3. ตลาดกลางคืน แหล่งรวมดาวเด่น ประชันเมนูอร่อย ยามค่ำคืน ของชาวไต้หวัน (งบประมาณ 100 - 200 บาท ต่อ 1 อิ่ม)
หากพูดถึง ตลาดกลางคืน ของไต้หวัน คนที่เริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่่ท่องเที่ยวในไต้หวัน คงจะได้เห็นผ่านตากันบ่อยๆ ว่าเป็นสถานที่ที่ต้องไป ไม่ควรจะพลาดด้วยเหตุผลใดทั้งปวง เห็นเขาว่ากันอย่างนั้น
เอสเองก็เคยได้ผ่านตามาหลายๆรอบ ด้วยความสงสัย ก่อนที่จะเริ่มได้เดินทางและสัมผัสไต้หวัน ด้วยตัวเอง
และพอเริ่มได้สัมผัส ตลาดกลางคืน 3-4 แห่ง ในไทเป ในตอนทริปแรก สิ่งที่เอสรู้สึกคือ "อยากลองไปสัมผัสตลาดกลางคืน ให้ทั่วเกาะไต้หวันค่ะ" !!!
พอเข้าสู่ทริปที่สาม ซึ่งเป็นทริปที่วางแผนว่า จะเดินทางออกไปต่างจังหวัดของไต้หวันเป็นส่วนใหญ่ เอสเลยเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับตลาดกลางคืนในไต้หวัน และ ได้พบกับแหล่งข้อมูลที่สำคัญ ที่ถือว่าเป็นไกด์ไลน์ในการเดินทาง เสาะหาตลาดกลางคืนทั่วไต้หวันของเอสค่ะ
[รีวิวไต้หวัน] ตอนที่ 59 : 10 อันดับตลาดกลางคืนยอดฮิตของไต้หวัน ประจำปี 2015
เอสต้องขอขอบคุณ คุณหนึ่ง 1000milesjourney.com ไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
หลังจากได้ข้อมูลจากบทความด้านบน และ รวมทั้งอีกหลายๆ บทความ เอสจึงได้เห็นเรื่องราวของตลาดกลางคืนของไต้หวัน มากขึ้น
ตลาดกลางคืนของไต้หวัน ไม่ใช่ที่ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อรองรับการท่องเที่ยวของทางการไต้หวันนะคะ แต่เป็นผลผลิตทางวัฒนธรรมของชาวไต้หวัน ที่มีมากว่าร้อยปีแล้วค่ะ
จึงทำให้ เกาะไต้หวัน มีตลาดกลางคืนกระจายอยู่ทั่วเกาะกว่า ร้อยแห่ง !!! ซึ่ง ทำให้เอสรู้ค่ะ ว่าจะไปทั้งหมดเลยคงไม่ได้ 5555
และ จากบทความ "10 อันดับตลาดกลางคืน ที่คนไต้หวันชื่นชอบมากที่สุด" ตามผลสำรวจระหว่างวันที่ 17/12/2014 - 17/6/2015 ของเว็บไซต์ dailyview.tw ที่คุณหนึ่ง นำมาแปลจากภาษาจีนไว้ให้ ในบทความด้านบน
10 อันดับตลาดกลางคืน ที่คนไดต้หวันชื่นชอบมากที่สุด
ขอบคุณรูปภาพจาก http://www.1000milesjourney.com/top-...night-markets/ ค่ะ
นอกจากจะทำให้เอสได้รู้ รายชื่อ 10 รายชื่อของตลาดกลางคืน ที่ควรไปเยือน แล้ว ยังทำให้เอสเริ่มเห็นด้วยว่า คนไต้หวันนั้น นิยมไปเดินตลาดกลางคืนกันจริงๆ โดยมีเหตุผลหลักๆ คือ หาของอร่อยๆทานยามค่ำค่ะ
