เอามาจากพันทิปค่ะ เป็นเรื่องราวที่อ่านดูแล้วเห็นว่ามีประโยชน์มาก
สำหรับน้องๆ นักศึกษา หรือใครที่กำลังประสบปัญหาแบบเดียวกันนี้อยู่ ห้ามพลาด
เริ่มเลยนะคะ
ช่วงนี้รู้สึกตัวเองพบเจอกับวิกฤติชีวิตอย่างหนักหน่วงเลยค่ะ วิกฤติที่ว่าคือปัญหาหนี้สิน
เมื่อก่อนเราไม่ใช่คนแต่งหน้าเลย ไม่รู้จักเครื่องสำอางอะไรมากมาย เต็มที่ก็แบรนด์ทั่วๆไป แป้งตลับไม่เคยได้สัมผัสหน้า
เครื่องสำอางแพงสุดที่เราตัดสินใจซื้อ คือบลัชออน ในราคา 400 บาท นอนคิดอยู่เป็นอาทิตย์กว่าจะซื้อ ใช้ทั้งปีก็ลดไปไม่ถึงครึ่ง
ริมฝีปากเราก็แค่ใช้ลิปมันของคุณแม่แท่งละไม่กี่สิบบาท
จนชีวิตเราล่วงเลยมาถึงปีที่ 25 หายนะก็เริ่มคืบคลานเข้ามา...
เริ่มจากเราได้ขายของในเว็บ ขายเสื้อผ้าเก่าๆ กะเอาสนุกๆ โดยที่ไม่เคยเสียเงินซื้อของอะไรในเว็บนี้เลย ขายๆๆอย่างเดียว
จนวันนึงของที่เรามาโพสต์ขายก็เริ่มหมด แต่โดยความเคยชิน เราจะเปิดเข้าเว็บนี้ทุกวัน และพอไม่ได้ขายของ เราก็เริ่มแวะไปดูกระทู้คนอื่น
ว่าเค้าขายอะไรกันบ้าง และเราก็เริ่มรู้จักกับเครื่องสำอางแบรนด์แพงๆมากขึ้น
เราเริ่มรู้แล้วว่าลิปสติกมีกี่แบบ เนื้อแบบไหน มีลิปกลอสลิปสี
แป้งมีหลายประเภท ผสมรองพื้นไม่ผสมรองพื้น แป้งฝุ่น ไฮไลท์
เราเริ่มเพลิดเพลินกับของสวยๆงามๆ หลงใหลไปกับสีสันที่มีมากมายจนเราเลือกไม่ถูก และเราก็เริ่มซื้อของ
ชิ้นแรกที่ซื้อคือลิปกลอส พอได้ของมา เรานั่งทาทั้งวัน และส่องกระจกทั้งวัน อาจจะเพราะไม่เคยใช้ ไม่เคยรู้จัก
เราจึงเริ่มติดใจกับความแปลกใหม่ที่เข้ามาในชีวิต
และชิ้นต่อๆมาก็เริ่มตามมาติดๆ เราเริ่มซื้อแป้ง โดยเราซื้อทุกชนิดที่มันเรียกได้ว่าแป้ง ตอนนั้นเรารู้สึกสนุกกับการได้แต่งหน้า
เขียนคิ้ว ทาปาก และอาจจะเพราะตอนนั้นเรายังทำงานมีเงินเดือนอยู่ เราจึงไม่ขัดสนอะไรมากนัก
ทุกๆวัน เราจะต้องเข้ามาในเว็บนี้ และเปิดดูอยู่ทั้งวัน เพื่อที่จะเฝ้ากระทู้ที่เค้าเอาเครื่องสำอางมาขาย และเราก็เริ่มซื้อแบรนด์ที่แพงขึ้นเรื่อยๆ
เราไม่รู้ตัวเลยว่าเราหมดเงินไปกับเครื่องสำอางเท่าไหร่ เราซื้อๆๆทุกวัน ลิปมีเกือบทุกสี มีทุกเนื้อ บลัชยี่ห้อที่สาวๆนิยม เราก็
หาซื้อมาเป็นเจ้าของแทบทุกสี ยี่ห้อไหนมาใหม่เราก็รีบขวนขวายหามาเป็นเจ้าของ
ทุกๆเช้า เราจะต้องตื่นก่อนออกบ้าน 2 ชม. เพื่อมานั่งชื่นชมกับของสวยๆงามพวกนี้ มานั่งกรีดตา ลงรองพื้น แต้มรอยสิว ปัดแก้มสารพัดเฉดสี
และนั่งอมยิ้มกับสีสันอยู่เพียงลำพัง
