Previous
Next
Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
Page 1 of 2 1 2 LastLast
Results 1 to 10 of 15

Thread: ขอเปลี่ยนบรรยากาศ...เรื่องตื่นเต็นสักหน่อย..

Hybrid View

  1. #1
    pepsi5510's Avatar
    pepsi5510 is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    308
    Quote Originally Posted by due View Post
    555 ขำก็ขำ เห็นใจก็เห็นใจค่ะ
    ท่านได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ผีหรือวิญญาณมีจริงงงงง!
    พวกเราก็เร่งปฏิบัติกันเข้านะคะ จะได้ไปสุคติ หรือหลุดพ้นไปเลย
    สาธุค่ะ ที่มาเล่าเรื่องดีๆให้ทราบกันนะคะ
    หนุกมากเลย

    ขอคําปรึกษาคุณ due หน่อยนะครับ...
    ทุกวันนี้ผมปฎิบัติ เภาวนากรรมฐาน ทุกวันวันละ 1-2 ชั่วโมงก่อนนอน แต่ทําไมมีแต่ความว่างเปล่าครับ...แบบว่าว่าง เวิ้งว้าง เงียบสงบ

    แต่ทําไมเห็นบางคนบอกว่า เห็นนิมิต เห็นพระ เห็นอะไรอีกมากมาย...ทําไมผมไม่เป็นแบบนั้น...

    หรือว่าหลักการเภาวนากรรมฐานของผมไม่ถูกกับกองที่ผมเภาวนา...ผมเภาวนา พุทธ โธ ....

    ขอคําชี้แนะด้วยครับ...
    กาลเวลาเป็นเครื่องชี้ตัวตนแห่งคน.
    ยินดีต้อนรับเพื่อนๆเข้ากลุ่ม Buddha Pra เพื่อเรียนรู้และถามปัญหาต่างๆเกี่ยวกับพระเครื่องที่คุณมี ด้วยความเต็มใจและจริงใจ การแบ่งปันความรู้ เป็นกุศลอันใหญ่หลวง.

    http://siambrandname.com/forum/forumdisplay.php?f=72

  2. #2
    asiaticia's Avatar
    asiaticia is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    38

    Lightbulb

    ว่าแต่บวชเรียนมาแล้วหายกลัวผีหรือยังคะ^^

    โบราณเขาว่ายาจกว่าผี ผู้ดีว่าศพ อย่าไปยึดติดเลยค่า คนเราตายแล้วจิตก็จุติในภพต่อไปตามแต่กระแสกรรมที่ทำมาจะส่งไปไหน

    เราว่าเรื่องเห็นนิมงนิมิตนี่เป็นสัญญานะ พอจิตมีสมาธิก็เกิดพลัง กระแสสัญญาหรือกระแสความจำก็นำไปสู่ในที่ต่างๆ เห็นสิ่งต่างๆ เราว่าจิตสุดท้ายที่เราปรารถนาคือความว่าง ไม่เกิด ไม่ดับอีกนั่นก็คือนิพพานนั่นแหละ แต่ยากมากเราจิตงี้หยาบกระด้าง อะไรมากระทบก็ไปเลย รู้แต่ตำราปฏิบัติไม่คืบ...-_-"

    ปล.เห็นพระอาจารย์ทั้งหลายแนะนำให้นั่งวิปัสนากรรมฐานจะดีกว่ากระมังคะ เป็นการสำรวจและให้รู้ให้เห็นจิตตัวเอง โอกาสออกทะเลไปแนวพวกอวดอุตริจะได้น้อยลง เรารู้แค่นี้แหละ
    "อย่าแตะต้องอดีตมาริยงของพ่อ ให้สายน้ำดำเนินต่อไป