ในรีวิวนี้ เอสจะไม่แจกแจงรายละเอียดของ แต่ละตลาดกลางคืน ที่เอสได้ไปสัมผัสนะคะ แต่เอสจะขอเล่า สิ่งที่เอสได้เห็นได้สัมผัส จากการตระเวนเยือนตลาดกลางคืน ที่รวมๆแล้ว น่าจะเกินสิบแห่ง ของเอสค่ะ (เฉพาะส่วนของกินนะคะ)
ส่วนของกิน ในตลาดกลางคืนของไต้หวัน ส่วนใหญ่จะเริ่ม เปิดขายกันประมาณ 6 โมงเย็น ถึง 1 ทุ่ม และ ไปปิดกันราวๆ ห้าทุ่ม เที่ยงคืน และ คนจะเริ่มมากันเยอะ ช่วง 2-3 ทุ่ม คนเยอะนี่คือเยอะจริงๆนะคะ บางที่ระดับต้องเดินเบียดกันหน่อย เราเลยสังเกตได้ง่ายหน่อย ว่า ร้านไหนเป็นร้านดัง ประจำตลาด โดยสังเกตจากความเยอะผิดปกติของคนค่ะ
และ ตลาดแต่ละแห่ง ก็จะมีอาหารที่ขาย คล้ายกันบ้าง ต่างกันบ้าง จากที่เอสมีโอกาสได้ไปสัมผัสมาหลายที่ เอสเลยพอจะแยกกลุ่มอาหารที่ขายในตลาดกลางคืนในไต้หวัน ออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้ค่ะ
1) เมนูฮิต ทั่วไป ของ ชาวไต้หวัน
ไม่ว่าตลาดกลางคืนนั้น จะอยู่ เหนือ หรือ ใต้ ใหญ่ หรือ เล็ก ดัง หรือ ไม่ดัง เราจะพบเมนูเหล่านี้ ประจำการเสมอ !!!
พูดง่ายๆคือ เมนู ที่ได้รับความนิยมจากชาวไต้หวัน และ หาทานได้ทั่วๆไป ในทุกตลาดกลางคืนค่ะ
เมนูในกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่ ที่เอสเห็น จะเป็น ของทอด กับ ของย่าง ค่ะ
เนื่องจากชาวไต้หวัน นิยมทานของทอด จึงทำให้ที่นี่ มีของทอดหลายรูปแบบ และ โดยทั่วไปที่เอสมีโอกาสได้ชิม เอสว่า ชาวไต้หวัน มีเทคนิคการทำของทอดที่ดี จึงทำให้ของทอดที่นี่ส่วนใหญ่กรอบ ไม่อมน้ำมันค่ะ
ของทอดที่เราจะพบได้บ่อยที่สุดแทบจะในตลาดกลางคืนทุกที่ในไต้หวัน คือ ของชุบแป้งทอดค่ะ เราจะเห็นร้านของชุปแป้งทอดได้ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น แผงในตลาดกลางคืน รถเข็น ไปจนถึง ร้านของชุปแป้งทอด ที่มีหลายสาขา ที่ตั้งอยู่ใกล้บริเวณตลาดกลางคืนค่ะ
นอกจากเทคนิคการทอดแล้ว สิ่งที่เป็จุดเด่น ของ ของชุปแป้งทอดที่นี่ คือ "ผงปรุงรส" ค่ะ ชาวไต้หวัน นิยมเพิ่มรสชาติให้ของทอด โดยใช้เครื่องปรุงรส ในรูปแบบผง ซึ่งจะต่างกับบ้านเรา ที่นิยมรูปแบบน้ำซอส ที่เราเรียกจนติดปากว่า "น้ำจิ้ม"
ถึงแม้ว่า ผงปรุงรส ไม่สามารถนำพารสชาติเข้าไปในของทอดได้ดีเท่าน้ำจิ้ม แต่ ข้อดีมากๆ ของ การใช้ผงปรุงรส เมื่อเทียบกับน้ำจิ้ม คือ จะสามารถคงความกรอบ ของ ของชุปแป้งทอดได้นานกว่าการใช้น้ำจิ้ม อย่างเห็นได้ชัด
