Previous
Next
Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
Page 1 of 2 1 2 LastLast
Results 1 to 10 of 15

Thread: ขอเปลี่ยนบรรยากาศ...เรื่องตื่นเต็นสักหน่อย..

  1. #1
    pepsi5510's Avatar
    pepsi5510 is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    308

    Talking ขอเปลี่ยนบรรยากาศ...เรื่องตื่นเต็นสักหน่อย..



    เรื่องจริงย้อนอดีต....

    เรื่องมีอยู่ว่า สมัยที่ผมยังบวชเรียนอยู่ ณ.ที่วัดสวนดอก จังหวัดลําปาง ในสมัยนั้นยังไม่เจริญเหมือนสมัยนี้ ซึ่งในสมัยนั้น ส่วนมาก
    จะเป็น แนวป่า เขา ผิดกับทุกวันนี้ เจริญมากๆ..มาเริ่มต่อกันดีกว่า .... ตอนอยู่ที่วัดก็รู้สึก เงียบเหงา วังเวง เหมาะแก่การ
    ปฎิบัติธรรม มากๆๆ เสียงนกร้อง เสียงลม ช่างสดชื่นเสียนี่กระไร...จริงหรือเปล่าครับท่านผู้อ่าน...แต่ แต่ พอตกกลางคืน..โอ้วว
    อย่าบอกใครเชียว ทั้งมืด ทั้งวังเวง แทบไม่มีผู้คนออกมาเดิน เพราะอะไร รู้หรือเปล่า .... ก็เพราะว่า วัดสวนดอก ชื่อเสียงโด่งดัง
    มากในเรื่อง ผีดุ.....ถ้าไม่เชื่อรองถามคนที่อยู่ลําปางดู ว่าผีดุ หรือเปล่า....มันก็เป็นของธรรมดาของวัดที่อยู่ถิ่นไม่ค่อยเจริญ ในสมัย
    นั้น...พอตกกลางคืน ก็ กุฎิ ใคร กุฎิมัน ไม่มีการออกมานั่งคุยกัน เพราะ อิอิ ไฟฟ้าไม่มี มีแต่ตะเกียงเจ้าพายุ ฮ่าๆๆๆ....เลย อยู่ในห้อง
    อย่างเดียว. เหตุการณ์ก็ดูๆก็ปรกติดี แต่พอมีงาน อย่างดีคนก็มาทําบุญ มาเที่ยว และมาถวายผ้า สงบ จีวร ของแห้ง และก็ฟัง
    ธรรม พอตกเย็นก็ บ้านใครบ้านมัน ปล่อยทั้งหมดให้เป็นหน้าที่ของพระ และเณร .ไอ้ผมมันก็ไม่รู้ ว่าทางวัดจะมีการให้ ศพคนที่ตาย
    ถวายผ้า สงบ จีวร ให้พระ...เพื่อที่จะให้เค้าได้มีโอกาสได้ทําบุญบ้าง ฮ่าๆๆๆๆถึงตอนนี้ ผมคนแรกที่หนุ่มหน่อย เป็นหัวเรี่ยวหัวแรง
    ในการจัด โดยมีพระผู้ใหญ่คอยบอกอีกที.....คือการทําไม้กระดก คําว่าไม้กระดก ก็คือ เมื่อพระเข้าไปถึงหน้าศพ ก็ต้องเหยียบคัน
    ไม้กระดก ให้ศพที่มือทั้งสอง ถือผ้าไตร ยกตัวขึ้นมา เหมือนกับคนทั่วๆไปที่ถวายของพระ...คงเข้าใจ นะครับ...คือการทําให้ ศพ ลุก
    ขึ้นมาถวาย ผ้าไตร ให้พระ.....จะทําจํานวน 4 ศพ ที่ต้องถวาย. แต่ละศพ พระจะต้องเป็นคนรับผ้าไตร แค่องค์เดียว. คือพูดง่ายๆ
    คือเดินเข้าไปใน ที่เก็บศพ แค่องค์เดียว.