    มาริยงจะสมรักแต่แผ่นดินจะสูญสิ้น มาริยงจะสูญเสียแต่แผ่นดินจะสมดุล

    ไปกับอนาคตได้แต่ต้องไม่ลืมอดีต... อดีตต้องเป็นมิตรกับปัจจุบัน... ปัจจุบันต้องเป็นฉันท์มิตรกับอนาคต

    หากเรารู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร จะไปอย่างไร จะจบอย่างไร แล้วชีวิตเราจะมีความหมายอะไร"
    _____________________________________________________________________
    บทภาพยนตร์ทวิภพ ฉบับสุรพงษ์ พินิจค้า พ.ศ.๒๕๔๗

  3. #3
    pepsi5510's Avatar
    pepsi5510 is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    308
    asiaticia
    Trusted Member
    Master Brandname
    asiaticia's Bank Account
    asiaticia's Bank Account








    ขอบคุณมากๆครับ

    ที่แวะมาให้คําแนะนําดีๆ

    กาลเวลาเป็นเครื่องชี้ตัวตนแห่งคน.
    ยินดีต้อนรับเพื่อนๆเข้ากลุ่ม Buddha Pra เพื่อเรียนรู้และถามปัญหาต่างๆเกี่ยวกับพระเครื่องที่คุณมี ด้วยความเต็มใจและจริงใจ การแบ่งปันความรู้ เป็นกุศลอันใหญ่หลวง.

    http://siambrandname.com/forum/forumdisplay.php?f=72

  4. #4
    anjay21's Avatar
    anjay21 is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    389
    การวิปัสนากรรมฐานนั้นมีนัยอยู่นะคะ
    การกำหนดจิตด้วยการกำหนดลมหายใจโดยจดจ่อกับลมที่เข้าออกตรงปลายรูจมูก หรือการเคลือนไหวเข้าออกของช่องท้องตรงบริเวณสะดือ
    เป็นการฝึกให้เรามีสติอยู่กับปัจจุบันตลอดเวลาค่ะ และการมีสติจะทำให้เรารู้ทันกรรมของเรา
    กรรมในที่นี้ก็คือการกระทำ มโนกรรม กายกรรม และวจีกรรม
    และเมื่อเรารู้ทันกรรมแล้วเราก็จะสามารถระงับกรรมได้ค่ะ งงมั้ยคะ..

    ตัวอย่างเช่น
    ขับรถอยู่ดีๆมีคนขับปาดหน้า คนธรรมดาคงด่าป้ามันในใจ อาจจะบีบแตรใส่ หรือขับปาดหน้ามันอีกสักทีใช่ไหมคะ ทำกรรมสำเร็จครบ 3กรรมเลย
    แต่คนที่ฝึกกรรมฐานมาดีๆ เวลามีคนปาดหน้า เค้าก็จะรู้ทันเห็นการณ์และคิด(ภาวนา)เพียงว่า ปาดหน้าหนอ โกรธหนอ คือเป็นการกำหนดจิตให้ตรงกับภาวะปัจจุบัน(บอกให้ตัวเองรู้เท่านั้นว่าเกิดอะไรขึ้น)และไม่ทำให้จิตไหวไปตามเหตุการณ์ เพราะฉะนั้นคิดง่ายๆ ถ้าคุณภาวนะ ปาดหน้าหนอ โกรธหนอ คุณก็แค่บอกตัวเองให้รู้ถึงความเป็นจริงว่าเกิดเหตุการณ์ขึ้นและเกิดอารมณ์โกรธในใจคุณ ในขณะที่คุณภาวนะนั้นเองจิตคุณจดจ่อก็อยู่กับปัจจุบัน ไม่เหลือจิตให้หวั่นไหวให้อารมณ์โกรธเข้ามาครอบงำและทำกรรมได้นั่นเป็นการระงับกรรมค่ะ

