย่าเที่ยวประณามคนอื่นเขา
***จงอย่าคิดว่าคนอื่นจะต้องมาลงโทษเรา
ก่อนที่คนอื่นจะลงโทษ กรรมที่เราทำความชั่ว
มันก็ทำความเร่าร้อนให้เกิดขึ้นแก่เรา
ใครเขาพูดความชั่วคราวใดเราก็สะดุ้งเพราะเรามันเลว
พระพุทธเจ้าตรัสว่าอัตตนา โจทยัตตานัง จงเตือนตนไว้เสมอ
และจงโจทตนกล่าวโทษตนไว้เป็นปกติ
หาความชั่วของตัวอย่าไปหาความชั่วของบุคคลอื่น
ถ้าเลวมากเมื่อไหร่เรา ก็เพ่งเล็งความเลวของบุคคลอื่นมากเท่านั้น
ถ้าเราดีมากเท่าไหร่ เราก็ไม่มองเห็นความเลวของบุคคลอื่น
เพราะยอมรับนับถือกฎของกรรม ที่เรายังไปหาความเลวของบุคคลอื่น
เสียดสีเขาบ้าง พูดกระทบกระเทียบเขาบ้าง
ทำลายความสุขใจเขาบ้าง นั่นแสดงว่าเรามันเลวที่สุดของความเลว
คือความเลวมันไม่ได้ขังอยู่ เฉพาะในใจมันไหลออกมาทางกาย
ไหลออกมาทางวาจา เพราะมันล้นเลวจนล้น
นี่ขอทุกท่านจงจำไว้ อย่าไปมองดูความเลวของคนอื่น
มองดูความเลวของตน ไม่ต้องไปปรับปรุงบุคคลอื่น
ปรับปรุงเราเองให้มันดีที่สุด
***เราถ้ายังรู้สึกว่าคนอื่นเขาชั่ว ก็แสดงว่าเราชั่วมาก
ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าถ้าเราดีแล้วไม่มีใครชั่ว
เพราะว่าเรายอมรับนับถือกฎของกรรม
อะไรจะมีชั่วเรายังนินทาว่าร้ายบุคคลอื่น
นั่นเรายังชั่วอยู่ อาการอย่างนี้จงลืมเสียให้หมด
***สำหรับคนที่เขามาสร้างความชั่วให้สะเทือนใจเรา
นั่นเขาเป็นทาสของกิเลส ตัณหาอุปาทานและอกุศลกรรม
ไม่มีทางที่จะคืนตัวได้ เราจงคิดว่าคนประเภทนี้เขาไม่ใช่คน
เขาคือสัตว์นรกในอบายภูมินั่นเอง เราคิดว่าถ้าเราจะไปต่อล้อต่อเถียง
จะกระทำตอบเราก็จะเลวตามเขา
เวลานี้จิตใจของเขาจมลงไปในนรก
ถ้าเราทำตามแบบเขาบ้างเราก็จะจมนรกเหมือนกัน
มันไม่มีประโยชน์ จิตเราก็ระงับความโกรธด้วยอำนาจขันติ
หรืออุเบกขา เฉย เขาเลวก็ปล่อยให้เขาเลวไปแต่ผู้เดียว
เราไม่ยอมเลวด้วย
***อีกอันหนึ่ง ต้องทำใจของเราให้หยุดอยู่ในจุดสงบ
หมายความว่าเราเพ่งเล็งจิตของเราแต่ผู้เดียว
ตามพระบาลีว่า อัตตนาโจทยัตตานัง จงเตือนตนด้วยตนเองไว้เสมอ
ว่า คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ว่าอย่างไร
ให้เราปฏิบัติ ห้ามไว้แบบไหนไม่ให้เราทำ อันนี้ต้องปฏิบัติให้เคร่งครัด
ไม่ใช่จะไปนึกเอาตามอารมณ์ที่ชาวบ้านเขาทำกัน
ชาวบ้านไม่ใช่พระพุทธเจ้า ถ้าคนนั้นเขาดีจริงเขาต้องเป็นพระพุทธเจ้า
ที่เขาสร้างแบบแผนขึ้นมาหักล้างคำสอนของพระพุทธเจ้า