    ครั้นพอทําไม้กระดกเรียบร้อย ก็คือเสร็จหน้าที่ผม เพราะผมเป็นแค่เณร ...

    พอตกดึก หลวงพ่อมาตามผม ....เณรๆๆๆ มาช่วยหน่อย . ผมก็ถามหลวงพ่อ ว่ามีอะไรครับหลวงพ่อ ...ท่านก็บอกว่า วันนี้มีคนมา
    นิมนต์พระไปงานสวดศพ เลยไม่มีพระที่จะไปรับผ้าไตรของคนตาย...ผมก็เลยถามหลวงพ่อว่า...อ้าวววแล้วองค์อื่นๆ หละครับ..
    ท่านก็บอกไปจําพรรษา ข้างนอกวัด...ก็เลยเหลือ ผมกับหลวงพ่อ ลืมบอกไป พระที่อยู่ที่วัดนั้นมีแค่ 6 รูป แล้วก็เณร อีก 3 รูปรวมผม
    ด้วย....ไปงานสวดศพ 4 รูป ไปจําพรรษาที่อื่นอีก 1 รูป ก็เหลือแต่หลวงพ่อ ซึ่งทั้งแก่ เดินแทบจะไม่ค่อยไหว แล้วงานนี้จะทํา
    อย่างไร....

    หลวงพ่อท่านก็บอก...เณรก็ไปรับแทนก็หละกัน...พอพูดจบ ผมนี้เย็นสันหลังวาปๆๆๆ....ลงไปถึงตาตุ่ม. ***ทําไมถึงต้องเป็นผม**
    คิดในใจ......พอได้เวลาที่จะต้องไปรับผ้าไตรจากศพ....ผมก็เดินๆๆๆๆ ทั้งเงียบ วังเวง น่ากลัวพิลึก .ไปที่โกดังเก็บศพ...
    เห็ยศพนอนเป็นแถว เรียงกัน แต่ละศพก็ถือผ้าไตรอยู่ในมือ...พอเดินเข้าไป ก็ไปเหยียบคันไม้กระดก เพื่อให้ศพลุกขึ้นมาถวายผ้าไตร..
    ขาผมสั่นไปหมด แทบจะเดินไม่ไหว ศพที่2 ศพที่3 พอศพที่4 ผมก็เหยียบเหมือนทุกศพที่ทํามา แต่ แต่ เจ้าศพที่ 4 พอเหยียบ
    ขึ้นมาแค่ครึ่งเดียว ก็ลงไปนอนแบบเดิม...ผมทําอยู่ 3-4 เที่ยว ก็ไม่ขึ้น ไอ้ผมก็ดูแล้ว มันไม่ได้ติดอะไร ทําไมมันไม่ขึ้น...
    ในใจแค้นก็แค้น กลัวก็กลัว สงสัยผีมันอยากจะหลอกผมมั้ง....คิดในใจ. ผมก็เลยพูดออกไปเสียงดังๆๆ คือพูดง่าย เอาเสียงเป็น
    เพื่อนไว้ก่อน.....ว่า ถ้าโยมไม่ขึ้น อาตมาก็จะไม่รับผ้าไตรของโยม นะ.....แล้วก็เหยียบใหม่ เพราะการเหยียบ3-4เที่ยว ไม่ขึ้น ก็
    เลยออกแรงเหยียบเต็มที่สําหรับงวดนี้....ผับบบ...ศพนี้กระดกขึ้นมากอดเอวผมเลย...ลองนึกภาพนะครับ มือสองข้างมาอยู่ที่ระหว่าง
    เอวผม ส่วนผ้าไตร อยู่ที่หน้าอก....ว๊ากๆๆๆๆ....เท่านั้นหละ โกดังเก็บศพ แทบแตก คือผมแทบพุ่งออกมาเลย...ฮ่าๆๆๆๆ...ศพนี้
    เฮี้ยนจริงๆๆ...หลอกได้แม้กระทั่งเณร...

