นอกจากนี้ การเข้าใจผลกระทบของเลเวอเรจต่อระดับมาร์จิ้น (Margin Level) ในบัญชีก็เป็นสิ่งสำคัญ มาร์จิ้นคำนวณจากอัตราส่วนของส่วนทุน (Equity) ต่อหลักประกันที่ใช้ (Used Margin) โดยหากมาร์จิ้นต่ำกว่าระดับที่โบรกเกอร์กำหนด เช่น 100% ก็อาจถูกบังคับให้ปิดสถานะที่ขาดทุน (Margin Call) เพื่อป้องกันส่วนทุนติดลบ ดังนั้น เทรดเดอร์จึงต้องคอยสังเกตและรักษาระดับมาร์จิ้นในบัญชีให้เพียงพออยู่เสมอ

สรุปได้ว่า เลเวอเรจเป็นดาบสองคมที่ให้ทั้งโอกาสและความเสี่ยงแก่นักลงทุนใน ตลาดฟอเร็กซ์ การใช้เลเวอเรจอย่างชาญฉลาด ควบคู่กับการบริหารความเสี่ยงและวินัยในการเทรด จะช่วยให้นักลงทุนสามารถใช้ประโยชน์จากเลเวอเรจได้อย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันก็จำกัดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ เทรดเดอร์ต้องเข้าใจกลไกของเลเวอเรจอย่างถ่องแท้ รู้ขีดจำกัดของตนเอง และยอมรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียเงินทุนจนหมดตัวจากการใช้เลเวอเรจที่ไม่เหมาะสม

ประโยชน์หลักของเลเวอเรจ คือการช่วยเพิ่มอำนาจซื้อและโอกาสทำกำไรของนักลงทุน โดยเฉพาะเมื่อเทรดคู่สกุลเงินที่มีความผันผวนต่ำ หรือต้องการเปิดสถานะขนาดใหญ่ เพราะหากใช้เงินทุนของตัวเองทั้งหมด อาจต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลและอาจสูญเสียโอกาสในการลงทุนอื่นๆ ไป อย่างไรก็ตาม เลเวอเรจที่สูงเกินไปก็อาจกลายเป็นภัยคุกคามแทน หากไม่มีการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุมพอ

  • หากราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่คาดการณ์ไว้ เช่น ปรับขึ้นไปที่ระดับ 1.2020 เทรดเดอร์จะได้กำไร 20 Pips หรือ 200 ดอลลาร์ (คำนวณจาก 20 Pips x 10 ดอลลาร์ ต่อ 1 Pip ที่เลเวอเรจ 1:100) ซึ่งคิดเป็น 20% ของเงินหลักประกัน


  • แต่ในทางตรงกันข้าม หากราคาร่วงลงมาที่ 1.1980 เทรดเดอร์จะขาดทุน 20 Pips หรือ 200 ดอลลาร์ หากไม่มีการตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ไว้ และปล่อยให้สถานะขาดทุนลากยาว การขาดทุนอาจพอกพูนจนเกินเงินหลักประกัน และทำให้บัญชีติดลบได้