นี่เราเป็นพุทธสาวกปฏิบัติตามไม่ได้
ถ้าขืนปฏิบัติตามเราก็ไม่มีมรรคผลใด ๆ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน
เพราะคัดค้านคำสอนของพระพุทธองค์เสียแล้ว
***ก่อนที่จะทำก่อนจะพูดน่ะใคร่ครวญเสียก่อน
อย่าไปคิดเห็นบุคคลอื่นว่าเขาเลว เราเห็นคนอื่นเลว
นี่ก็กลายเป็นการสร้างความเลวให้เกิดขึ้นแก่ใจของเรา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้กล่าวโทษโจทความผิดตัวเอง
ว่ามันเลวไว้เสมอ หาจุดความเลวของกาย หาจุดความเลวของวาจา
หาจุดความเลวของใจ อย่าไปหาจุดของความดี
ถ้าพบจุดความเลวจุดไหน ทำลายความเลวจุดนั้นให้หมดไป
แล้วความดีมันก็ปรากฏเอง
***อย่าทำอารมณ์ให้วุ่นวาย อย่าใจน้อย อย่าคิดมาก
จงคิดไว้เสมอว่า เราต้องตาย อย่าห่วงคนอื่นมากเกินกว่ากฎของกรรม
จงนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก
อย่าทะเยอทะยานเรื่องยศศักดิ์ ถึงเวลามันได้ ถึงเวลามันมี
ทำใจสบายจะมีความสุข เรื่องลูก ก็ขอให้ตั้งอารมณ์ไว้ในฐานะพ่อแม่ที่ดี
แต่อย่าดิ้นรนเกินพอดี จะเป็นทางตัดนิพพานให้ไกลออกไป
***เรื่องลูก จงรักเมื่อเรามีลมปราณ ทำหน้าที่ของพ่อแม่ให้สมบูรณ์
และคิดไว้เสมอว่า เราต้องตาย เขาต้องตาย มีอะไรที่เราจะเป็นทุกข์
เพื่อเขา เมื่อเราหรือเขาตาย หัดวางหัดคิดหัดยับยั้งใจ
ค่อยคิดค่อยทำค่อย ๆ อบรมตัวเอง อย่าหวังวาจาของคนอื่น
อบรม ทำอย่างนั้นเอาตัวไม่รอด ต้องคอยจับผิดตัวเอง
คอยลงโทษตัวเอง คอยเป็นโจทก์ฟ้องตัวเอง
เอาธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นตุลาการ
จงถือธรรมเป็นสำคัญ อย่าถือคน
ถ้ายังติดคนก็จะไม่ถึงธรรมถ้าถึงธรรมก็พ้น
จากการติดคน ถ้าติดคน ติดยศของคน ติดฐานะของคน
ติดศักดิ์ศรีของคน ไม่มีอะไรดี เราก็ไม่เข้าถึงธรรม
ทุกอย่างที่ทำไปควรปรารภธรรม อย่าเห็นแก่คน
เรื่องการต้อนรับก็มุ่งเอาธรรมเป็นสำคัญ
ทำไปด้วย ใคร่ครวญพิจารณาไปด้วย
จงเข้าใจว่าทุกอย่างที่ทำไปเป็นเรื่องของชาวโลก
แต่ก็เป็นธรรมคือ การทรงตัวของชาวโลก
ถ้าเรายังเกิด เราก็ต้องทุกข์อย่างนี้
อะไรทำให้ทุกข์ เพราะความอยากทำให้ทุกข์
ถ้าเราไม่อยาก เราก็ไม่ทุกข์
ที่เราทุกข์ก็เพราะชาติก่อนเราไม่หมดอยาก
และชาตินี้เราก็ยังอยากเมื่อไรความอยากสิ้นไปเมื่อนั้นก็ถึงนิพพาน
ที่มา: โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม๑