จึงทำให้ เมื่อซื้อแล้วเราไม่ต้องรีบกินก่อนที่แป้งจะนิ่ม หรือ สามารถซื้อกลับบ้านได้ โดยไม่ต้อง "แยกน้ำจิ้ม" จึงสามารถพูดได้ว่า การใช้เครื่องปรุงรส ในรูปแบบผงนั้น ทำให้การจัดการในการกินของชุปแป้งทอดนั้น สะดวกขึ้นมากค่ะ
ส่วนของทอดแบบไม่ชุบแป้ง จะพบได้น้อยกว่ามากค่ะ
ร้านนี้ เป็นหนึ่งในของทอดแบบไม่ชุบแป้ง แบบที่ชาวไต้หวันนิยมค่ะ เป็นไข่ต้มหั่นซีก หุ้มด้วยเนื้อปลาบด และ ทอดในน้ำมันร้อนๆ ค่ะ ซึ่ง การนำไข่ต้มหั่นซีก ซึ่งสุกอยู่แล้ว มาเป็นแกนกลางของของทอด ทำให้ไม่ต้องทอดนาน ตัวของทอดจึงไม่อมความร้อนมาก จึงไม่ต้องพักนาน สามารถทานได้ตอนเนื้อปลายังฟูอยู่ค่ะ
จุดเด่นอีกจุดของอาหารแบบนี้ คือ ซอสค่ะ ของทอดในลักษณะนี้ จะไม่ใช้เครื่องปรุงรส ในรูปแบบผงค่ะ แต่จะเป็นซอส ที่มีลักษณะเป็นครีมหนืดๆ มีรสชาติเข้มข้น มี รสวาซาบิ และ รสเผ็ดให้เลือก พอทาที่ตัวของทอดที่ยังฟูอยู่แล้ว ซอสจะซึมเข้าไปในตัวของทอด เหมือนน้ำซึมเข้าฟองน้ำ และ ยังทำให้ของทอดเย็นลง พอที่จะทานได้ ชาวไต้หวันจึง นิยมทานเลย หลังจากทาซอส พอกัดเข้าไปในเนื้อปลาที่ยังฟูที่ฉ่ำไปด้วยซอสรสเข้มข้น รวมกับรสมันของไข่ต้มที่เป็นแกนกลางแล้ว เจอเป็นซื้อค่ะ !!!
ส่วนอีกเมนูยอดนิยม ของของทอดแบบไม่ชุปแป้ง คือ เต้าหู้เหม็นทอด ค่ะ เป็นเต้าหู้ที่ผ่านการหมัก ทำให้มีกลิ่นแรงกว่าปกติสักหน่อย แต่สิ่งที่ได้มาคือ รสชาติที่เข้มข้นขึ้นมาก ชาวไต้หวันนิยมนำเต้าหู้ชนิดนี้มาทอด แล้ว ทานกับผักดอง และ แต่งรสด้วยพริกน้ำส้ม ซึ่ง อร่อยมาก รสเข้มข้นทุกองค์ประกอบ ที่สำคัญ เข้ากันสุดๆ ค่ะ
ส่วนของย่างเอง ก็พบบ่อยไม่ต่างกับของทอดค่ะ
ของย่างแบบแรกที่จะพบ คือ ของย่างบนตะแกรง ในกลุ่มของย่างแบบนี้ ที่เราจะเห็นได้บ่อยที่สุด คือ ไส้กรอกย่าง แบบนี้ค่ะ
ในตอนที่เอสเห็นเมนูนี้ครั้งแรก เมื่อตอนปี 2556 ตอนนั้นเอสยังไม่เลิกทานหมูค่ะ เห็นแล้ว อยากบอกว่า อดใจไม่ไหว ต้องซื้อมาลองชิม ด้วยความอยากรู้ ว่า รสชาติเป็นอย่างไร พอได้กัดเข้าไปคำแรก เลยรู้ว่า สิ่งนี้คือ ... กุนเชียง ค่ะ
หาก ไข่พะโล้ คือ ตัวแทนความสัมพันธ์ ระหว่างวัฒนธรรมการกินของไทยกับไต้หวัน ตอนนี้ เราได้ผู้ช่วยแล้วค่ะ
กุนเชียงของบ้านเรา เนื่องจากรสหวานเค็มที่เข้ม จึงทำให้นิยมมาทำเป็นวัตถุดิบมากกว่าทานเปล่า แต่ กุนเชียงของไต้หวัน จะรสไม่เข้มเท่าของบ้านเรา แต่เนื้อฟูและมีมันแทรกมากกว่า เมื่อนำมาย่างแล้ว ไขมันที่แทรกจะเริ่มละลายกลายเป็นกลิ่นเฉพาะตัว ตอนกัดแล้ว มีรสชาติเฉพาะตัวออกมาจากน้ำมัน จึงรสชาติอร่อยไปอีกแบบค่ะ