    นี่เป็นประสบการณ์จริงๆเลย ...... การรับผ้าไตรจากศพ. *****ทําไมต้องเป็นผม*******คนยิ่งกลัวๆ ผีอยู่ จบครับ.
    กาลเวลาเป็นเครื่องชี้ตัวตนแห่งคน.
    ยินดีต้อนรับเพื่อนๆเข้ากลุ่ม Buddha Pra เพื่อเรียนรู้และถามปัญหาต่างๆเกี่ยวกับพระเครื่องที่คุณมี ด้วยความเต็มใจและจริงใจ การแบ่งปันความรู้ เป็นกุศลอันใหญ่หลวง.

    http://siambrandname.com/forum/forumdisplay.php?f=72

  2. #2
    due's Avatar
    due is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    64
    555 ขำก็ขำ เห็นใจก็เห็นใจค่ะ
    ท่านได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ผีหรือวิญญาณมีจริงงงงง!
    พวกเราก็เร่งปฏิบัติกันเข้านะคะ จะได้ไปสุคติ หรือหลุดพ้นไปเลย
    สาธุค่ะ ที่มาเล่าเรื่องดีๆให้ทราบกันนะคะ
    หนุกมากเลย
    เรารักอะไรก็จะทุกข์เพราะสิ่งนั้น
    เพราะว่าสิ่งทั้งหลายล้วนแปรปรวนทั้งสิ้น
    ไม่มีอะไรคงที่อยู่ได้ตลอดเวลา

  3. #3
    pepsi5510's Avatar
    pepsi5510 is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    308
    Quote Originally Posted by due View Post
    555 ขำก็ขำ เห็นใจก็เห็นใจค่ะ
    ท่านได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ผีหรือวิญญาณมีจริงงงงง!
    พวกเราก็เร่งปฏิบัติกันเข้านะคะ จะได้ไปสุคติ หรือหลุดพ้นไปเลย
    สาธุค่ะ ที่มาเล่าเรื่องดีๆให้ทราบกันนะคะ
    หนุกมากเลย

    ขอคําปรึกษาคุณ due หน่อยนะครับ...
    ทุกวันนี้ผมปฎิบัติ เภาวนากรรมฐาน ทุกวันวันละ 1-2 ชั่วโมงก่อนนอน แต่ทําไมมีแต่ความว่างเปล่าครับ...แบบว่าว่าง เวิ้งว้าง เงียบสงบ

    แต่ทําไมเห็นบางคนบอกว่า เห็นนิมิต เห็นพระ เห็นอะไรอีกมากมาย...ทําไมผมไม่เป็นแบบนั้น...

    หรือว่าหลักการเภาวนากรรมฐานของผมไม่ถูกกับกองที่ผมเภาวนา...ผมเภาวนา พุทธ โธ ....

    ขอคําชี้แนะด้วยครับ...
    กาลเวลาเป็นเครื่องชี้ตัวตนแห่งคน.
    ยินดีต้อนรับเพื่อนๆเข้ากลุ่ม Buddha Pra เพื่อเรียนรู้และถามปัญหาต่างๆเกี่ยวกับพระเครื่องที่คุณมี ด้วยความเต็มใจและจริงใจ การแบ่งปันความรู้ เป็นกุศลอันใหญ่หลวง.

    http://siambrandname.com/forum/forumdisplay.php?f=72

  4. #4
    asiaticia's Avatar
    asiaticia is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    38

    Lightbulb

    ว่าแต่บวชเรียนมาแล้วหายกลัวผีหรือยังคะ^^

    โบราณเขาว่ายาจกว่าผี ผู้ดีว่าศพ อย่าไปยึดติดเลยค่า คนเราตายแล้วจิตก็จุติในภพต่อไปตามแต่กระแสกรรมที่ทำมาจะส่งไปไหน

    เราว่าเรื่องเห็นนิมงนิมิตนี่เป็นสัญญานะ พอจิตมีสมาธิก็เกิดพลัง กระแสสัญญาหรือกระแสความจำก็นำไปสู่ในที่ต่างๆ เห็นสิ่งต่างๆ เราว่าจิตสุดท้ายที่เราปรารถนาคือความว่าง ไม่เกิด ไม่ดับอีกนั่นก็คือนิพพานนั่นแหละ แต่ยากมากเราจิตงี้หยาบกระด้าง อะไรมากระทบก็ไปเลย รู้แต่ตำราปฏิบัติไม่คืบ...-_-"

