หน้าที่ของความเป็นมนุษย์คืออะไร

ปกติมนุษย์ นั้นต่างกับสัตว์อื่นๆในอบาย มีสัตว์เดรัจฉาร เป็นต้น
ในฐานะที่เรารับรู้มองเห็นสัตว์เดรัจฉารได้ ก็จะขอยกเรื่องสัตว์เดรัจฉารมาเป็นตัวอย่าง

สัตว์ในอบายนั้น ชื่อว่ามีสัญญา ๓ เท่านั้น ได้แก่

๑.กามสัญญา ได้แก่ การรู้จักการกิน การถ่ายทุกข์หนักทุกข์เบา
การสืบพันธุ์ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ ไม่ต้องสอน...เป็นเองทั้งนั้น...
ดูลูกสัตว์เล็กๆที่แรกเกิด ก็แสวงหานมแม่มาดื่มแล้ว ตายังไม่ลืมด้วยซ้ำ
อาศัยจมูกดมกลิ่น ก็รู้กลิ่นของแม่ รู้น้ำนมแม่ว่ากินได้....
อาศัยสัมผัสก็รู้ว่านี้เป็นแม่... ปวดหนักปวดเบา
ไม่ต้องมีแม่สอน ...ทำได้เอง..เหล่านี้ ชื่อว่า
แม้สัตว์ในอบาย ก็มีสัญญานี้เหมือนๆกัน

๒.โคจรสัญญา คือรู้ที่ไปที่มา รู้จำได้ว่านี้เป็นคูหา
เป็นคอกของตน เป็นแหล่งพักพิงของตน..ที่ตรงนั้นจะมีของกิน...
ที่ตรงนี้จะเป็นที่เที่ยวเล่น ...ที่ตรงโน้นเป็นที่ถ่ายทุกข์..
เหล่านี้ สัตว์ทั้งหลายย่อมมีเหมือนกันทั้งสิ้น

มรณสัญญา คือ ความกลัวตาย สัตว์ในอบายทุกรูปทุกนาม
แม้เป็นสัตว์ที่กำลังเสวยความทุกข์เดือดร้อนแสนสาหัส
ก็ปรากฏความกลัวแผ่ซ่านเต็มหัวใจ ที่กลัวนั้น
คือ กลัวตายเป็นที่สุด เหล่านี้ ก็มีเสมอกันทุกรูปทุกนาม

ส่วนมนุษย์นั้น ชื่อว่า เป็นสัตว์ในสุคติภูมิ ...
อันเป็นภูมิที่มีความสุขมากกว่าสัตว์ในอบาย
คือมีทั้งสุขทั้งทุกข์คละเคล้ากันไปก็จริงอยู่...
แต่โดยมาก โดยสภาวะก็ชื่อว่า เป็นสุข..ส่วนมนุษย์
ที่เป็นทุกข์กันนั้น มักมาจากจากทุกข์ของกิเลส ....
ภูมิที่มนุษย์ อยู่โดยมาก จึงเป็นที่ๆมีความสุขมากกว่าอบาย

มนุษย์ แม้จะเป็นสัตว์ในสุคติภูมิ แต่กระนั้นสัญญาทั้ง สาม ประการ
นั้นก็ปรากฏด้วยไม่มีข้อยกเว้น

มนุษย์ จึงต่างกับสัตว์เดรัจฉาร และสัตว์ในอบาย.... ตรงสัญญาประการที่สี่ อันเป็นประการสำคัญ คือ

๔. ธัมมสัญญา ...มนุษย์จึงชื่อว่า ประเสริฐกว่าสัตว์ในอบายเพราะ
มีสัญญาประการที่สี่ ได้ คือ ธัมมสัญญา อันได้แก่ ความรู้ในบาปในบุญ
ในความชั่ว ความดี เป็นต้น สามารถพัฒนาความดีให้ยิ่ง ๆ ขึ้น
ด้วยการสั่งสมเพาะบ่มธัมมสัญญานี้ให้หนักแน่น ยิ่ง ๆ ขึ้นนั่นเอง
มนุษย์บางบุคคล จึงสามารถพัฒนาตนเองเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐยิ่งในโลกทั้งสาม
เข้าถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เพราะอำนาจของธัมมสัญญานี่เอง

ดังนั้น ต่อข้อถามที่ว่า "หน้าที่ของความเป็นมนุษย์คืออะไร" จึงแสดงเรื่องสัญญาทั้งสี่ประการ
ให้ท่านผู้ถามได้เกิดการวินิจฉัย ว่า หน้าที่ของมนุษย์ที่แท้จริง คือ อะไร?

การกิน การนอน การสืบพันธ์ การกลัวตาย เป็นสิ่งที่ไม่ต้องสอน
มนุษย์ก็ไม่ต่างจากสัตว์ในอบาย..แต่การศึกษา การเล่าเรียน
การทำงานที่เป็นประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน การฟังธรรม
การแยกแยะความดี ความชั่ว การเลือกทำแต่ความดี
การเว้นจากบาปการเบียดเบียนผู้อื่น การทำหน้าที่ของตนในฐานะแห่งตน
ให้สมบูรณ์เช่นรู้หน้าที่ที่ตนพึงกระทำ
การพัฒนาตนเองให้ขึ้นสู่ความดีอันยิ่ง...เหล่านี้
คือหน้าที่ของผู้ที่เป็นมนุษย์อย่างแท้จริง

ส่วนมนุษย์ที่ได้อัตภาพแห่งความเป็นมนุษย์ แต่ไม่ได้ชื่อว่ามนุษย์ ก็มี ได้แก่

๑.มนุสนิรโย คือ ร่างกายเป็นมนุษย์ แต่หาธัมมสัญญาไม่ได้แม้แต่น้อย
มีอัธยาศัยที่เป็นคล้ายสัตว์นรก มากด้วยโทสะเหลือหลาย
มีความโหดเหี้ยมร้ายกาจ ดุจดังสัตว์นรกมาเกิด
หรือ เป็นสัตว์นรกในคราบของมนุษย์ทีเดียว

๒.มนุสเปตโต คือ มนุษย์แต่ร่างกาย แต่จิตใจมากด้วยโลภะ
มีความทะยายอยาก คล้ายผู้หิวกระหายไม่เลิกรา
กระทำการทุกอย่างเพราะความต้องการ
คือ ความชอบใจของตนเองโดยไม่คำนึงถึงความชอบธรรมแต่อย่างใด
มีการคดโกงทุจริต เบียดเบียนผู้อื่นมากมาย เป็นผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเปรต
ในคราบมนุษย์ทีเดียว

๓.มนุสดิรัจฉารโน ก็ได้แก่แก่ สัตว์เดรัจฉารในคราบมนุษย์ มากด้วยโมหะโดยแท้
มีความส่ำส่อนทางเพศ เป็นอยู่คล้ายสัตว์เดรัจฉาร ที่เรียกว่า
เป็นอยู่ราวกับพวกปศุสัตว์ สมสู่คละเคล้ากันไป
ประกอบเพียงสัญญาสามเบื้องต้นโดยปราศจากหิริโอตตัปปะ
หาความเป็นผู้มีธัมมสัญญาไม่ได้ทีเดียว

จากข้อความทั้งหมดนี้ ขอเราท่านทั้งหลายตระหนักถึงความสำคัญ
แห่งความเป็นมนุษย์ หน้าที่อันพึงกระทำ ที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินไป
พร้อมๆกับธัมมสัญญา โดยมีการศึกษาเรียนรู้ การฟังธรรมจากบัณฑิต เป็นเบื้องต้น
เพื่อก่อสร้างศรัทธาในคุณงามความดีให้แก่ภายในตนให้ยิ่งๆขึ้นไป