ส่วนไส้กรอกสีขาวที่เห็นย่างอยู่ด้วยกัน ข้างในเป็นข้าวค่ะ เซ็ตนี้ ถ้าทานคู่กัน คงได้อารมณ์เหมือน ข้าวเหนียวหมูปิ้ง ของเราค่ะ
ส่วนกุนเชียงสีดำแบบนี้ เป็นกุนเชียงที่ทำจากปลาหมึก (เอสเห็นคนขายพยายามสื่อสารแบบนั้น) ใส่หมึกให้สีดำ แต่เอสว่า น่าจะใส่เนื้อหมูด้วย เพราะมีรสเฉพาะตัวของเนื้อหมู แบบกุนเชียงปกติ อยู่ด้วยค่ะ หากใครสามารถใช้ภาษาจีนได้ ตอนซื้อลองถามดูนะคะ
ของย่างอีกรูปแบบ ที่เราพบได้บ่อย คือ ของย่างบนกระทะร้อนค่ะ
เมนูที่สำคัญของของย่างกลุ่มนี้ คือ เต้าหู้เหม็นแบบย่างกระทะร้อนค่ะ
เป็นเต้าหู้ชิ้นใหญ่ รสเข้มข้น ผ่ากลาง แล้ว ใส่ผักดองจนเต็ม ทาด้วยซอสบาร์บีคิว ซึ่งเสริมรสชาติให้กันได้อย่างไม่น่าเชื่อ แล้วย่างบนกระทะร้อน เป็นอีกหนึ่งเมนูเต้าหู้ ที่เอสเจอเป็นซื้อค่ะ 5555
และ อีกกลุ่มเมนูที่สำคัญ ของของย่างกระทะร้อน คือ กลุ่มขนมที่ทำจากแป้งค่ะ
มีทั้งแบบย่างกระทะร้อน แบบแบน และ ย่าง กระทะร้อน ที่เป้นรูปแม่พิมพ์
โดยพื้นฐานแล้ว เอสว่าชาวไต้หวันทำแป้งได้เก่งค่ะ มีเนื้อละเอียด นุ่ม ประกอบกับเทคนิคการย่างที่ดี ส่วนที่สัมผัสกระทะจึงกรอบ ไส้ก็ไม่หวานเท่าเมื่อเทียบกับของบ้านเรา สรุปคือ อร่อยค่ะ !!!
ส่วนเมนูที่ไม่ใช่ ของทอด หรือ ของย่าง ที่เอสต้องขอพูดถึง คือ เมนูนี้ค่ะ
เป็นลูกชิ้นปลา นำมาทอดก่อน และ ต้มเคี่ยวในน้ำแกงรสจัด น้ำแกงของที่นี่ จะมีน้ำแกงกะหรี่ สีเหลือง และ น้ำแกงเครื่องยาจีนรสเผ็ด สีดำค่ะ เมนูนี้ เอสเคยทานที่ ฮ่องกง กับที่ มาเก๊า แต่รสน้ำแกงของที่นั่น จะเผ็ดแหลม และ มันกว่าน้ำแกงของไต้หวันค่ะ
แต่จุดเด่นของเมนูนี้ ของชาวไต้หวัน คือ การนำอาวุธหลักทางรสชาติ ของชาวไต้หวันมาใส่ร่วมด้วย นั่นคือ เครื่องปรุงรสแบบผง ค่ะ
เมื่อนำลูกชิ้นขึ้นจากหม้อน้ำแกง ในขณะที่ยังฉ่ำ และ โรยผงปรุงซึ่งแห้งกว่าลงไป ผงปรุงก็จะดูดน้ำแกงขึ้นมาผสมกับรสชาติของตัวเอง ทำให้รสชาติยิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีก พอกัดเข้าไปคำแรก เหมือนรสชาติที่อัดแน่นนั้น ระเบิดในปาก จนยากที่จะหยุดทานค่ะ
ร้านในกลุ่มที่เป็น เมนูฮิต เหล่านี้ ของชาวไต้หวัน เกือบจะทั้งหมด จะเป็นแผงขายขนาดเล็ก ที่มีทีมงาน 1-2 คน เป็นส่วนมาก ขายอาหารที่เห็นชัด ไม่ซับซ้อน คนที่ใช้ภาษาจีนกลางแทบไม่ได้อย่างเอส จึงสามารถสั่งได้ง่าย โดยการชี้ เลยสามารถลิ้มรสได้ ตั้งแต่คืนแรก ที่ถึงไต้หวันค่ะ