    ปล.เห็นพระอาจารย์ทั้งหลายแนะนำให้นั่งวิปัสนากรรมฐานจะดีกว่ากระมังคะ เป็นการสำรวจและให้รู้ให้เห็นจิตตัวเอง โอกาสออกทะเลไปแนวพวกอวดอุตริจะได้น้อยลง เรารู้แค่นี้แหละ
    "อย่าแตะต้องอดีตมาริยงของพ่อ ให้สายน้ำดำเนินต่อไป

    มาริยงจะสมรักแต่แผ่นดินจะสูญสิ้น มาริยงจะสูญเสียแต่แผ่นดินจะสมดุล

    ไปกับอนาคตได้แต่ต้องไม่ลืมอดีต... อดีตต้องเป็นมิตรกับปัจจุบัน... ปัจจุบันต้องเป็นฉันท์มิตรกับอนาคต

    หากเรารู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร จะไปอย่างไร จะจบอย่างไร แล้วชีวิตเราจะมีความหมายอะไร"
    _____________________________________________________________________
    บทภาพยนตร์ทวิภพ ฉบับสุรพงษ์ พินิจค้า พ.ศ.๒๕๔๗

  5. #5
    pepsi5510's Avatar
    pepsi5510 is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    308
    asiaticia
    Trusted Member
    Master Brandname
    asiaticia's Bank Account
    asiaticia's Bank Account








    ขอบคุณมากๆครับ

    ที่แวะมาให้คําแนะนําดีๆ

    กาลเวลาเป็นเครื่องชี้ตัวตนแห่งคน.
    ยินดีต้อนรับเพื่อนๆเข้ากลุ่ม Buddha Pra เพื่อเรียนรู้และถามปัญหาต่างๆเกี่ยวกับพระเครื่องที่คุณมี ด้วยความเต็มใจและจริงใจ การแบ่งปันความรู้ เป็นกุศลอันใหญ่หลวง.

    http://siambrandname.com/forum/forumdisplay.php?f=72

  6. #6
    anjay21's Avatar
    anjay21 is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    389
    การวิปัสนากรรมฐานนั้นมีนัยอยู่นะคะ
    การกำหนดจิตด้วยการกำหนดลมหายใจโดยจดจ่อกับลมที่เข้าออกตรงปลายรูจมูก หรือการเคลือนไหวเข้าออกของช่องท้องตรงบริเวณสะดือ
    เป็นการฝึกให้เรามีสติอยู่กับปัจจุบันตลอดเวลาค่ะ และการมีสติจะทำให้เรารู้ทันกรรมของเรา
    กรรมในที่นี้ก็คือการกระทำ มโนกรรม กายกรรม และวจีกรรม
    และเมื่อเรารู้ทันกรรมแล้วเราก็จะสามารถระงับกรรมได้ค่ะ งงมั้ยคะ..

    ตัวอย่างเช่น
    ขับรถอยู่ดีๆมีคนขับปาดหน้า คนธรรมดาคงด่าป้ามันในใจ อาจจะบีบแตรใส่ หรือขับปาดหน้ามันอีกสักทีใช่ไหมคะ ทำกรรมสำเร็จครบ 3กรรมเลย
    แต่คนที่ฝึกกรรมฐานมาดีๆ เวลามีคนปาดหน้า เค้าก็จะรู้ทันเห็นการณ์และคิด(ภาวนา)เพียงว่า ปาดหน้าหนอ โกรธหนอ คือเป็นการกำหนดจิตให้ตรงกับภาวะปัจจุบัน(บอกให้ตัวเองรู้เท่านั้นว่าเกิดอะไรขึ้น)และไม่ทำให้จิตไหวไปตามเหตุการณ์ เพราะฉะนั้นคิดง่ายๆ ถ้าคุณภาวนะ ปาดหน้าหนอ โกรธหนอ คุณก็แค่บอกตัวเองให้รู้ถึงความเป็นจริงว่าเกิดเหตุการณ์ขึ้นและเกิดอารมณ์โกรธในใจคุณ ในขณะที่คุณภาวนะนั้นเองจิตคุณจดจ่อก็อยู่กับปัจจุบัน ไม่เหลือจิตให้หวั่นไหวให้อารมณ์โกรธเข้ามาครอบงำและทำกรรมได้นั่นเป็นการระงับกรรมค่ะ

