ความสุขที่ถูกมองข้าม


คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ที่เชื่อว่า ยิ่งมีเงินทองมากเท่าไร
ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ความเชื่อดังกล่าวดูเผินๆ
ก็น่าจะถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์
แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ประเทศไทยน่าจะมีคนป่วยด้วยโรคจิตน้อยลง
มิใช่เพิ่มมากขึ้น ทั้งๆ ที่รายได้ของคนไทยสูงขึ้นทุกปี


ในทำนองเดียวกันผู้จัดการก็น่าจะมีความสุขมากกว่าพนักงานระดับล่างๆ
เนื่องจากมีเงินเดือนมากกว่า แต่ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป
ไม่นานมานี้มหาเศรษฐีคนหนึ่งของไทยได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า
เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต เขาพูดถึงตัวเองว่า “ชีวิต (ของผม)
เริ่มหมดค่าทางธุรกิจ” ลึกลงไปกว่านั้นเขายังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหมาย
เขาเคยพูดว่า “ผมจะมีความหมายอะไร
ก็เป็นแค่....มหาเศรษฐีหมื่นล้านคนหนึ่ง”

เมื่อเงินหมื่นล้านไม่ทำให้มีความสุข เขาจึงอยู่เฉยไม่ได้
ในที่สุดวิ่งเต้นจนได้เป็นรัฐมนตรี
ขณะที่เศรษฐีหมื่นล้านคนอื่นๆ ยังคงมุ่งหน้าหาเงินต่อไป
ด้วยความหวังว่าถ้าเป็นเศรษฐีแสนล้านจะมีความสุขมากกว่านี้
คำถามก็คือ เขาจะมีความสุขเพิ่มขึ้นจริงหรือ ?

คำถามข้างต้นคงมีประโยชน์ไม่มากนักสำหรับคนทั่วไป
เพราะชาตินี้คงไม่มีวาสนาแม้แต่จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านด้วยซ้ำ
แต่อย่างน้อยก็คงตอบคำถามที่อยู่ในใจของคนจำนวนไม่น้อยได้บ้างว่า
ทำไมอัครมหาเศรษฐีทั้งหลาย รวมทั้งบิล เกตส์ จึงไม่หยุดหาเงินเสียที
ทั้งๆ ที่มีสมบัติมหาศาล ขนาดนั่งกินนอนกินไป ๗ ชาติก็ยังไม่หมด

แต่ถ้าเราอยากจะค้นพบคำตอบให้มากกว่านี้
ก็น่าจะย้อนถามตัวเองด้วยว่า
ทำไมถึงไม่หยุดซื้อแผ่นซีดีเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับหมื่นแผ่น
ทำไมถึงไม่หยุดซื้อเสื้อผ้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วเกือบพันตัว
ทำไมถึงไม่หยุดซื้อรองเท้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับร้อยคู่
แผ่นซีดีที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนฟังทั้งชาติก็ยังไม่หมด
ในทำนองเดียวกัน เสื้อผ้า หรือรองเท้าที่มีอยู่มากมายนั้น
บางคนก็เอามาใส่ไม่ครบทุกตัวหรือทุกคู่ด้วยซ้ำ
มีหลายตัวหลายคู่ที่ซื้อมาโดยไม่ได้ใช้เลย
แต่ทำไมเราถึงยังอยากจะได้อีกไม่หยุดหย่อน

ใช่หรือไม่ว่าสิ่งที่เรามีอยู่แล้วในมือนั้น
ไม่ทำให้เรามีความสุขได้มากกว่าสิ่งที่ได้มาใหม่

มีเสื้อผ้าอยู่แล้วนับร้อย
ก็ไม่ทำให้จิตใจเบ่งบานได้เท่ากับเสื้อ ๑ ตัวที่ได้มาใหม่
มีซีดีอยู่แล้วนับพันก็ไม่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้เท่ากับซีดี ๑ แผ่นที่ได้มาใหม่
ในทำนองเดียวกันมีเงินนับร้อยล้านในธนาคาร
ก็ไม่ทำให้รู้สึกปลาบปลื้มใจเท่ากับเมื่อได้มาใหม่อีก ๑ ล้าน


พูดอีกอย่างก็คือ คนเรานั้นมักมีความสุขจากการได้
มากกว่าความสุขจากการมี มีเท่าไรก็ยัง อยากจะได้มาใหม่
เพราะเรามักคิดว่าของใหม่จะให้ความสุขแก่เราได้มากกว่าสิ่งที่มีอยู่เดิม
บ่อยครั้ง ของที่ได้มาใหม่นั้นก็เหมือนกับของเดิมไม่ผิดเพี้ยน
แต่เพียงเพราะว่ามันเป็นของใหม่ ก็ทำให้เราดีใจแล้วที่ได้มา


จะว่าไปนี่อาจเป็นสัญชาตญาณที่มีอยู่กับสัตว์หลายชนิด
ไม่เฉพาะแต่มนุษย์เท่านั้น ถ้าโยนน่องไก่ให้หมา หมาก็จะวิ่งไปคาบ
แต่ถ้าโยนน่องไก่ชิ้นใหม่ไปให้มันจะรีบคายของเก่าและคาบชิ้นใหม่แทน
ทั้งๆ ที่ทั้งสองชิ้นก็มีขนาดเท่ากัน ไม่ว่าหมาตัวไหนก็ตาม
ของเก่าที่มีอยู่ในปากไม่น่าสนใจเท่ากับของใหม่ที่ได้มา

ถ้าหากว่าของใหม่ให้ความสุขได้มากกว่าของเก่าจริง
เรื่องก็น่าจะจบลงด้วยดี
แต่ปัญหาก็คือของใหม่นั้นไม่นานก็กลายเป็นของเก่า
และความสุขที่ได้มานั้นในที่สุดก็จางหายไป
ผลก็คือกลับมารู้สึก “เฉยๆ” เหมือนเดิม
ดังนั้นจึงต้องไล่ล่าหาของใหม่มาอีก
เพื่อหวังจะให้มีความสุขมากกว่าเดิม แต่แล้วก็วกกลับมาสู่จุดเดิม


เป็นเช่นนี้ไม่รู้จบ น่าคิดว่าชีวิตเช่นนี้จะมีความสุขจริงหรือ ?
เพราะไล่ล่าแต่ละครั้งก็ต้องเหนื่อย
ไหนจะต้องขวนขวายหาเงินหาทอง
หนจะต้องแข่งกับผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ
ครั้นได้มาแล้วก็ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ ไม่ให้ใครมาแย่งไป
แถมยังต้องเปลืองสมองหาเรื่องใช้มันเพื่อให้รู้สึกคุ้มค่า
ยิ่งมีมากชิ้นก็ยิ่งต้องเสียเวลาในการเลือกว่าจะใช้อันไหนก่อน


ทำนองเดียวกับคนที่มีเงินมากๆ
ก็ต้องยุ่งยากกับการตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวลอนดอน
นิวยอร์ค เวกัส โตเกียว มาเก๊า หรือซิดนีย์ ดี

ถ้าเราเพียงแต่รู้จักแสวงหาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว
ชีวิตจะยุ่งยากน้อยลงและโปร่งเบามากขึ้น
อันที่จริงความพอใจในสิ่งที่เรามีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก
แต่ที่เป็นปัญหาก็เพราะเราชอบมองออกไปนอกตัว
และเอาสิ่งใหม่มาเทียบกับของที่เรามีอยู่
หาไม่ก็เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น
เมื่อเห็นเขามีของใหม่ ก็อยากมีบ้าง

คงไม่มีอะไรที่จะทำให้เราทุกข์ได้บ่อยครั้งเท่ากับ
การชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น
การเปรียบเทียบจึงเป็นหนทางลัดไปสู่ความทุกข์ที่ใครๆ ก็นิยมใช้กัน
นิสัยชอบเปรียบเทียบกับคนอื่นทำให้เราไม่เคยมีความพอใจในสิ่งที่ตนมีเสียที
แม้มีแฟนที่ดีก็ยังไม่พอใจเพราะรู้สึกว่าแฟนของคนอื่นสวยกว่า หล่อกว่า
หรือเอาใจเก่งกว่า แม้มีลูกที่น่ารักก็ยังไม่พอใจเพราะรู้สึกว่าสู้ลูกของคนอื่นไม่ได้
แม้จะมีหน้าตาดี้ ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่สวย
เพราะไปเปรียบเทียบตัวเองกับดาราหรือพรีเซนเตอร์ในหนังโฆษณา

การมองแบบนี้ทำให้ “ขาดทุน” สองสถาน
คือนอกจากจะไม่มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว
ยังเป็นทุกข์เพราะไม่ได้สิ่งที่อยาก
พูดอีกอย่างคือไม่มีความสุขกับปัจจุบัน
แถมยังเป็นทุกข์เพราะอนาคตที่พึงปรารถนายังมาไม่ถึง

ไม่มีอะไรที่เป็นอุทธาหรณ์สอนใจได้ดีเท่ากับนิทานอีสปเรื่องหมาคาบเนื้อ
คงจำได้ว่า มีหมาตัวหนึ่งได้เนื้อชิ้นใหญ่มา ขณะที่กำลังเดินข้ามสะพาน
มันมองลงมาที่ลำธาร เห็นเงาของหมาตัวหนึ่ง (ซึ่งก็คือตัวมันเอง)
กำลังคาบเนื้อชิ้นใหญ่ เนื้อชิ้นนั้นดูใหญ่กว่าชิ้นที่มันกำลังคาบเสียอีก
ด้วยความโลภ (และหลง) มันจึงคายเนื้อที่คาบอยู่
เพื่อจะไปคาบชิ้นเนื้อที่เห็นในน้ำ ผลก็คือเมื่อเนื้อตกน้ำ
ชิ้นเนื้อในน้ำก็หายไป มันจึงสูญทั้งเนื้อที่คาบอยู่และเนื้อที่เห็นในน้ำ

บ่อเกิดแห่งความสุขมีอยู่กับเราทุกคนในขณะนี้อยู่แล้ว
เพียงแต่เรามองข้ามไปหรือไม่รู้จักใช้เท่านั้น
เมื่อใดที่เรามีความทุกข์แทนที่จะมองหาสิ่งนอกตัว
ลองพิจารณาสิ่งที่เรามีอยู่และเป็นอยู่ ไม่ว่ามิตรภาพ
ครอบครัว สุขภาพ ทรัพย์สิน รวมทั้งจิตใจของเรา
ล้วนสามารถบันดาลความสุขให้แก่เราได้ทั้งนั้น
ขอเพียงแต่เรารู้จักชื่นชม รู้จักมอง และจัดการอย่างถูกต้องเท่านั้น
แทนที่จะแสวงหาแต่ความสุขจากการได้
ลองหันมาแสวงหาความสุขจากการมี หรือจากสิ่งที่มี
ขั้นต่อไปคือการแสวงหาความสุขจากการให้
กล่าวคือ ยิ่งให้ความสุข ก็ยิ่งได้รับความสุข
สุขเพราะเห็นน้ำตาของผู้อื่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม
และสุขเพราะภาคภูมิใจที่ได้ทำความดีและทำให้ชีวิตมีความหมาย
จากจุดนั้นแหละก็ไม่ยากที่เราจะค้นพบความสุขจากการไม่มี


นั่นคือสุขจากการปล่อยวาง ไม่ยึดถือในสิ่งที่มี
และเพราะเหตุนั้นแม้ไม่มีหรือสูญเสียไป
ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้ เกิดมาทั้งที
น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขจากการให้และการไม่มี
เพราะนั่นคือสุขที่สงบเย็นและยั่งยืนอย่างแท้จริง



ขอบคุณบทความดี ๆ จาก
http://www.idol4u.com/community/thread-1832-1-3.html