    ส่วนเรื่องนิมิตนั้นมีหลายขั้นค่ะ ถ้าวิปัสนาไปเรื่อยๆนิมิตก็จะเปลี่ยนไปตามขั้นกรรมฐานที่สูงขึ้น เช่น รูสึกคันตามเนื้อตัว รู้สึกร้อนหนาว เห็นแสง เห็นสีต่างๆ เห็นภาพเงา จนไปถึงขั้นสูงๆที่สามารถเห็นเหตุการณ์ เห็นอดีต อนาคต

    ไม่รู้เขียนมากไปหรือเปล่านะคะ ตอบเท่าที่รู้ค่ะ^^ ลองไปฝึกวิปัสนาที่ถูกต้องดูนะคะ ดีมากๆจริงๆ^^ ที่ลำปางก็มีค่ะ ที่วัดทุ่งบ่อแป้นจ้ะ(เห็นว่าเคยบวชที่ลำปาง..เป็นคนลำปางหรือเปล่าคะ)

  5. #5
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    131
    เคยลองฝึกนั่งสมาธิ...วันละ 5 นาที กำหนดจิต ธรรมดา
    เข้า - ออก พุทธโท..แค่นี้ก็รู้สึกดี....
    แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำมาเป็นปีแล้ว...จากที่เคยสวดทุกวันติดต่อกันมา 2-3 ปี
    เนื่องจาก ไม่มีสมาธิ เพราะไม่ได้นอนคนเดียวแล้ว..
    ....................................................................
    แต่อยากจะบอกว่า..เวลาสวดมนต์ ชุดใหญ่และต่อด้วยคาถาชินบัญชร...
    รู้สึกว่าไม่ได้อยู่คนเดียวในห้อง....เหมือนมีใครมาอยู่ด้วยเยอะมาก
    แต่พอหันหลังไปดูก็ไม่เห็นมีใคร...มีแต่เราคนเดียว..(แอบกลัว)...
    เพราะเวลาสวด..จะพูดเสียงดัง...ไม่สวดในใจ...แผ่เมตตาก็เสียงดัง..
    ...........เพื่อนๆๆรู้สึกแบบนี้บ้างไหมคะ.....................
    " ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า คิดให้ดีก็จะรู้ว่า.....คุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว "

  6. #6
    pepsi5510's Avatar
    pepsi5510 is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    308
    Quote Originally Posted by anjay21 View Post
    การวิปัสนากรรมฐานนั้นมีนัยอยู่นะคะ
    การกำหนดจิตด้วยการกำหนดลมหายใจโดยจดจ่อกับลมที่เข้าออกตรงปลายรูจมูก หรือการเคลือนไหวเข้าออกของช่องท้องตรงบริเวณสะดือ
    เป็นการฝึกให้เรามีสติอยู่กับปัจจุบันตลอดเวลาค่ะ และการมีสติจะทำให้เรารู้ทันกรรมของเรา
    กรรมในที่นี้ก็คือการกระทำ มโนกรรม กายกรรม และวจีกรรม
    และเมื่อเรารู้ทันกรรมแล้วเราก็จะสามารถระงับกรรมได้ค่ะ งงมั้ยคะ..

    ตัวอย่างเช่น
    ขับรถอยู่ดีๆมีคนขับปาดหน้า คนธรรมดาคงด่าป้ามันในใจ อาจจะบีบแตรใส่ หรือขับปาดหน้ามันอีกสักทีใช่ไหมคะ ทำกรรมสำเร็จครบ 3กรรมเลย
    แต่คนที่ฝึกกรรมฐานมาดีๆ เวลามีคนปาดหน้า เค้าก็จะรู้ทันเห็นการณ์และคิด(ภาวนา)เพียงว่า ปาดหน้าหนอ โกรธหนอ คือเป็นการกำหนดจิตให้ตรงกับภาวะปัจจุบัน(บอกให้ตัวเองรู้เท่านั้นว่าเกิดอะไรขึ้น)และไม่ทำให้จิตไหวไปตามเหตุการณ์ เพราะฉะนั้นคิดง่ายๆ ถ้าคุณภาวนะ ปาดหน้าหนอ โกรธหนอ คุณก็แค่บอกตัวเองให้รู้ถึงความเป็นจริงว่าเกิดเหตุการณ์ขึ้นและเกิดอารมณ์โกรธในใจคุณ ในขณะที่คุณภาวนะนั้นเองจิตคุณจดจ่อก็อยู่กับปัจจุบัน ไม่เหลือจิตให้หวั่นไหวให้อารมณ์โกรธเข้ามาครอบงำและทำกรรมได้นั่นเป็นการระงับกรรมค่ะ