    ส่วนเรื่องนิมิตนั้นมีหลายขั้นค่ะ ถ้าวิปัสนาไปเรื่อยๆนิมิตก็จะเปลี่ยนไปตามขั้นกรรมฐานที่สูงขึ้น เช่น รูสึกคันตามเนื้อตัว รู้สึกร้อนหนาว เห็นแสง เห็นสีต่างๆ เห็นภาพเงา จนไปถึงขั้นสูงๆที่สามารถเห็นเหตุการณ์ เห็นอดีต อนาคต

    ไม่รู้เขียนมากไปหรือเปล่านะคะ ตอบเท่าที่รู้ค่ะ^^ ลองไปฝึกวิปัสนาที่ถูกต้องดูนะคะ ดีมากๆจริงๆ^^ ที่ลำปางก็มีค่ะ ที่วัดทุ่งบ่อแป้นจ้ะ(เห็นว่าเคยบวชที่ลำปาง..เป็นคนลำปางหรือเปล่าคะ)

  7. #7
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    131
    เคยลองฝึกนั่งสมาธิ...วันละ 5 นาที กำหนดจิต ธรรมดา
    เข้า - ออก พุทธโท..แค่นี้ก็รู้สึกดี....
    แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำมาเป็นปีแล้ว...จากที่เคยสวดทุกวันติดต่อกันมา 2-3 ปี
    เนื่องจาก ไม่มีสมาธิ เพราะไม่ได้นอนคนเดียวแล้ว..
    ....................................................................
    แต่อยากจะบอกว่า..เวลาสวดมนต์ ชุดใหญ่และต่อด้วยคาถาชินบัญชร...
    รู้สึกว่าไม่ได้อยู่คนเดียวในห้อง....เหมือนมีใครมาอยู่ด้วยเยอะมาก
    แต่พอหันหลังไปดูก็ไม่เห็นมีใคร...มีแต่เราคนเดียว..(แอบกลัว)...
    เพราะเวลาสวด..จะพูดเสียงดัง...ไม่สวดในใจ...แผ่เมตตาก็เสียงดัง..
    ...........เพื่อนๆๆรู้สึกแบบนี้บ้างไหมคะ.....................
    " ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า คิดให้ดีก็จะรู้ว่า.....คุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว "

  8. #8
    due's Avatar
    due is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    64
    Quote Originally Posted by pepsi5510 View Post
    ขอคําปรึกษาคุณ due หน่อยนะครับ...
    ทุกวันนี้ผมปฎิบัติ เภาวนากรรมฐาน ทุกวันวันละ 1-2 ชั่วโมงก่อนนอน แต่ทําไมมีแต่ความว่างเปล่าครับ...แบบว่าว่าง เวิ้งว้าง เงียบสงบ

    แต่ทําไมเห็นบางคนบอกว่า เห็นนิมิต เห็นพระ เห็นอะไรอีกมากมาย...ทําไมผมไม่เป็นแบบนั้น...

    หรือว่าหลักการเภาวนากรรมฐานของผมไม่ถูกกับกองที่ผมเภาวนา...ผมเภาวนา พุทธ โธ ....

    ขอคําชี้แนะด้วยครับ...