2) เมนูสร้างสรรค์ใหม่ ที่หวังจะสร้างชื่อ และ กลายเป็นเมนูฮิตในอนาคต
กลุ่มนี้ ลักษณะจะคล้ายกลุ่มแรกมาก จนแยกค่อนข้างยากค่ะ ในตอนที่ไปไต้หวันครั้งแรก เอสก็ไม่รู้ว่ามีกลุ่มนี้ซ่อนอยู่ แต่หลังจากที่เอสมีโอกาสไป 3 ครั้ง ในช่วงระยะเวลา 3 ปี และ ไปเดินตลาดกลางคืนทุกครั้งที่ไปเยือน เอสเลยเริ่มสังเกตได้ ว่า มีเมนูอาหารแบบใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาในตลาดค่ะ
ซึ่ง ที่เอสมีโอกาสได้ลิ้มลอง ล่าสุดที่เอสไป เป็นเมนูนี้ค่ะ
เป็นหอย ปรุงรส โรยหน้าด้วยชีส และ นำไปย่างบนตะแกรง โรยด้วยผงปรุงรส รสชาติเข้มข้นของหอยและเครื่องปรุง ปนกับชีสที่กำลังละลาย สำหรับคนชอบทานชีสแล้ว อยากสั่งตัวที่สองเพิ่มทันทีค่ะ ติดปัญหาอยู่เรื่องเดียว คือ มันค่ำแล้วค่ะ !!!
เมนูนี้เอสเจอที่ตลาดลิ่วเหอ (อันดับ 8 ในลิสต์ด้านบน) ที่เมืองเกาสง เพิ่งเคยเจอ เมื่อทริปล่าสุด เมื่อ มีนาคม 2559 ค่ะ
จะเห็นว่า เป็นเมนูที่ใช้วัตถุดิบ จากตะวันตกอย่างชีส เข้ามาเสริมกับเครื่องปรุงท้องถิ่น ทำให้มีกลิ่นอายของอาหารฟิวชั่น ซึ่ง เป็นรูปแบบหนึ่งที่พบบ่อยของเมนูที่เกิดในยุคหลังๆค่ะ
พอเอสมีโอกาสได้เห็นการเกิดขึ้นของเมนูนี้ ทำให้เอสนึกถึง เมนูโปรดของเอส สองเมนูนี้ค่ะ
จะเห็นว่า เมนูทางซ้าย และ ทางขวา เกิดจากองค์ประกอบแบบเดียวกัน คือ เต้าหู้เหม็น และ ผักดอง เพียงแต่เปลี่ยน วิธีการทำอาหาร และ ซอสปรุงรส
เอสคิดว่า เมนูด้านซ้าย ที่เป็นเต้าหู้ทอด น่าจะเป็นเมนูที่เกิดขึ้นมาก่อน เพราะทั้งการทอด และ ซอสปรุงรส ที่เป็นพริกน้ำส้มนั้น เป็นสิ่งที่พบได้ดั้งเดิม ของที่นี่
ส่วนเมนูทางขวา ที่นำการย่างกระทะร้อน และ ซอสบาร์บีคิว มาใช้ รวมถึงการจัดรูปแบบให้เหมือนฮ๊อตดอก มีกลิ่นอายของอาหารแบบฟิวชั่นอยู่บ้าง เอสเลยคิดว่า เมนูนี้ ชาวไต้หวันน่าจะสร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่ และ ได้รับความนิยม จนกลายเป็นเมนูฮิตต่อมาค่ะ
การมีร้านกลุ่มนี้ อยู่ในตลาดกลางคืน แสดงให้เห็นถึงความพยายามคิดค้นและสร้างสรรค์เมนูอาหารใหม่ๆ ของชาวไต้หวันค่ะ และ สิ่งนี้ทำให้เอสได้เห็นอีกอย่างหนึ่งคือ สมรภูมิอาหาร ตลาดกลางคืน ของไต้หวันนั้น ดุเดือดแค่ไหน การที่จะแทรกตัวเข้ามาอยู่ได้นั้น ไม่ง่ายเลยค่ะ