    ส่วนเรื่องนิมิตนั้นมีหลายขั้นค่ะ ถ้าวิปัสนาไปเรื่อยๆนิมิตก็จะเปลี่ยนไปตามขั้นกรรมฐานที่สูงขึ้น เช่น รูสึกคันตามเนื้อตัว รู้สึกร้อนหนาว เห็นแสง เห็นสีต่างๆ เห็นภาพเงา จนไปถึงขั้นสูงๆที่สามารถเห็นเหตุการณ์ เห็นอดีต อนาคต

    ไม่รู้เขียนมากไปหรือเปล่านะคะ ตอบเท่าที่รู้ค่ะ^^ ลองไปฝึกวิปัสนาที่ถูกต้องดูนะคะ ดีมากๆจริงๆ^^ ที่ลำปางก็มีค่ะ ที่วัดทุ่งบ่อแป้นจ้ะ(เห็นว่าเคยบวชที่ลำปาง..เป็นคนลำปางหรือเปล่าคะ)

    ผมเป็นคนกรุงเทพๆครับ...แต่ตอนบวชเณร ผมขอไปบวชที่ไกลๆ สงบๆ ก็เลยได้บวชที่วัดสวนดอกครับ...

    และขอขอบคุณที่พี่ให้คําแนะนําและความรู้เพิ่มครับ...
    พี่เขียนได้ขนาดนี้ สงสัย พี่ก็นั่งวิปัสนากรรมฐาน ด้วยใช่หรือเปล่าครับ....และยังมีอีกหลายๆอย่างที่แปลกๆ แต่ไม่กล้าเล่า กลัวเพื่อนๆจะหาว่าผม บ้า หรืออาจจะเพ้อเจ้อ...


    กาลเวลาเป็นเครื่องชี้ตัวตนแห่งคน.
    ยินดีต้อนรับเพื่อนๆเข้ากลุ่ม Buddha Pra เพื่อเรียนรู้และถามปัญหาต่างๆเกี่ยวกับพระเครื่องที่คุณมี ด้วยความเต็มใจและจริงใจ การแบ่งปันความรู้ เป็นกุศลอันใหญ่หลวง.

    http://siambrandname.com/forum/forumdisplay.php?f=72

  7. #7
    due's Avatar
    due is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    64
    Quote Originally Posted by anjay21 View Post
    การวิปัสนากรรมฐานนั้นมีนัยอยู่นะคะ
    การกำหนดจิตด้วยการกำหนดลมหายใจโดยจดจ่อกับลมที่เข้าออกตรงปลายรูจมูก หรือการเคลือนไหวเข้าออกของช่องท้องตรงบริเวณสะดือ
    เป็นการฝึกให้เรามีสติอยู่กับปัจจุบันตลอดเวลาค่ะ และการมีสติจะทำให้เรารู้ทันกรรมของเรา
    กรรมในที่นี้ก็คือการกระทำ มโนกรรม กายกรรม และวจีกรรม
    และเมื่อเรารู้ทันกรรมแล้วเราก็จะสามารถระงับกรรมได้ค่ะ งงมั้ยคะ..

