บุญคืออะไร ?
บุญ คือพลังงานชนิดหนึ่งที่มีความบริสุทธิ์ และมีอานุภาพมาก แม้เราไม่อาจเห็นบุญได้ด้วยตาเปล่าแต่...เรารับรู้ได้ว่าบุญมีจริง โดยสังเกตได้จากเวลาทำความดี ให้ทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา ความรู้สึกปีติ มีความสุข อิ่มอกอิ่มใจ ไหลเข้ามาสู่ใจเรา ทำให้เรารู้สึกสบายใจ นั่นแหละคืออาการที่รับรู้บุญ เปรียบคล้ายๆกับกระแสไฟฟ้า เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเช่นกัน แต่เรารู้ว่ากระแสไฟมีจริงเพราะทำให้หลอดไฟสว่าง ทำให้พัดลมหมุน เป็นต้น ดังนั้น...เราจึงไม่อาจด่วนสรุปได้ว่า สิ่งที่มองไม่เห็นนั้นไม่มีอยู่จริง
อานุภาพของบุญ...
บุญมีอานุภาพยิ่งใหญ่สุดประมาณ ดึงดูดเอาสิ่งดีๆทั้งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ และคุณสมบัติ ให้บังเกิดขึ้นแก่ชีวิตเรา เป็นมิตรแท้ ที่อยู่เบื้องหลังความสุขและความสำเร็จในชีวิตทั้งในปัจจุบันและภพชาติเบื้องหน้า ช่วงไหนบุญส่งผล สิ่งดีๆจะหลั่งไหลเข้ามา ชีวิตมีความสุข สดชื่น เบิกบาน ด้วยความสุขสมหวัง แต่...ถ้าช่วงไหนบุญน้อย หรือหมดบุญ ชีวิตก็จะร่วงโรย อับเฉา สิ่งดีๆ ก็จะพรากจากเราไป เพราะไม่มีกระแสบุญดึงดูดเอาไว้ และถ้าช่วงไหนบาปที่เคยทำไว้ตามมาส่งผล สิ่งเลวร้าย ก็จะตามมาทำให้ชีวิตประสบความลำเค็ญ ความทุกข์ หรืออันตรายต่างๆนานา บุญจึงเป็นสิ่งสำคัญของทุกชีวิต ที่จำเป็นต้องสั่งสมเอาไว้อย่างสม่ำเสมอ มนุษย์เราไม่ได้เกิดมาเพียงแค่ชาติเดียว เราเกิดตายกันมานับไม่ถ้วน สั่งสมทั้งบุญและบาปกันมานับไม่ถ้วนเช่นกัน ชีวิตจึงประสบทั้งความสุขและความทุกข์
ผู้มีปัญญาอย่างแท้จริง
เราใช้บุญทุกวันในการดำเนินชีวิต แต่บุญและบาปต่างรอชิงช่วงในการส่งผลต่อชีวิตเรา ช่วงใดกำลังบุญมากกว่าบุญก็ส่งผล ช่วงไหนบุญหย่อนบาปมีกำลังมากกว่า บาปก็ชิงช่วงส่งผล ดังนั้น ผู้มีปัญญาจึงไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต และหมั่นสร้างบุญสร้างกุศลเก็บออมไว้ โดยไม่รอคอยจนกระทั่งถึงวันที่บาปตามมาส่งผล ชีวิตเป็นของน้อย เมื่อเทียบกับระยะเวลาในวัฏสงสารอันยาวนาน เมื่อจบชีวิตลง ทรัพย์สินเงินทองที่เราทุ่มเทหามาทั้งทั้งชีวิตติดตามเราไปไม่ได้เลย มีแต่บุญกับบาปเท่านั้นที่ติดตามเราไป และ...ผู้มีปัญญาพึงสร้างบุญเท่านั้น เพื่อเป็นเสบียงในการเดินทาง จนกว่าจะหลุดพ้นจากวงจรชีวิตในสังสารวัฏ
ทาน... ความดีที่ทำได้ง่าย
ความดีหรือบุญทำได้หลายประการ หนึ่งในนั้นคือ ทาน ที่พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญและสั่งสอนให้ “สั่งสมทานบารมีให้สม่ำเสมอ ตลอดชีวิต” เพราะทานเป็นเสบียงในการเดินทางในวัฏสงสาร ที่ทำให้การเกิดใหม่ของเรามีความพร้อมในเรื่องทรัพย์สมบัติ ไม่มีแรงกดดันในชีวิตที่ต้องดิ้นรนในการทำมาหาเลี้ยงชีพจนไม่มีเวลามาคิดเรื่องการประกอบบุญกุศลติดตัวไว้ หากเกิดมาในภาวะขัดสนเข็ญใจ อย่าว่าแต่คิดทำบุญเลย คิดจะประคองชีวิตให้รอดไปอีกหนึ่งวันก็ยากแล้ว และหากไม่เริ่มต้นสั่งสมทานบารมีเสียแต่วันนี้ และเราใช้บุญเก่าไปทุกวัน การเกิดใหม่ของเราจะไม่มีกำลังทรัพย์หล่อเลี้ยง และเมื่อคิดปรารถนาจะทำทานสักทีก็กลายเป็นเรื่องยากแสนเข็ญ
หากเราหมั่นสั่งสมทานบารมีในชาตินี้ด้วยความไม่ประมาท เมื่อภพชาติต่อไปพรั่งพร้อมด้วยโภคทรัพย์สมบัติ การทำทานก็เป็นเรื่องง่าย การทำความดีอย่างอื่นเช่น รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา ช่วยเหลือสังคม ช่วยเหลือโลก เราจะทำได้ง่ายและยังสามารถสั่งสมบุญได้มากขึ้นไปอีก พระพุทธองค์จึงทรงสรรเสริญผู้ที่ให้ทานอย่างสม่ำเสมอ
ในบรรดาทานที่ทำด้วยวัตถุสิ่งของนั้น พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญว่า “สังฆทาน” เป็นประมุขของผู้หวังบุญ เป็นทานที่ทำแล้วได้บุญมากที่สุด ได้บุญมากกว่าถวายทานโดยเฉพาะเจาะจง เหล่าพระสงฆ์นั่นแล เป็นประมุขของผู้บูชา เป็นเนื้อนาบุญของชาวโลก และไม่มีเนื้อนาบุญอื่นยิ่งกว่า
อานิสงส์การถวายสังฆทาน
ถวายภัตตาหาร ทำให้เป็นผู้พรั่งพร้อมด้วยเบญจพรธรรม ๕ ประการคือ เป็นผู้อุดมไปด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ
ถวายไตรจีวร ทำให้เป็นผู้มีผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส มีรัศมีออกจากกาย มีฤทธิ์ มีเดช ผิวกายละเอียด นุ่มนวล เมื่อเสวยสุขอยู่ในโลกสวรรค์ ย่อมได้ผ้าทิพย์อันงดงาม ประณีต เมื่อจะบวชในวาระที่บุญบารมีเต็มเปี่ยม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานการบวชให้ จะมีผ้าไตรจีวรมาห่มคลุมกายประดุจเลื่อนลอยมาจากนภากาศ เรียกว่า บวชแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทา
ถวายยา ทำให้มีอายุยืนยาว มีกำลังเป็นเลิศ มหาชนยำเกรง ไม่พลัดพรากจากของรัก มีสุขในทุกสถาน ไม่มีอันตรายมากล้ำกราย ปราศจากสิ่งอัปมงคล เป็นผู้มีเวลามาก และทรัพย์จะไม่สูญเปล่าเพราะความเจ็บป่วย
ถวายปัจจัยไทยธรรม ทำให้เป็นผู้มีทรัพย์มาก สมปรารถนาในทุกสิ่ง
ถวายย่าม ทำให้ทรัพย์คงอยู่อย่างปลอดภัย ไม่เสื่อมไปด้วยเภทภัยใดๆ
ถวายกำลังใจ ทำให้เป็นผู้มีกำลังใจเข้มแข็ง ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ
สืบทอดอายุพระพุทธศาสนา ทำให้มีอายุยืนยาว มีความเจริญรุ่งเรือง สมบูรณ์พร้อมด้วยมนุษย์สมบัติ ทิพย์สมบัติและนิพพานสมบัติ