การดูแลตัวเองยุคนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของความงามภายนอกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเสริมสุขภาพจากภายในด้วย สองเทรนด์มาแรงที่คนให้ความสนใจคือ PRP หน้าใส และ การใช้สเต็มเซลล์ บางคนอาจสงสัยว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ต่างกันอย่างไร? และสามารถรักษาหรือฟื้นฟูสุขภาพอะไรได้บ้าง?
PRP หน้าใส คืออะไร?
PRP (Platelet-Rich Plasma) หน้าใส คือ การใช้พลาสม่าที่มีเกล็ดเลือดเข้มข้นจากเลือดของเราเอง ฉีดกลับเข้าสู่ผิวหน้า เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดริ้วรอย จุดด่างดำ และฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์ เป็นธรรมชาติ วิธีนี้ได้รับความนิยมในกลุ่มคนที่ต้องการดูแลผิวหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด และปลอดภัยเพราะใช้เลือดของตนเอง
นอกจากด้านความงาม PRP ยังมีบทบาทในวงการแพทย์ เช่น การฟื้นฟูเนื้อเยื่อจากการบาดเจ็บของนักกีฬา หรือรักษาข้อเข่าเสื่อมในระยะแรก
สเต็มเซลล์รักษาโรคอะไรได้บ้าง?
คำถามยอดฮิตคือ สเต็มเซลล์รักษาโรคอะไรได้บ้าง? คำตอบคือ "มากมาย" เพราะสเต็มเซลล์คือเซลล์ต้นกำเนิดที่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์ชนิดต่าง ๆ ได้ เช่น เซลล์สมอง เซลล์ตับ หรือเซลล์กล้ามเนื้อ ทำให้ถูกนำมาใช้ในการฟื้นฟูอวัยวะหรือเนื้อเยื่อที่เสียหาย
ในทางการแพทย์ สเต็มเซลล์ถูกใช้ในการรักษาโรคที่เกี่ยวกับระบบเลือด เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคโลหิตจาง หรือแม้กระทั่งโรคพาร์กินสัน และโรคเบาหวานในบางกรณี ส่วนในด้านความงาม มีการนำสเต็มเซลล์มาใช้เพื่อกระตุ้นการซ่อมแซมผิว ฟื้นฟูใบหน้า และชะลอวัย
ทางเลือกเพื่อความงามและสุขภาพในบทความเดียว
ทั้ง PRP และสเต็มเซลล์เป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพสูง และให้ผลลัพธ์ทั้งในด้านความงามและสุขภาพ แม้จะมีข้อดีแตกต่างกัน แต่สามารถเลือกใช้ตามเป้าหมายที่ต้องการ เช่น หากเน้นฟื้นฟูผิวหน้าอย่างปลอดภัย PRP หน้าใส คือ ทางเลือกยอดนิยม แต่หากมองถึงการรักษาเชิงลึก คำตอบว่า สเต็มเซลล์รักษาโรคอะไรได้บ้าง อาจทำให้คุณสนใจแนวทางการดูแลสุขภาพจากภายในมากขึ้น