    ตัวอย่างเช่น
    ขับรถอยู่ดีๆมีคนขับปาดหน้า คนธรรมดาคงด่าป้ามันในใจ อาจจะบีบแตรใส่ หรือขับปาดหน้ามันอีกสักทีใช่ไหมคะ ทำกรรมสำเร็จครบ 3กรรมเลย
    แต่คนที่ฝึกกรรมฐานมาดีๆ เวลามีคนปาดหน้า เค้าก็จะรู้ทันเห็นการณ์และคิด(ภาวนา)เพียงว่า ปาดหน้าหนอ โกรธหนอ คือเป็นการกำหนดจิตให้ตรงกับภาวะปัจจุบัน(บอกให้ตัวเองรู้เท่านั้นว่าเกิดอะไรขึ้น)และไม่ทำให้จิตไหวไปตามเหตุการณ์ เพราะฉะนั้นคิดง่ายๆ ถ้าคุณภาวนะ ปาดหน้าหนอ โกรธหนอ คุณก็แค่บอกตัวเองให้รู้ถึงความเป็นจริงว่าเกิดเหตุการณ์ขึ้นและเกิดอารมณ์โกรธในใจคุณ ในขณะที่คุณภาวนะนั้นเองจิตคุณจดจ่อก็อยู่กับปัจจุบัน ไม่เหลือจิตให้หวั่นไหวให้อารมณ์โกรธเข้ามาครอบงำและทำกรรมได้นั่นเป็นการระงับกรรมค่ะ

    ส่วนเรื่องนิมิตนั้นมีหลายขั้นค่ะ ถ้าวิปัสนาไปเรื่อยๆนิมิตก็จะเปลี่ยนไปตามขั้นกรรมฐานที่สูงขึ้น เช่น รูสึกคันตามเนื้อตัว รู้สึกร้อนหนาว เห็นแสง เห็นสีต่างๆ เห็นภาพเงา จนไปถึงขั้นสูงๆที่สามารถเห็นเหตุการณ์ เห็นอดีต อนาคต

    ไม่รู้เขียนมากไปหรือเปล่านะคะ ตอบเท่าที่รู้ค่ะ^^ ลองไปฝึกวิปัสนาที่ถูกต้องดูนะคะ ดีมากๆจริงๆ^^ ที่ลำปางก็มีค่ะ ที่วัดทุ่งบ่อแป้นจ้ะ(เห็นว่าเคยบวชที่ลำปาง..เป็นคนลำปางหรือเปล่าคะ)
    อนุโมทนาสาธุด้วยค่ะคุณanjay21
    (มาแย่งคุณpepsi5510รับบุญก่อน555)
    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปนะคะ
    ถ้าได้"เห็นหนอ" เมื่อไหร่บอกดิวด้วยน๊า
    จะให้มาดูให้เราบ้างว่าชาติที่แล้วเกิดเป็นอะไร
    เพราะสำหรับตัวเองไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ซักที
    เรารักอะไรก็จะทุกข์เพราะสิ่งนั้น
    เพราะว่าสิ่งทั้งหลายล้วนแปรปรวนทั้งสิ้น
    ไม่มีอะไรคงที่อยู่ได้ตลอดเวลา

  8. #8
    Jannilicious's Avatar
    Jannilicious is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    808
    Quote Originally Posted by anjay21 View Post
    การวิปัสนากรรมฐานนั้นมีนัยอยู่นะคะ
    การกำหนดจิตด้วยการกำหนดลมหายใจโดยจดจ่อกับลมที่เข้าออกตรงปลายรูจมูก หรือการเคลือนไหวเข้าออกของช่องท้องตรงบริเวณสะดือ
    เป็นการฝึกให้เรามีสติอยู่กับปัจจุบันตลอดเวลาค่ะ และการมีสติจะทำให้เรารู้ทันกรรมของเรา
    กรรมในที่นี้ก็คือการกระทำ มโนกรรม กายกรรม และวจีกรรม
    และเมื่อเรารู้ทันกรรมแล้วเราก็จะสามารถระงับกรรมได้ค่ะ งงมั้ยคะ..

    ตัวอย่างเช่น
    ขับรถอยู่ดีๆมีคนขับปาดหน้า คนธรรมดาคงด่าป้ามันในใจ อาจจะบีบแตรใส่ หรือขับปาดหน้ามันอีกสักทีใช่ไหมคะ ทำกรรมสำเร็จครบ 3กรรมเลย
    แต่คนที่ฝึกกรรมฐานมาดีๆ เวลามีคนปาดหน้า เค้าก็จะรู้ทันเห็นการณ์และคิด(ภาวนา)เพียงว่า ปาดหน้าหนอ โกรธหนอ คือเป็นการกำหนดจิตให้ตรงกับภาวะปัจจุบัน(บอกให้ตัวเองรู้เท่านั้นว่าเกิดอะไรขึ้น)และไม่ทำให้จิตไหวไปตามเหตุการณ์ เพราะฉะนั้นคิดง่ายๆ ถ้าคุณภาวนะ ปาดหน้าหนอ โกรธหนอ คุณก็แค่บอกตัวเองให้รู้ถึงความเป็นจริงว่าเกิดเหตุการณ์ขึ้นและเกิดอารมณ์โกรธในใจคุณ ในขณะที่คุณภาวนะนั้นเองจิตคุณจดจ่อก็อยู่กับปัจจุบัน ไม่เหลือจิตให้หวั่นไหวให้อารมณ์โกรธเข้ามาครอบงำและทำกรรมได้นั่นเป็นการระงับกรรมค่ะ

    ส่วนเรื่องนิมิตนั้นมีหลายขั้นค่ะ ถ้าวิปัสนาไปเรื่อยๆนิมิตก็จะเปลี่ยนไปตามขั้นกรรมฐานที่สูงขึ้น เช่น รูสึกคันตามเนื้อตัว รู้สึกร้อนหนาว เห็นแสง เห็นสีต่างๆ เห็นภาพเงา จนไปถึงขั้นสูงๆที่สามารถเห็นเหตุการณ์ เห็นอดีต อนาคต

    ไม่รู้เขียนมากไปหรือเปล่านะคะ ตอบเท่าที่รู้ค่ะ^^ ลองไปฝึกวิปัสนาที่ถูกต้องดูนะคะ ดีมากๆจริงๆ^^ ที่ลำปางก็มีค่ะ ที่วัดทุ่งบ่อแป้นจ้ะ(เห็นว่าเคยบวชที่ลำปาง..เป็นคนลำปางหรือเปล่าคะ)

    อันนี้เห็นด้วยจังเลยค่ะ

    แจนเองก็ปฏิบัติิ วิปัสสนากรรมฐานแบบนี้เหมือนกัน กำหนดจิต ทำสมาธิ กำหนดลมหายใจ เข้าออก มีสติตลอดเวลา
    ปฏิบัติแรก ๆ กว่าจะผ่านขั้นทดสอบมาได้ ก็มีวอกแวกเหมือนกันค่ะ เหมือนมีมดร้อย ๆ ตัว มาไต่เป็นสาย ๆ ขึ้นลงอยู่ตามตัว แบบคันมาก ๆ อยากเกา คือไปนั่งสมาธิบนหญ้าในสวน ย่อมมีมด มีแมลงเป็นธรรมดา แต่เปล่าเลยค่ะ แรก ๆ หลุดสมาธิลืมตามาดู ไม่เห็นมีอะไรเลย คือเหมือนเป็นบททดสอบมากกว่า

    แล้วต่อมาก็รู้สึก วูบวาบ เป็นดวง ๆ แผ่กระจายตามร่างกาย
    อาจารย์บอกว่า มาถูกทางแล้ว ก็ฝึกไปเรื่อย ๆ ค่ะ แต่ยังต้องฝึกปฏิบัติอีกเยอะ