โต๊ะเครื่องแป้งอันเก่าเริ่มวางของไม่พอ เราก็เลยซื้อโต๊ะใหม่ เราคิดแต่ว่าโต๊ะเล็กไปสำหรับของของเรา แต่เราไม่เคยคิดที่จะลดปริมาณของลง
ให้พอกับขนาดของโต๊ะ
จนวันนึง ที่เราไม่มีงานทำ เพราะพิษเศรษฐกิจ แต่การใช้จ่ายเพื่อหาซื้อเครื่องสำอางก็ไม่ได้เปลี่ยน เรายังคงตั้งหน้าตั้งตาซื้อต่อไป
และเงินที่เคยเก็บก็เริ่มหมด โดยที่เราก็ยังไม่รู้ร้อนหนาวเท่าไหร่ เราคิดแต่ว่า "ฉันอยากได้""สีนี้ยังไม่มี""อันนี้มาใหม่"
เราหน้ามืดตามัวถึงขนาดที่ว่า เอาโน๊ตบุ๊คไปจำนำ เพื่อมาซื้อเครื่องอาง และนั่งเล่นที่ร้านคอมเอา และนั่นเป็นจุดแรกที่ทำให้เราติดนิสัย
การขายของจำนำของจำเป็นเพื่อเครื่องสำอางที่เราหลงใหล
การเงินของเราเริ่มติดขัด แต่เราก็ไม่เคยตัดใจจากเว็บนี้ จากเครื่องสำอางเหล่านี้ เรายังเข้าไปทุกวัน และยังซื้อของอยู่ทุกวัน
เราเริ่มสั่งของอย่างหน้ามืดตามัวหนักกว่าเดิม อันนั้นก็เอา อันนี้ก็เอา โดยที่เราไม่มีเงินเลย คิดแต่ว่าเดี๋ยวก็หาเงินทัน สั่งๆๆแบบไม่ลืมหูลืมตา
จนช่วงนั้นเปิดอีเมลไป ก็จะเจอแต่เมลทวงเงินของแม่ค้าวันละเป็นสิบๆฉบับ
เมื่อถึงวันต้องจ่าย เราก็หาข้ออ้างสารพัด เดี๋ยวโอนให้นะคะ ติดนั่นติดนี่ หมาป่วยมั่ง รถชนมั่ง ทั้งๆที่ไม่มีเงินเลยและไม่รู้เลยว่าจะหาจากที่ไหน
เราได้แต่ซื้อเวลาไปวันๆ
และเมื่อหาเงินไม่ได้ แต่ของก็ไม่ยอมตัดใจ เราจึงเริ่มทำอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อน ที่ตอนนี้มานั่งคิดแล้ว เรายังสมเพชตัวเองไม่หาย
เราเริ่มโกหกแฟนก่อน ว่านี่นะ เราต้องใช้เงิน แม่เราป่วย แฟนก็ใจดีให้เงินมา เราก็เอาไปจ่ายเค้า และเมื่อได้เครื่องสำอางมา เราก็มีความสุข
ลืมทุกๆเรื่องที่คนอื่นเค้าเดือดร้อน เพราะแฟนเราก็ไม่ได้มีเงินมากมาย และเราก็บอกว่าจะเอาไปคืนเร็วๆนี้ แต่จริงๆแล้วเราก็ไม่มีหรอก
และที่เลวกว่านั้นคือคิดว่าแฟนเรา ไม่ต้องคืนก็ได้มั้ง
และเราก็สั่งของอยู่เรื่อยๆ และทำแบบเดิมคือโกหก รายต่อมาที่เรากุเรื่องเพื่อให้ได้เครื่องสำอางคือแม่เราเอง เราบอกแม่เราว่าแฟนเรารถชน
ต้องใช้เงิน แม่เราก็ใจดีให้เงินมา และบอกว่าไม่ต้องคืนก็ได้นะ ถ้าไม่มี เรายิ่งได้ใจไปโกหกกับแม่บ่อยๆ
ว่าต้องใช้นั่นนี่ และก็มาลงกับเครื่องสำอางแบบเดิม
อาทิตย์นึงๆ เราจะหมดไปกับเครื่องสำอางประมาณ 3-4 พันบาท
ช่วงนี้ญาติเราเริ่มโดนกันถ้วนหน้าค่ะ พี่ชาย พี่สาว ป้าน้าอา เราตามไปยืมเงิน โกหกเค้ากันต่างนานา โกหกไปโดยที่ไม่รู้หรอกว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น