    ขออนุโมทนากับคุณpepsi5510
    ที่ได้ปฏิบัติอยู่ทุกวันเป็นประจำนะคะ สาธุค่ะ
    ดิวอยากให้คุณpepsi5510
    ได้พบพระอาจารย์ที่เก่งทางด้านปฏิบัติโดยตรงดีกว่าค่ะ
    เพราะจะต้องมีการสอบอารมณ์กับท่านด้วย
    มีข้อสงสัยอะไรก็จะได้ถามท่านได้เลย
    แบบนั้นรับรองคุณpepsi5510จะก้าวหน้าได้เร็วมากๆเลย
    เดี๋ยวPMไปคุยรายละเอียดนะคะ
    เรารักอะไรก็จะทุกข์เพราะสิ่งนั้น
    เพราะว่าสิ่งทั้งหลายล้วนแปรปรวนทั้งสิ้น
    ไม่มีอะไรคงที่อยู่ได้ตลอดเวลา

  9. #9
    pepsi5510's Avatar
    pepsi5510 is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    308
    Quote Originally Posted by anjay21 View Post
    การวิปัสนากรรมฐานนั้นมีนัยอยู่นะคะ
    การกำหนดจิตด้วยการกำหนดลมหายใจโดยจดจ่อกับลมที่เข้าออกตรงปลายรูจมูก หรือการเคลือนไหวเข้าออกของช่องท้องตรงบริเวณสะดือ
    เป็นการฝึกให้เรามีสติอยู่กับปัจจุบันตลอดเวลาค่ะ และการมีสติจะทำให้เรารู้ทันกรรมของเรา
    กรรมในที่นี้ก็คือการกระทำ มโนกรรม กายกรรม และวจีกรรม
    และเมื่อเรารู้ทันกรรมแล้วเราก็จะสามารถระงับกรรมได้ค่ะ งงมั้ยคะ..

    ตัวอย่างเช่น
    ขับรถอยู่ดีๆมีคนขับปาดหน้า คนธรรมดาคงด่าป้ามันในใจ อาจจะบีบแตรใส่ หรือขับปาดหน้ามันอีกสักทีใช่ไหมคะ ทำกรรมสำเร็จครบ 3กรรมเลย
    แต่คนที่ฝึกกรรมฐานมาดีๆ เวลามีคนปาดหน้า เค้าก็จะรู้ทันเห็นการณ์และคิด(ภาวนา)เพียงว่า ปาดหน้าหนอ โกรธหนอ คือเป็นการกำหนดจิตให้ตรงกับภาวะปัจจุบัน(บอกให้ตัวเองรู้เท่านั้นว่าเกิดอะไรขึ้น)และไม่ทำให้จิตไหวไปตามเหตุการณ์ เพราะฉะนั้นคิดง่ายๆ ถ้าคุณภาวนะ ปาดหน้าหนอ โกรธหนอ คุณก็แค่บอกตัวเองให้รู้ถึงความเป็นจริงว่าเกิดเหตุการณ์ขึ้นและเกิดอารมณ์โกรธในใจคุณ ในขณะที่คุณภาวนะนั้นเองจิตคุณจดจ่อก็อยู่กับปัจจุบัน ไม่เหลือจิตให้หวั่นไหวให้อารมณ์โกรธเข้ามาครอบงำและทำกรรมได้นั่นเป็นการระงับกรรมค่ะ

    ส่วนเรื่องนิมิตนั้นมีหลายขั้นค่ะ ถ้าวิปัสนาไปเรื่อยๆนิมิตก็จะเปลี่ยนไปตามขั้นกรรมฐานที่สูงขึ้น เช่น รูสึกคันตามเนื้อตัว รู้สึกร้อนหนาว เห็นแสง เห็นสีต่างๆ เห็นภาพเงา จนไปถึงขั้นสูงๆที่สามารถเห็นเหตุการณ์ เห็นอดีต อนาคต

    ไม่รู้เขียนมากไปหรือเปล่านะคะ ตอบเท่าที่รู้ค่ะ^^ ลองไปฝึกวิปัสนาที่ถูกต้องดูนะคะ ดีมากๆจริงๆ^^ ที่ลำปางก็มีค่ะ ที่วัดทุ่งบ่อแป้นจ้ะ(เห็นว่าเคยบวชที่ลำปาง..เป็นคนลำปางหรือเปล่าคะ)

    ผมเป็นคนกรุงเทพๆครับ...แต่ตอนบวชเณร ผมขอไปบวชที่ไกลๆ สงบๆ ก็เลยได้บวชที่วัดสวนดอกครับ...