    นั่งสมาธิเสร็จรู้สึกสดชื่น มีพลังดีจังเลย สมองมันโล่ง โปร่ง ทำให้ เรามีสติ และใจเย็นขึ้น แต่วิถีชีวิตคนเราก็ไม่วายมีเรื่องให้ต้องทำ ต้องคิดอีกเยอะ บางครั้งมีหลุดบ้าง ก็พยายามทำให้ได้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ค่ะ

    แจนไปปฏิบัติที่วัดธรรมหรรษา จันทบุรี ค่ะ กับอาจารย์ ประทีป ไม่ทราบมีใครเคยไปมั้ยค่ะ
    พักนี้ไม่่ค่อยได้ไปเลย อยากหาโอกาสไปอีกจัง

    ขออนุโมทนากับ เจ้าของกระทู้ และทุกคนในที่นี้ด้วยค๊า

  9. #9
    aey-ka's Avatar
    aey-ka is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    82
    Quote Originally Posted by anjay21 View Post
    การวิปัสนากรรมฐานนั้นมีนัยอยู่นะคะ
    การกำหนดจิตด้วยการกำหนดลมหายใจโดยจดจ่อกับลมที่เข้าออกตรงปลายรูจมูก หรือการเคลือนไหวเข้าออกของช่องท้องตรงบริเวณสะดือ
    เป็นการฝึกให้เรามีสติอยู่กับปัจจุบันตลอดเวลาค่ะ และการมีสติจะทำให้เรารู้ทันกรรมของเรา
    กรรมในที่นี้ก็คือการกระทำ มโนกรรม กายกรรม และวจีกรรม
    และเมื่อเรารู้ทันกรรมแล้วเราก็จะสามารถระงับกรรมได้ค่ะ งงมั้ยคะ..

    ตัวอย่างเช่น
    ขับรถอยู่ดีๆมีคนขับปาดหน้า คนธรรมดาคงด่าป้ามันในใจ อาจจะบีบแตรใส่ หรือขับปาดหน้ามันอีกสักทีใช่ไหมคะ ทำกรรมสำเร็จครบ 3กรรมเลย
    แต่คนที่ฝึกกรรมฐานมาดีๆ เวลามีคนปาดหน้า เค้าก็จะรู้ทันเห็นการณ์และคิด(ภาวนา)เพียงว่า ปาดหน้าหนอ โกรธหนอ คือเป็นการกำหนดจิตให้ตรงกับภาวะปัจจุบัน(บอกให้ตัวเองรู้เท่านั้นว่าเกิดอะไรขึ้น)และไม่ทำให้จิตไหวไปตามเหตุการณ์ เพราะฉะนั้นคิดง่ายๆ ถ้าคุณภาวนะ ปาดหน้าหนอ โกรธหนอ คุณก็แค่บอกตัวเองให้รู้ถึงความเป็นจริงว่าเกิดเหตุการณ์ขึ้นและเกิดอารมณ์โกรธในใจคุณ ในขณะที่คุณภาวนะนั้นเองจิตคุณจดจ่อก็อยู่กับปัจจุบัน ไม่เหลือจิตให้หวั่นไหวให้อารมณ์โกรธเข้ามาครอบงำและทำกรรมได้นั่นเป็นการระงับกรรมค่ะ

    ส่วนเรื่องนิมิตนั้นมีหลายขั้นค่ะ ถ้าวิปัสนาไปเรื่อยๆนิมิตก็จะเปลี่ยนไปตามขั้นกรรมฐานที่สูงขึ้น เช่น รูสึกคันตามเนื้อตัว รู้สึกร้อนหนาว เห็นแสง เห็นสีต่างๆ เห็นภาพเงา จนไปถึงขั้นสูงๆที่สามารถเห็นเหตุการณ์ เห็นอดีต อนาคต