เพราะตอนนี้ครอบครัวเราเริ่มพูดคุยถึงเรื่องเรามากขึ้น ว่าทำไมถึงมีปัญหาเรื่องเงินไม่หยุด แล้วความก็เลยแตกค่ะ เพราะเราโกหกโดยเอาชื่อคนนั้น
ไปอ้างกับคนนี้ คนนี้ไปอ้างกับคนนั้น
สุดท้ายทุกคนก็เลิกให้ความช่วยเหลือเรา และโกรธเรามาก มากจนถึงขนาดที่ว่าแฟนขอเลิกกับเรา เพราะเค้ารับไม่ได้ที่เราโกหกหลอกลวงคน
ในบ้านได้ถึงขนาดนี้
ตอนนั้นเสียใจมาก แต่เสียใจแล้วทำยังไงรู้มั๊ยคะ เรากลับยิ่งซื้อของหนักเข้าไปอีก เราเริ่มเจอเพื่อนบ่อยขึ้น และเราก็รู้สึกว่าเราจะต้องเป็นผู้นำเรื่อง
เครื่องสำอาง ฉันรู้กว่าใครนะ ฉันสวย ฉันแต่งหน้าเก่ง ฉันใช้แต่แบรนด์แพงๆ
และเพื่อนเราก็โดนเราหลอกยืมเงินอีกเหมือนเดิม
มันเป็นวัฎจักรอยู่แบบนี้เป็นปีๆ ยืมคนนั้นมาจ่ายแม่ค้า แล้วก็ยืมอีกคนมาจ่ายเพื่อนคนแรกที่ยืม และก็เหมือนเดิมค่ะ
เพื่อนก็เริ่มรู้ว่าเราโกหก ทุกๆคนเริ่มถอยห่างเรา ตอนนั้นอายนะคะ เพราะเพื่อนฝูงเรากระจายข่าวเร็วมาก
โทรไปเพื่อนก็เริ่มไม่รับโทรศัพท์ และเราก็ไม่ได้เจอเพื่อนอีกเลย
เรายังบ้าซื้อเครื่องสำอางอยู่โดยที่ยังไม่มีงานทำ เราหมกมุ่นอยู่แต่กับของพวกนี้ จนไม่สนใจหาการหางาน
วันๆก็เอาแต่แต่งหน้า และตอนนี้ที่พึ่งเราก็หมดแล้ว เริ่มก็เริ่มหาลู่ทางในการหาเงินใหม่
เราเริ่มกู้นอกระบบ...
จากการแนะนำของคนรู้จักที่ทำงานเก่า เค้าบอกว่าเป็นเพื่อนเค้าอีกทีค่ะ แต่ดอกโหดหน่อยนะ
เพราะมันกู้นอกระบบเค้าก็จ่ายกันเท่านี้แหล่ะ เราก็เออ หน้ามืด อยากได้อ่ะ ไม่รู้ทำไง เอาก็เอา
เริ่มจากกู้ 10000 ก่อน ตามที่ตกลงคือดอกร้อยละ 10 ทำหนังสือสัญญากันชัดเจน แต่เพราะความโง่ของเราค่ะ
ตามหนังสือสัญญา เราต้องส่งดอกทุก 10วัน สรุปคือเดือนนึงจ่ายดอก 3 รอบ แต่เราไปคิดว่า ดอกจะยังอยู่ใน
ร้อยละ 10 คือดอกต่อเดือน 1000 บาท แต่มันไม่ใช่ค่ะ ทุกๆ 10วัน เราต้องจ่ายเค้า 1000 บาท ซึ่งเท่ากับว่า
เราเสียดอกเดือนละ 3000!!! ช่วงนั้นมึนไปเลยค่ะ
เอาล่ะสิ ฉันจะหาเงินจากที่ไหนดี ช่วงนี้เริ่มเครียดแล้วค่ะ และเจ้าหนี้จากที่ตอนคุยกัน ทำสัญญากัน
เค้าใจดีมากๆเลยนะคะ แต่ตอนทวงเงิน มันกลายเป็นอีกแบบแล้ว เราก็เริ่มหลบหน้าเจ้าหนี้ค่ะ เรียกได้ว่าหนีเลย
ช่วงนี้ไปนอนที่บ้านบ่อยขึ้นเพราะไม่อยากอยู่คนเดียว กลัว แต่เราคิดผิดค่ะ เจ้าหนี้ไม่ปล่อยเราง่ายๆ
เริ่มจากเค้าให้เพื่อนคนที่แนะนำโทรมาคุยก่อน ว่าอย่าหนีเลย เงินแค่นี้เอง ไม่คุ้มหรอก เราก็บอกว่าเราไม่มี
จะหาที่ไหนมาให้ ดอกแพงขนาดนี้ เราส่งไม่ไหวแล้ว จ่ายเท่าไหร่ต้นก็ไม่ลดเลย เจ้าหนี้เค้าก็บอกว่า
มันไม่ใช่ธุระของเค้าว่าเราจะหาเงินได้จากไหน เค้าให้เวลา 1 อาทิตย์ค่ะ
เราก็คิดๆๆทำไงดี หันหน้าไปพึ่งใครไม่ได้แล้ว และเริ่มคิดจะเอาของที่มีอยู่ออกมาขาย เพราะตอนนั้นกลัวมากค่ะ
กลัวเค้าจะมาทำอะไรเรา เลยคิดว่า เอาน่า ถ้าไม่ตายคงมีเงินมาซื้อใหม่ได้อีก แต่... มันไม่ง่ายอยากนั้นค่ะ
เราเอาเครื่องสำอางที่มีอยู่ทั้งหมดมาวาง เตรียมถ่ายรูปลงขาย แต่แล้วเราก็มานั่งร้องไห้ค่ะ ตัดใจไม่ได้ อันนั้นก็รัก
อันนี้ก็ชอบ ตัดสินใจอีกที หนี!!! เราไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตจะต้องมาหนีหนี้กับเงิน 10000 บาท
เราเลือกไปอยู่บ้านเพื่อนที่ต่างจังหวัดค่ะ บอกเพื่อนว่าทะเลาะกับแม่ ไม่อยากอยู่ กทมแล้ว เพื่อนก็ใจดีค่ะ
ให้เราอยู่ด้วย
และทั้งๆที่มีหนี้อยู่อย่างนี้ แต่เราก็ยังซื้อของอยู่ค่ะ !! พอเราไปอยู่ต่างจังหวัด เราก็ไม่กลัวแล้ว
เพราะคิดว่ายังไงเค้าก็ตามหาเราไม่เจอหรอก เราเริ่มชวนเพื่อนเข้าเว็บนี้ ชวนเพื่อนซื้อของ
และเราก็บอกเพื่อนว่ายืมเงินซื้อก่อนนะ เดี๋ยวเราเอามาให้ ตอนนี้รอเงินอยู่ และเดี๋ยวเราเอาของลงขาย
ได้เงินเยอะอยู่แล้ว เพื่อนก็ให้ค่ะ เพื่อนเราก็ซื้อบ้างนิดหน่อย นานๆที แต่เราสิคะ ซื้อเกือบทุกวันค่ะ
เพราะเราไม่ได้ทำงาน อยู่บ้านเฉยๆ
จนเรามาอยู่ได้เกือบเดือน เพื่อนเราก็เริ่มบ่นๆเรา เพราะเราไม่ทำงานทำการ นั่งเล่นแต่คอม
แถมยืมเงินเพื่อนไปอีกร่วมๆ 5000 วันๆเอาแต่แต่งหน้า พ่อแม่เพื่อนก็บ่นค่ะ คือถ้าเราเอาเงินที่ยืมจากเพื่อนมาซื้อ
เครื่องสำอาง ไปจ่ายหนี้แทน เราคงไม่ต้องเป็นแบบนี้ แต่เราไม่สำนึกเลยค่ะ พอเพื่อนว่า เราก็ไปอยู่ที่อื่นอีก
และช่วงที่หนีไปต่างจังหวัด เจ้าหนี้ก็ให้เพื่อนเราโทรมาขู่อยู่เรื่อยๆค่ะ หลังๆเราก็บล็อกเบอร์เพื่อนคนนี้
และเราก็ไปอยู่บ้านเพื่อนอีกหลายคน คนละ 3-4 วัน แต่แล้วก็คิดว่ากลับมาทำงานที่ กทม ดีกว่า
เพราะถ้ายังหนีอยู่แบบนี้ก็คงไม่มีวันมีความสุขเลยตัดสินใจกลับมา อยู่กทม แต่ยังหลบเพื่อนกับเจ้าหนี้อยู่นะคะ
เราไปหางานทำ และเราก็ได้งานทำ
เป็นโคโยตี้ค่ะ เราเลือกสมัครแต่งานที่ได้แต่งหน้าแต่งตัว เงินเดือนดีมากค่ะ เราก็เลยเอาเงินไปจ่ายเจ้าหนี้
แต่จากต้น 10000 เราต้องจ่ายเค้าไปเกือบ 3 หมื่นค่ะ เพราะเค้าบอกว่าเราไม่จ่ายดอก ต้องโดนบวกเข้าไปอีกหนี้
หมดแล้ว เราก็เริ่มกลับมาซื้อเครื่องสำอางอีก คราวนี้เริ่มไปที่เคาท์เตอร์
เดินเข้าไปแบบคุณนายเลยค่ะ เหมามาหมดอะไรที่อยากได้ แล้วรูดบัตรเอาแล้วก็กลับมานังภูมิใจกับของใหม่อยู่คนเดียว
แต่ในเว็บเราก็ยังซื้ออยู่นะคะ สรุปคือซื้อทั้ง 2 ทางเลย และพอสิ้นเดือน สลิปก็มาค่ะ ค่าเครื่องสำอางที่เราซื้อ
มาจากเคาท์เตอร์หรูๆพวกนั้น เกือบ 5 หมื่นค่ะ!!! และเราก็ไปอยู่บ้านเพื่อนอีกหลายคน คนละ 3-4 วัน
แต่แล้วก็คิดว่ากลับมาทำงานที่ กทม ดีกว่า เพราะถ้ายังหนีอยู่แบบนี้ก็คงไม่มีวันมีความสุขเลยตัดสินใจกลับมา
อยู่กทม แต่ยังหลบเพื่อนกับเจ้าหนี้อยู่นะคะ เราไปหางานทำ และเราก็ได้งานทำ เป็นโคโยตี้ค่ะ
เราเลือกสมัครแต่งานที่ได้แต่งหน้าแต่งตัว เงินเดือนดีมากค่ะ เราก็เลยเอาเงินไปจ่ายเจ้าหนี้ แต่จากต้น 10000
เราต้องจ่ายเค้าไปเกือบ 3 หมื่นค่ะ เพราะเค้าบอกว่าเราไม่จ่ายดอก ต้องโดนบวกเข้าไปอีก หนี้หมดแล้ว
เราก็เริ่มกลับมาซื้อเครื่องสำอางอีก คราวนี้เริ่มไปที่เคาท์เตอร์ เดินเข้าไปแบบคุณนายเลยค่ะ เหมามาหมดอะไรที่อยากได้
แล้วรูดบัตรเอาแล้วก็กลับมานังภูมิใจกับของใหม่อยู่คนเดียว แต่ในเว็บเราก็ยังซื้ออยู่นะคะ สรุปคือซื้อทั้ง 2 ทางเลย
และพอสิ้นเดือน สลิปก็มาค่ะ ค่าเครื่องสำอางที่เราซื้อมาจากเคาท์เตอร์หรูๆพวกนั้น เกือบ 5 หมื่นค่ะ!!!
ชีวิตเราวนเวียนกับการซื้อของอยู่อย่างงี้ ในคอนโดเรา เต็มไปถุงของแบรนด์ต่างๆ
เรามีโต๊ะเครื่องแป้ง 2 ชุด+กับตู้ไว้ใส่เครื่องสำอางอีก 1 ตู้ใหญ่ค่ะ เป็นตู้แบบเป็นชั้นๆ เลิกงานมาเกือบเช้า
เราก็นอนและตอนบ่ายๆเราก็ตื่นมานั่งลองเครื่องสำอางสีใหม่ ถึงตอนนี้เรียกได้ว่า เรามีเครื่องสำอางหลายร้อยชิ้นแล้วค่ะ
และก็เป็นเหมือนเดิมอีกคือ บัตรโดนตัด ทีนี้ทำยังไงดี เพราะเงินที่กู้มาดอกยังส่งเค้าไม่ไหวเลย
จะเอาเงินไหนมาตัดบัตร เจ้าหนี้ก็มาทวงที่ทำงานบ่อยเลยค่ะ เราอายเค้ามาก แต่ไม่รู้จะทำยังไงดี
และเจ้าหนี้เค้าก็เสนองานให้เราค่ะ ให้ เราไปขายตัวค่ะ เพราะเค้าก็ทำธุรกิจด้านมืดด้านนี้อยู่แต่เราไม่ยอม
เพราะตอนนี้ถึงเราจะทำงานกลางคืน เราก็ไม่เคยขายตัวนะคะ เต็มที่ก็นั่งคุย เราทำใจไม่ได้หรอกค่ะ
และเค้าก็บอกว่าถ้าไม่ขายตัวจะเอาเงินไหนมา จ่ายเค้า รวมดอกก็เป็นแสนๆแล้ว และอย่าคิดหนีอีกนะ
เค้าไม่ปล่อยเราแน่ ช่วงนี้นอนร้องไห้ทุกวันเลยค่ะ เราก็ไปอ้อนวอนเค้า ว่าขอเวลาเราหน่อยนะ เราไม่หนีหรอก
เราจะรีบทำงานหาเงินใช้หนี้ให้ เค้าบอกว่างั้นเอางี้ เอารถไปไว้กับเค้า จ่ายเงินหมดแล้วค่อยมาเอาคืนไปสุดท้ายรถเราก็ไปอยู่กับเค้าค่ะ
ช่วงนั้นเหมือนสติเริ่มกลับมาแล้วค่ะ เพราะเราลำบากมากที่ต้องเดินออกมาขึ้นรถเมล์ไปทำงานทุกวัน
เลิกงานดึกๆเราก็ต้องนั่งแท็กซี่ ชีวิตช่วงนั้นเหมือนตกนรกเลยค่ะ คิดถึงแม่มาก แต่เราไม่กล้าไปบอกเค้า
ไปปรึกษาเค้า เพราะเราทำให้เค้าเสียใจมามาก เรื่องทั้งหมดมันเกิดจากเราเองค่ะ เราจึงต้องก้มหน้ารับกรรมไป
ช่วงนี้เราหยุดซื้อเครื่องสำอางแล้ว เพราะเงินไม่มีเลย แต่เราก็ยังไม่ยอมขายค่ะ เราเก็บไว้ทุกชิ้นเลย
บางทีนั่งมองแล้วก็มาร้องไห้ เพราะของพวกนี้ใช่มั๊ยที่ทำให้ชีวิตเราเป็นแบบนี้ แต่เราก็ทำใจขายไม่ได้ค่ะ
และเราก็หาเงินไม่ทัน เราเริ่มเอามือถือไปขาย เอากระเป๋าแบรนด์ไปขาย เพื่อไว้ใช้จ่ายและใช้หนี้ เพราะช่วงหลังๆ
ลูกค้าน้อยลง เราจึงไม่ค่อยได้ทิป เหลือเงินเดือนอยู่แค่หมื่นปลายๆ แค่ดอกเงินกู้ก็จ่ายไม่พอแล้ว
ตอนนี้แหล่ะค่ะที่เราไม่ได้ส่งดอก ประมาณเดือนนึง และเจ้าหนี้ก็มาทวงทุกวัน ให้เวลาเรา 3 วัน
ไม่งั้นเค้าจะเอารถเราไปขาย เราเครียดมาก มากถึงขนาดที่ว่า เรากินยาฆ่าตัวตาย
เพราะคิดว่าเรามีชีวิตท่ามกลางหนี้สินแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว แต่เราก็ไม่ตาย เพราะเรากินยาเข้าไปไม่เยอะ
เราจึงแค่หลับไปหลายวัน และตื่นมาด้วยความทรมาน เพราะเท่ากับว่าเราขาดงานไปหลายวัน
และมันก็เลยวันที่เจ้าหนี้กำหนดแล้ว เราไปอ้อนวอนให้เจ้าหนี้ ลดหย่อนให้เราหน่อย เห็นใจเราบ้าง
เพราะเราก็ไม่คิดหนีแล้ว แต่ตอนนี้เราหาเงินไม่ทันจริงๆ เรากราบเท้าเค้าเลยนะคะ เพราะรถเราเพิ่งผ่อนไปไม่กี่เดือน
เค้าก็โอเคค่ะ และเราก็กลับมาทำงานอีก แต่ชีวิตก็ยังเหมือนเดิม คือยังไงมันก็ไม่พอค่ะ
และตอนนี้ก็มีผู้ชายคนนึงมาติดพันเราค่ะ เค้าเป็นลูกค้าที่ร้าน มาเฝ้าเราทุกวัน เราจึงเล่าทุกอย่างให้เค้าฟัง
เพราะเราไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครแล้ว เค้าก็บอกว่าจะให้เงินเราไปจ่ายหนี้ทั้งหมด ทั้งเงินกู้ทั้งบัตรเครดิต
แลกกับที่เราไปเป็นเมียเก็บเค้าเรายอมค่ะ ตอนนั้นเรา เหมือนมืดไปแปดด้าน คิดอะไรไม่ออก สติไม่อยู่กับตัวแล้ว
คิดแต่ว่าฉันอยากปลดหนี้แล้ว เพราะตอนนี้เราเริ่มมีอาการทางจิตนิดๆแล้วค่ะ เพราะเราเครียดมาก
พอมีคนมาเสนอแบบนี้เราก็เลยเอา เค้าให้เราเลิกทำงานแบบนี้ ไปอยู่ที่บ้านอย่างเดียว ห้ามออกไปไหน
คือชีวิตอยู่สุขสบายมากค่ะ อยากได้อะไรก็ได้ แต่ความรู้สึกของการใช้ชีวิตมันไม่มีเลย เราเริ่มเครียดขึ้นเรื่อยๆ
เริ่มกินยานอนหลับทุกวัน และเราก็เริ่มเบื่อค่ะ เริ่มออกไปหาเพื่อน พอเค้ารู้เค้าก็โกรธ ขนเสื้อผ้าเราออกมาโยนทิ้ง
และพูดจาถากถางเรา ว่าที่เราสบายแบบนี้เพราะเค้า จะทำอะไรนอกเหนือคำสั่งเค้าไม่ได้ และเราก็ต้องไปขอโทษเค้า
เพราะถ้าเราเลิกกับเค้าไป เราจะอยู่ยังไง งานไม่ได้ทำ แก่ตัวลงทุกวันๆ เราจะไปทำอะไรกิน เราเลยยอมเค้าค่ะ
ตามใจเค้าทุกอย่าง และในขณะเดียวกัน เราก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองผิดปกติแล้ว
เราเริ่มซึมค่ะ แต่ละวันๆที่ตื่นขึ้นมา รู้สึกแต่ว่าอยากตาย ไม่ออกไปไหนเลย จากที่ชอบช็อปปิ้ง เราก็ไม่ไปเลย
เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง นอนร้องไห้ทุกวัน บางทีก็หยิบเครื่องสำอางมาดู เอามาแต่งหน้าตัวเองเหมือนคนเสียสติ
เค้าก็เริ่มไม่ค่อยมาหาเราค่ะ เค้าบอกว่าเราเหมือนคนบ้า เราไม่ค่อยพูดกับเค้า แอบอยู่แต่ใต้ผ้าห่ม
และเค้าก็เริ่มห่างออกไปๆ เงินจากที่เคยให้ก็เริ่มน้อยลงๆ
และเค้าก็ทิ้งเราไปค่ะ พร้อมกับไล่เราออกมาจากบ้าน ยึดรถไปด้วย เอาไปให้เด็กคนใหม่ใช้ ตอนนั้นเราเคว้งมาก
อยากจะนอนให้รถทับอยู่ตรงนั้นเลย
เราเดินร้องไห้ไปเรื่อยๆ และเราก็กลับมาบ้าน พอแม่เห็นสภาพเราเค้าร้องไห้เลย เค้าไม่ว่าอะไรเราซักคำเลยนะคะ
รีบพาเราเข้าบ้าน และเราก็ไม่ดีขึ้นเลย เอาแต่เก็บตัว และอาการเริ่มหนักขึ้นๆ
เราฆ่าตัวตายอีกรอบ และคราวนี้ก็หนักกว่าคราวที่แล้วมากค่ะ เพราะเราใช้มีดกรีดๆๆ จนเลือกไหลออกมาเยอะมาก
และพอตื่นมาเราก็ซึม เหม่อลอยอาการทางจิตเราเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ ที่บ้านเลยตัดสินใจพาเราไปหาจิตแพทย์
หมอบอกว่าเราเป็นโรคศึมเศร้า เรารักษาตัวเองอยู่ประมาณปีกว่าๆอาการเราก็ดีขึ้น เราเริ่มเข้าสังคม
ไปสมัครงาน เริ่มทำกิจกรรมกับคนในครอบครัว และการตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิตค่ะ
เราเอาเครื่องสำอางที่มีอยู่ทั้งหมดไปบริจาค บางส่วนให้พี่น้อง ให้ญาติ ให้เพื่อน
และตอนนี้เราก็หายเป็นปกติแล้วค่ะ ด้วยความรักจากครอบครัว เพื่อน ทุกคนไม่โกรธเราและพร้อมให้อภัยเรา
พอนึกย้อนไปแล้ว เรายังคิดว่าเราเลวมากเลย หลอกได้แม้กระทั่งแม่ตัวเอง และมันคงเป็นเวรกรรมที่เราสมควรได้รับ
จากผู้หญิงบ้านๆคนนึงที่ไม่เคยรู้ความหมายของเครื่องสำอาง ก็มาเป็นหญิงสาวที่เริ่มแต่งหน้าแต่งตัว
และกลายไปเป็นผู้หญิงที่วันๆเอาแต่แต่งเนื้อแต่งตัว และถึงขนาดไปเป็นเมียเก็บเค้า เพราะความอยากสวยอยากงาม
เรายังอยู่คนเดียวอยู่เลยค่ะ แฟนยังไม่มี เพราะเราสงสารผู้ชายคนที่เข้ามา ที่เค้าจะต้องมาได้ผู้หญิงอย่างเรา
ผู้หญิงที่เคยเป็นเมียเก็บเค้า เพราะบ้าเครื่องสำอาง แค่คิดมันก็ไม่น่าให้อภัยแล้ว
ตอนนี้เราเปิดร้านเล็กๆกับครอบครัวค่ะ มีความสุขดี ชีวิตเรียบง่ายแต่อบอุ่น และทุกวันนี้เรายังเข้าเว็บนั้นอยู่นะคะ
แต่เข้าไปทักทายตามภาษาคนคุ้นเคย ไม่ได้ซื้ออะไรแล้ว
ตอนนี้เราไม่ใช้เครื่องสำอางอะไรเลยค่ะ เรามีแต่แป้งฝุนกับลิปมันเป็นเพื่อน วันๆทำแต่งาน
เดินผ่านเค้าท์เตอร์เครื่องสำอางก็นึกยิ้มๆกับตัวเอง ว่าของพวกนี้สินะ ที่ทำชีวิตฉันเลวร้ายได้ขนาดนี้
แต่เรื่องราวทั้งหมดที่เกิด เราไม่โกรธใครหรืออะไรเลยนะคะ ทั้งหมดมันอยู่ที่เรา อยู่ที่ความอยากเรา
ถ้าเรารู้จักมีสติ มองเรื่องอื่นๆในชีวิตสำคัญมากกว่าความอยากของตัวเองซะบ้างก็คงไม่เป็นแบบนี้
มาถึงตอนนี้แล้วต้องขอขอบคุณทุกๆท่านที่แวะเข้ามาอ่านและให้กำลังใจกันอย่างล้นหลามนะคะ
ไม่คิดว่าจะมีคนเข้ามาอ่านเยอะขนาดนี้ ขอบคุณที่ช่วยกันโหวต
เราคิดแค่ว่าอยากให้เรื่องของเราเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่อ่านบ้างไม่มากก็น้อย
เพราะไม่อยากให้ใครต้องมาเผชิญเรื่องเหล่านี้เหมือนเรา
หวังว่าใครที่ได้อ่าน จะเอาประสบการณ์ชีวิตของเราไปเป็นเครื่องเตือนใจกันนะคะ
เพราะเราเข้าใจว่านิสัยหญิงๆแบบเราๆมันเป็นยังไง เวลาอยากได้อยากมีมันห้ามกันลำบากแค่ไหน
แต่ขอให้คิดว่าความอยากได้แบบนี้ที่มันจะไม่ทำร้ายเราและคนรอบข้าง ใครๆก็อยากสวย อยากรวย
อยากมีกันทั้งนั้นแหล่ะค่ะ อยู่ที่เราเลือกจะมีแบบไหนดี
และถ้าใครที่กำลังมีปัญหาอยู่ ขอให้นึกถึงครอบครัวเอาไว้ให้มากๆนะคะ
ไม่ว่าเราจะทำเรื่องอะไรเลวร้ายมามากขนาดไหน ที่สุดท้ายที่ปลอดภัยยที่สุดก็คือบ้านเรา
และที่นี่พร้อมต้อนรับเราเสมอ
เฮ้อ พอได้โพสต์แล้วเหมือนได้ทบทวนเรื่องราวชีวิตเลยค่ะ ตอนโพสต์นี่ก็น้ำตาไหลพรากๆ
ไม่คิดว่าชีวิตเราจะเจออะไรมาเยอะขนาดนี้ และปนไปด้วยความดีใจ ที่เรายังมีชีวิตอยู่รอดมาถึงทุกวันนี้
เพื่อได้มาเห็นโลก และได้อยู่ช่วยให้กำลังใจใครๆได้ในยามที่เค้าท้อแท้
ขอบคุณและยินดีที่ได้รู้จักทุกๆท่านอีกครั้งนะคะ เรื่องราวก็จบลงแต่เพียงเท่านี้ค่ะ แต่ชีวิตยังต้องเดินต่อไป
และคิดว่าต่อจากนี้จะใช้ชีวิตแบบมีสติมากกว่าที่แล้วๆมา สวัสดีค่ะ
.
.
.
.