    และขอขอบคุณที่พี่ให้คําแนะนําและความรู้เพิ่มครับ...
    พี่เขียนได้ขนาดนี้ สงสัย พี่ก็นั่งวิปัสนากรรมฐาน ด้วยใช่หรือเปล่าครับ....และยังมีอีกหลายๆอย่างที่แปลกๆ แต่ไม่กล้าเล่า กลัวเพื่อนๆจะหาว่าผม บ้า หรืออาจจะเพ้อเจ้อ...


    กาลเวลาเป็นเครื่องชี้ตัวตนแห่งคน.
    ยินดีต้อนรับเพื่อนๆเข้ากลุ่ม Buddha Pra เพื่อเรียนรู้และถามปัญหาต่างๆเกี่ยวกับพระเครื่องที่คุณมี ด้วยความเต็มใจและจริงใจ การแบ่งปันความรู้ เป็นกุศลอันใหญ่หลวง.

    http://siambrandname.com/forum/forumdisplay.php?f=72

  10. #10
    due's Avatar
    due is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    64

    Talking

    Quote Originally Posted by asiaticia View Post
    ว่าแต่บวชเรียนมาแล้วหายกลัวผีหรือยังคะ^^

    โบราณเขาว่ายาจกว่าผี ผู้ดีว่าศพ อย่าไปยึดติดเลยค่า คนเราตายแล้วจิตก็จุติในภพต่อไปตามแต่กระแสกรรมที่ทำมาจะส่งไปไหน

    เราว่าเรื่องเห็นนิมงนิมิตนี่เป็นสัญญานะ พอจิตมีสมาธิก็เกิดพลัง กระแสสัญญาหรือกระแสความจำก็นำไปสู่ในที่ต่างๆ เห็นสิ่งต่างๆ เราว่าจิตสุดท้ายที่เราปรารถนาคือความว่าง ไม่เกิด ไม่ดับอีกนั่นก็คือนิพพานนั่นแหละ แต่ยากมากเราจิตงี้หยาบกระด้าง อะไรมากระทบก็ไปเลย รู้แต่ตำราปฏิบัติไม่คืบ...-_-"

    ปล.เห็นพระอาจารย์ทั้งหลายแนะนำให้นั่งวิปัสนากรรมฐานจะดีกว่ากระมังคะ เป็นการสำรวจและให้รู้ให้เห็นจิตตัวเอง โอกาสออกทะเลไปแนวพวกอวดอุตริจะได้น้อยลง เรารู้แค่นี้แหละ

    โห! น้องเจต นับถือ นับถือ
    พี่ดิวภูมิใจในตัวน้องเจตมากค่ะ อายุแค่นี้(แค่ไหนหว่ารู้แต่ว่าน้อยกว่าพี่แหละ)
    รู้ธรรมะได้มากมายขนาดนี้ พี่ดิวขอแสดงความนับถือค่ะ
    อ้อ! แต่ขออีกอย่างคือ ระวังมิจฉานะ อันนี้ตัวพี่ก็กลัวมากๆเหมือนกัน
    พอรู้อะไรแล้วไปยึดมัน ว่ามันต้องเป็นแบบนั้น อย่างน้ัน ทีนี้ก็ติดอยู่ตรงนั้น
    จะรับอะไรใหม่ๆ หรือที่แตกต่างก็จะยาก
    สาธุค่
    เรารักอะไรก็จะทุกข์เพราะสิ่งนั้น
    เพราะว่าสิ่งทั้งหลายล้วนแปรปรวนทั้งสิ้น
    ไม่มีอะไรคงที่อยู่ได้ตลอดเวลา

Page 1 of 2 1 2 LastLast

Posting Permissions

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •