มีปริพาชกผู้หนึ่งชื่อว่า ทีฆนขอัคคิเวสนโคตร ผู้เป็นหลานของพระสารีบุตร
ได้เข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดา..
กล่าววาจาปราศรัยแล้ว..ยืนอยู่ในที่อันสมควรส่วนข้างหนึ่ง..

จึงทูลแสดงความเห็นของตนว่า...

"พระโคดม..ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า..สิ่งทั้งปวงไม่ควรแก่ข้าพเจ้า..ข้าพเจ้าไม่ชอบใจหมด"

พระบรมศาสดาตรัสตอบว่า..

"ดูก่อนอัคคิเวสนะ..ถ้าเป็นเช่นนั้น..ความเห็นอย่างนั้น..ก็ต้องไม่ควรแก่ท่าน...ท่านต้องไม่ชอบใจความเห็นอย่างนั้น"

..ครั้นตรัสดังนี้แล้ว...จึงทรงแสดงทิฐิของสมณพราหมณ์ 3 จำพวกว่า...

สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง..มีทิฐิว่า..สิ่งทั้งปวงควรแก่เรา...เราชอบใจหมด...

พวกหนึ่ง..มีทิฐิว่า..สิ่งทั้งปวงไม่ควรแก่เรา...เราไม่ชอบใจหมด...

และอีกพวกหนึ่ง..มีทิฐิว่า..บางสิ่งควรแก่เรา..เราชอบใจ..บางสิ่งไม่ควรแก่เรา..เราไม่ชอบใจ..

พระบรมศาสดายังทรงชี้ให้เห็นเป็นโทษ..อุบายเครื่องละทิฐินั้น ๆ...และอุบายเครื่องไม่ถือมั่นต่อไป..

แล้วทรงแสดงพระธรรมเทศนาที่ชื่อว่า..."เวทนาปริคคหสูตร"

(สูตรคือการกำหนดถือเอาเวทนาเป็นอารมณ์)..โดยตรัสว่า..

"ดูก่อนอัคคิเวสนะ....เวทนามีอยู่ 3 ประการคือ..

สุขเวทนา 1

ทุกขเวทนา 1

อทุกขมสุขเวทนา 1

ในคราวใด..บุคคลได้รับสุขเวทนา..คือ..
มีความรู้สึกเป็นสุข..ในคราวนั้นก็ไม่ได้รับเวทนาอีก 2 ประการ...

ในคราวใด..บุคคลได้รับทุกขเวทนา..คือ..มีความรู้สึกเป็นทุกข์...

หรือ อทุกขมสุขเวทนา..คือ..มีความรู้สึกเฉย ๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข..ในคราวนั้น..ก็ไม่ได้รับเวทนาอีก 2 ประการ..

เวทนาทั้ง 3 ประการนี้..ล้วนแต่ไม่เที่ยง..ล้วนแต่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง
..มีแต่ความสิ้นไป..เสื่อมไป..คลายไป..ดับไป..เป็นธรรมดา..

"ดูก่อนอัคคิเวสนะ..เมื่อพระอริยสาวก..ผู้ได้สดับคำสอนของพระอริยะ
เห็นอยู่..เบื่อหน่ายเวทนาทั้ง 3 นี้...

เมื่อเบื่อหน่าย..ก็คลาย..

เมื่อคลาย..ก็หลุดพ้น..

เมื่อหลุดพ้น..ก็รู้ว่า..หลุดพ้นจากกิเลสแล้ว..

รู้ว่าสิ้นความเกิดแล้ว..สำเร็จพรหมจรรย์แล้ว..

ได้กระทำสิ่งที่ควรกระทำเสร็จแล้ว..ไม่มีสิ่งอื่น..
ที่จะต้องกระทำเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกแล้ว...

ผู้มีจิตหลุดพ้นจากกิเลสทั้งหลายแล้วอย่างนี้..
ย่อมไม่โต้เถียงกับใคร..

คำใดเขากล่าวกันในโลก..ก็กล่าวตามคำนั้น"..

เมื่อทีฆนขปริพาชกส่งใจไปตามที่พระบรมศาสดาทรงแสดง..
ก็ได้ดวงตาเห็นธรรมหรือได้เป็น..พระโสดาบัน..

ทิ้งความเห็นเดิมได้เด็ดขาด..
หมดสิ้นความสงสัยในพระพุทธศาสนา..
แล้วกราบทูลแสดงตนเป็นอุบาสก...

ครั้งนั้น..พระสารีบุตรนั่งถวายงานพัดอยู่ใกล้ ๆ ณ เบื้องพระปฤษฏางค์
ของพระบรมศาสดา..ได้ฟังพระธรรมเทศนาที่ตรัสกับทีฆนขอัคคิเวสนะนั้น..

จึงพิจารณาตามพระธรรมเทศนาไป..
จิตก็หลุดพ้นจากอาสวกิเลส..ไม่มีอุปาทาน..
คือหมดความยึดมั่นถือมั่น..ถึงที่สุดแห่งสาวกบารมีญาณ..

ฟัง กด http://www.fungdham.com/download/rea...salalok/04.mp3