ร้านในกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นแผงขายขนาดเล็ก ที่มีทีมงาน 1-2 คน เช่นกัน และ ส่วนใหญ่คนขายจะอายุยังไม่เยอะค่ะ เราสามารถสั่งได้ง่าย เหมือนกับร้านในกลุ่มที่ 1) ค่ะ ร้านในกลุ่มนี้ และ ในกลุ่ม 1) จะอยู่ปนๆกัน ในตลาดกลางคืนค่ะ ซึ่ง หากไปเดินแล้ว เห็นร้านไหนน่าอร่อย ก็สามารถลองลิ้มรสกันได้ แต่อย่าเพิ่งอิ่มก่อนเจอกลุ่มถัดไปนะคะ
3) เมนู ร้านดังดั้งเดิม ประจำถิ่น
กลุ่มนี้ สำหรับเอส ถือว่าเป็นไฮไลท์ ในการเดินตลาดกลางคืนในไต้หวันค่ะ
หากเราไปเดินที่ตลาดกลางคืน เราจะเริ่มสัมผัสได้ ว่า จะมีบางพื้นที่ที่คนแน่นเป็นพิเศษ บรรยากาศเริ่มกดดัน จนเราที่เป็นชาวต่างถิ่นเริ่มรู้สึกอึดอัด ไม่กล้าเข้า
หากเจอบรรยากาศประมาณนี้ นั้นแปลว่า ใช่แล้วค่ะ เรากำลังเข้าสู่ร้านที่เอสรู้สึกว่า เป็นไฮไลท์ของแต่ละตลาดกลางคืนที่กำลังเดิน
ร้านกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ จะไม่ใช่แผงแบบซื้อแล้วเดินไปกินไป แต่จะเป็นร้านที่มีพื้นที่ใหญ่กว่า มีโต๊ะให้นั่ง และ เราจะพบว่าแต่ละโต๊ะนั้นอัดแน่นไปด้วยผู้คน จนต้องต่อคิวเข้าไปกินกันทีเดียว
ร้านกลุ่มนี้ เท่าที่เอสสังเกต แต่ละตลาดกลางคืนจะขายอาหารที่แตกต่างกันค่ะ และ อาหารเป็นลักษณะอาหารจานหลักที่สามารถทานให้อิ่มได้ ต่างกับอาหารกึ่งของทานเล่นแบบสองกลุ่มด้านบน
นั่นหมายความว่า เราอาจเจอร้านดัง ประจำแต่ละท้องถิ่นให้แล้ว
จากเหนือสุด ที่จี่หลง (อันดับ 5 ในลิสต์ด้านบน) เราจะพบร้านลักษณะนี้ ขายซุปทะเล ที่มีลักษณะน้ำข้น มีมันเยอะหน่อย เหมาะสำหรับอากาศหนาวค่ะ (วันที่เอสไป ฝนตก และตลาดเพิ่งเปิด คนเลยน้อยอยู่ค่ะ)
น้ำซุปร้อนๆใส่ปลาหมึกทอด ทานกับหมี่เหลือง ตัดรสด้วยซอสเปรี้ยวและพริกน้ำส้ม ฟินอย่างแรงค่ะ
น้ำซุปหนักแบบซุปของกระเพาะปลาบ้านเรา ใส่เห็ดและเนื้อปู ทานกับข้าวแบบข้าวบ๊ะจ่าง ตัดรสด้วยพริกน้ำส้ม ของสดหวานอร่อย เหมาะกับอากาศที่ค่อนข้างหนาวของที่นั่นค่ะ
พอมาใต้สุด ที่เกาสง ตลาดรุ่ยฟง (อันดับ 7 ในลิสต์ด้านบน) เราจะพบกลุ่มร้านที่ขาย อาหารจานร้อนแทน (เอสไปตอนช่วงพีค คนแน่นแทบจะหายใจไม่ออก เลยอดได้ลองค่ะ)
เนื่องจาก มีพื้นที่ใหญ่กว่าร้านในกลุ่มอื่น และ ยังขายอาหารที่เป็นจานหลัก ต่างกับอาหารกึ่งทานเล่นแบบกลุ่มอื่น เอสเดาว่า ร้านกลุ่มนี้ น่าจะเป็นกลุ่มร้านที่อยู่มาก่อน จนพื้นที่เหล่านั้นกลายเป็นพื้นที่ที่คนในท้องถิ่นนิยมมาหาของกินในยามค่ำ จนเริ่มมีแผงขายอาหารมาตั้ง และเกิดเป็นตลาดกลางคืนตามมาก็เป็นได้ค่ะ
ถึงแม้ว่า อาหารที่ขาย จะเป็นแบบจานหลัก แต่ส่วนใหญ่ร้านในกลุ่มนี้จะลดปริมาณลง เมื่อเทียบกับร้านอาหารมื้อหลักทั่วไปนอกตลาดกลางคืน ให้เหลือปริมาณประมาณ "ครึ่งอิ่ม" เอสเดาว่า คงเป็นการปรับตัวตามวัฒนธรรมการกินของคนที่เข้ามาหาของอร่อยๆทานในตลาดกลางคืน ที่ไม่นิยม "จบในร้านเดียว" ค่ะ
ซุปลูกชิ้นปลาสดกรอบ ใส่ผักตั้งโอ๋ เป็นซุปใส แต่มีรสพริกไทยเล็กน้อย และ ใส่ต้นหอมโรย ที่ตลาดลิ่วเหอ (อันดับ 8 ในลิสต์ด้านบน) ที่เมืองเกาสง
เมื่อเทียบกับสองกลุ่มด้านบน กลุ่มนี้ถือว่าเข้าถึงยากกว่ามาก โดยเฉพาะ คนที่ใช้ภาษาจีนกลางแบบไม่ได้แบบเอส เพราะเป็นอาหารจานหลักไม่ใช่กึ่งของทานเล่น ทำให้มีความซับซ้อนมากกว่า การสั่งอาหารให้ได้ตามต้องการจึงต้องใช้การสื่อสารที่มากกว่าตามไปด้วยค่ะ
สำหรับคนที่ใช้ภาษาจีนกลางแทบไม่ได้ หากอยากลิ้มรสร้านในกลุ่มนี้ เอสแนะนำว่า ให้ไปถึงตลาดกลางคืนตั้งแต่ช่วงที่เริ่มเปิด (ประมาณ 6 โมงเย็น ถึง 1 ทุ่ม) แล้วหาร้านกลุ่มนี้ ที่มีจุดเด่นคือมีที่นั่งทาน และ ลองมองหาร้านที่พอสั่งได้ดู จากนั้น ลองสั่งทานก่อนเลยตั้งแต่เริ่มตั้งร้าน เพราะการสั่งอาหารของเราจะใช้เวลานานกว่าปกติ (หากเราเริ่มคุ้นเคยกับการสั่งอาหารกับชาวไต้หวัน จากแหล่งวัฒนธรรมการกินในโพสต์ที่แล้ว จะสั่งได้ง่ายขึ้นค่ะ) แต่หากไปสั่งตอนช่วงพีคที่คิวแน่นมากๆ บรรยากาศจะกดดันมากอาจทำให้ลนลานสั่งผิดสั่งถูกได้ค่ะ
และ หลังจากได้ลิ้มรสร้านในกลุ่มนี้แล้ว หากยังไม่อิ่ม ค่อยไปเดินหาร้านในกลุ่ม 1) หรือ 2) ที่ถูกใจทานต่อ ถึงแม้จะเป็นช่วงพีคแต่เรายังสามารถสั่งได้ไม่ยากค่ะ
ตลาดกลางคืนในไต้หวัน ถือเป็นแหล่งวัฒนธรรมการกิน ที่เปรียบเหมือนแหล่งประชันของอาหารในกลุ่มต่างๆ ที่หวังจะมัดใจนักชิมทั้งชาวไต้หวัน และ นักท่องเที่ยวต่างถิ่นอย่างเรา สำหรับคนที่อยากหามื้อพิเศษยามค่ำสักมื้อ ที่นี่เป็นที่ที่ไม่ควรพลาดด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งปวงค่ะ
แหล่งนี้ ถือ เป็นแหล่งวัฒนธรรมการกินของไต้หวัน ที่เอสชอบ และ หลงใหลมากที่สุด ก่อน ! ที่เอสจะพบกับแหล่งในโพสต์ถัดไปค่ะ
แหล่งวัฒนธรรมการกินแบบไหน ที่ทำให้เอสหลงใหลได้มากกว่า ตลาดกลางคืนได้อีก ติดตามโพสต์ต่อไปนะคะ