    ไม่รู้เขียนมากไปหรือเปล่านะคะ ตอบเท่าที่รู้ค่ะ^^ ลองไปฝึกวิปัสนาที่ถูกต้องดูนะคะ ดีมากๆจริงๆ^^ ที่ลำปางก็มีค่ะ ที่วัดทุ่งบ่อแป้นจ้ะ(เห็นว่าเคยบวชที่ลำปาง..เป็นคนลำปางหรือเปล่าคะ)

    เคยไปของคุณแม่สิริ คะ เพื่อนกับน้องลากไป เค้าสอนให้ ยุบหนอ พองหนอ รู้เท่าทันปัจจุบัน ถ้าเผลอก็ เผลอหนอ คิดหนอ อะไรประมาณนี้

    เเต่เรื่อญาณหรือนิมิต ไม่รู้คะ รู้แต่วันหลังๆตอนเดินจงกลมเสร็จก็นั่งสมาธิ ตอนนั่งไปได้สักพักคันมากๆ คันตามตัวนึกว่ายุงกัดแต่ก็ไม่ใช่ นั่งแทบไม่ได้เหมือนกับวันแรกๆที่ไม่รู้สึกว่ามีอะไร สัปะหงกอย่างเดียว แถมฝันอีกต่างหาก ^_^

  10. #10
    due's Avatar
    due is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    64

    Talking

    Quote Originally Posted by asiaticia View Post
    ว่าแต่บวชเรียนมาแล้วหายกลัวผีหรือยังคะ^^

    โบราณเขาว่ายาจกว่าผี ผู้ดีว่าศพ อย่าไปยึดติดเลยค่า คนเราตายแล้วจิตก็จุติในภพต่อไปตามแต่กระแสกรรมที่ทำมาจะส่งไปไหน

    เราว่าเรื่องเห็นนิมงนิมิตนี่เป็นสัญญานะ พอจิตมีสมาธิก็เกิดพลัง กระแสสัญญาหรือกระแสความจำก็นำไปสู่ในที่ต่างๆ เห็นสิ่งต่างๆ เราว่าจิตสุดท้ายที่เราปรารถนาคือความว่าง ไม่เกิด ไม่ดับอีกนั่นก็คือนิพพานนั่นแหละ แต่ยากมากเราจิตงี้หยาบกระด้าง อะไรมากระทบก็ไปเลย รู้แต่ตำราปฏิบัติไม่คืบ...-_-"

    ปล.เห็นพระอาจารย์ทั้งหลายแนะนำให้นั่งวิปัสนากรรมฐานจะดีกว่ากระมังคะ เป็นการสำรวจและให้รู้ให้เห็นจิตตัวเอง โอกาสออกทะเลไปแนวพวกอวดอุตริจะได้น้อยลง เรารู้แค่นี้แหละ

    โห! น้องเจต นับถือ นับถือ
    พี่ดิวภูมิใจในตัวน้องเจตมากค่ะ อายุแค่นี้(แค่ไหนหว่ารู้แต่ว่าน้อยกว่าพี่แหละ)
    รู้ธรรมะได้มากมายขนาดนี้ พี่ดิวขอแสดงความนับถือค่ะ
    อ้อ! แต่ขออีกอย่างคือ ระวังมิจฉานะ อันนี้ตัวพี่ก็กลัวมากๆเหมือนกัน
    พอรู้อะไรแล้วไปยึดมัน ว่ามันต้องเป็นแบบนั้น อย่างน้ัน ทีนี้ก็ติดอยู่ตรงนั้น
    จะรับอะไรใหม่ๆ หรือที่แตกต่างก็จะยาก
    สาธุค่
    เรารักอะไรก็จะทุกข์เพราะสิ่งนั้น
    เพราะว่าสิ่งทั้งหลายล้วนแปรปรวนทั้งสิ้น
    ไม่มีอะไรคงที่อยู่ได้ตลอดเวลา

Page 1 of 2 1 2 LastLast

Posting Permissions

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •