เก่งมาก เก่งสุดๆ เลย ดีใจด้วยนะครับ เลือกอะไรก็ได้ที่เราชอบ ไม่มีคำว่าผิดพลาดแน่นอนเมื่อเราตัดสินใจไปแล้วตั้งใจทำให้ดีที่สุดนะครับ (คุณพ่อ คุณแม่คงปลื้มน้ำตาไหลเลยนะครับเนี่ย มีลูกเก่งๆแบบนี้)
เก่งมาก เก่งสุดๆ เลย ดีใจด้วยนะครับ เลือกอะไรก็ได้ที่เราชอบ ไม่มีคำว่าผิดพลาดแน่นอนเมื่อเราตัดสินใจไปแล้วตั้งใจทำให้ดีที่สุดนะครับ (คุณพ่อ คุณแม่คงปลื้มน้ำตาไหลเลยนะครับเนี่ย มีลูกเก่งๆแบบนี้)
เช้าฟาดผัดฟัก เย็นฟาดฟักผัด
อนาคตของเราเอง เลือกสิ่งที่เราอยากเป็นน๊า...
ช้าไปไหมคะ อยากบอกว่า เลือกอันไหนก็ตาม พยายามทำให้ดีที่สุดค่ะ เพราะทั้งสองอาชีพช่วยเหลือคนทั้งคู่ เป็นกำลังใจให้ค่ะ![]()
************************
Time is like a river. You can not touch the same water twice,
So enjoy every moment of life...
มีลูกสาวเก่งอย่างนี้ พ่อ-แม่ปลื้มตาย.. ฝากแสดงความยินดีกับคุณพ่อ-คุณแม่ด้วยนะคะ
ทุกอย่างมีดี มีร้ายค่ะ จะเล่าให้ฟัง แล้วเลือกที่เหมาะสมกับตัวเองนะคะ
1..การเรียน การทำงาน หมอโหดกว่าหมอฟันแน่นอน
ที่สำคัญต้องอยู่เวร และเมืองไทยใช้งานหมอโหดมาก ต้องทำงานติดต่อกัน 36 ชั่วโมงรวด แม้วันหยุดก็ต้อง round word การลางานแต่ละครั้งต้องเคลียร์งานเหล่านี้กับเพื่อนให้ได้ ไม่งั้นถูกตราหน้าตลอดกาล
หมอฟันไม่ต้องอยู่เวร ไม่มีผู้ป่วยใน
2..งานของหมอฟันอยู่ในวงแคบกว่า ทางเลือกมีน้อย
การทำงานที่เป็นdisease จริงๆน้อย ทางเลือกอื่นๆ เช่น จัดฟัน ฟันปลอม ขึ้นอย่กับความพึงพอใจของลูกค้า ถ้าเป็นคนที่เจรจาไม่เก่งจะรุ่งยากมาก ที่สำคัญขณะทำงานลูกค้าพูดไม่ได้ด้วย
งานหมอเป็นการรักษามีเยอะกว่า และได้พูดคุยตลอดเวลา
3..หมอฟันกะหมอผ่าตัด อายุการใช้งานสั้น พอเริ่มสายตายาวการงานก็ไม่เนียนเหมือนหนุ่ม-สาวแล้ว ขณะที่หมอเด็ก -อายุรกรรม ยิ่งแก่ยิ่งเขี้ยว
การมีงานทำตอนแก่สำคัญนะคะ...คนแก่ขอเตือน...
หนทางในวิชาชีพนี้อีกยาวไกลค่ะ การสอบได้เป็นเพียงจุดเริ่มนะคะ รับรองการเรียน ความขยันก่อน entrance จิ๊บๆ แต่เครียดน้อยกว่าเพราะไม่ต้องแข่งกับคนอื่นแล้ว
ต่างๆนาๆ ดังกล่าวมาแล้ว เจ้าลูกชายป้าเองก็เลือกเรียนหมอค่ะ....ทุกวันนี้ก็ยัง happy ดี ยังไม่กลับมากัด พ่อ-แม่ ว่าชี้ทางลำบาก
การช่วยเหลือคนและสังคม ไม่ว่าอาชีพไหนๆ ก็ทำได้เหมือนกัน เพียงแต่ต่างบทบาทเท่านั้น อย่าไปมัวเปรียบเทียบกับใครเขา ดูตัวเองพัฒนาตัวเองดีกว่าค่ะ
ยินดีด้วยนะคะ
ค่อยๆทำ ลด ละ เลิก shopping....
แค่คิดก็ใจจะขาด
ความเห็นนี้ พี่ว่าตอบโจทย์น้องได้ครบถ้วนค่ะ
พี่มาเพิ่มเติมว่า
สิ่งนึงที่การเป็นแพทย์นั้นหนักที่สุด ไม่ใช่เรื่องเรียน(ซึ่งก็หนักมากพออยู่แล้ว) แต่เป็นเรื่องเวลาการทำงาน เพราะเป็นแพทย์นั้น "ต้องอยู่เวร" ค่ะ ซึ่งมันไม่ธรรมดาเลยกับชั่วโมงการทำงานเช่นนี้ แรกๆที่ยังโสด ยังจบใหม่ก็อยู่ได้ แต่พอนานๆเข้าจะทราบว่า มันทำลายสุขภาพอยู่มาก
คนที่เรียนแพทย์นั้นโอกาสจะเรียนต่อเฉพาะทางที่เราเลือกนั้น มีน้อย มากๆๆๆ ถ้าน้องจะอยากเป้นสิ งที่เค้าชอบเรียนกัน เช่น ผิวหนัง(ไม่ต้องอยู่เวร การแข่งขันสูงมาก) จักษุ ศัลยแพทย์พลาสติก รังสีแพทย์ หรือตอนนี้แม้กระทั่งวิสัญญีแพทย์ ซึ่งก็ต้องแก่งแย่งกันแทบตาย และการรับสมัครต่อแพทย์เฉพาะทางสาขาเหล่านี้ดังที่กล่าวก็ต้องใช้กำลังภายในเข้าพอควร(pull the string !)
ส่วนตัวพี่ พี่มีเพื่อนเป็น ทันตะ แม้จะเรียนต่อเฉพาะทางยากมากกกกเช่นกัน แต่ก็มีโอกาสให้คนที่พยายามพอเข้าเรียนได้ เพราะเขาใช้วิธีสอบกันค่ะ ซึ่งพี่คิดว่ามันแฟร์มากกว่า
ทันตะ พี่คิดว่าการเรียนคงยากไม่แพ้แพทย์ และ ตอนทำงานก็เหนื่อยเช่นกัน แต่อาจจะมีข้อดีอีกข้อ คือ ไม่ต้องอยู่เวรกลางคืน
ยังงัยรอคุณ Joywila มาช่วยตอบเรื่องทันตะ นะคะ
Love, like a river, will cut a new path
whenever it meets an obstacle.
แสดงความยินดีด้วยนะคะ เก่งมากๆ เลยค่ะ คุณพ่อคุณแม่คงภูมิใจในตัวลูกสาวมากเลยคะหมอไหนดีกว่ากันนี่พี่คงช่วยเลือกไม่ได้เพราะไม่เคยเป็นหมอแต่ยังไงก็ดีใจที่น้องมีความตั้งใจที่ดีนะคะ เป็นคุณหมอที่น่ารักในอนาคต แค่คิดอยากช่วยเหลือคนก็น่าชื่นใจแล้วค่า ขอให้เลือกในสิ่งที่อยากทำ แล้วก็ทำให้ดีที่สุดนะจ๊ะ
![]()