คู่มือดับทุกข์จากหนังสือ คู่มือดับทุกข์ ฉบับสมบูรณ์
1.จงประพฤติศีล 5 ให้สมบูรณ์ ด้วยการไม่ฆ่าสัตว์ทุกชนิด ไม่ขโมยสิ่งของใคร ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่โกหกหลอกลวงใคร และไม่ดื่มหรือเสพติดสิ่งมึนเมา
2.แบ่งเวลาในแต่ละวันให้พอเหมาะพอดีกับสภาพชีวิตของตัวเอง มีเวลาทำงานเพียงพอ มีเวลาพักผ่อนเพลิดเพลินในครอบครัวตามสมควร และมีเวลาฝึกสมาธิเพื่อทำจิตใจให้สงบ
3.ในการฝึกสมาธินั้น ให้นั่งอยู่ในท่าสงบสำรวม อย่าเคลื่อนไหวอวัยวะมือเท้า จะนั่งกับพื้น นั่งพับเพีบ หรือนั่งบนก้าวอี้ก็ได้ แล้วทำจิตใจให้สงบ ปราศจากความคิดนึกปรุงแต่งเรื่องภายนอก ทุกช่วงเวลาระยะที่ทำสมาธินั้น ท่านไม่ปรารถนาที่จะพบเห็นสิ่งใด ๆ สมาธิที่แท้จะมีแต่จิตใจที่สะอาด และบริสุทธิ์ และสงบเย็นเท่านั้น
4.เริ่มสมาธิหลับตาพอสบายสำรวมจิตเข้านับที่ลมหายใจ โดยอาจจะกำหนดลมหายใจเข้าว่า พุท และหายใจออกว่า โธ อย่างนี้เรื่อยไป พอจิตสงบก็จะหยุดนับไปเอง เพราะการกำหนดลมหายใจเป็นเพียงอุบายที่จะทำให้จิตหยุดคิดนึกปรุงแต่งเท่านั้น
(ของดิวจะใช้หายใจเข้าภาวนา"พองหนอ" หายใจออกภาวนา"ยุบหนอ")
5.การฝึกในช่วงแรก ๆ หากท่านยังนับ หรือกำหนดลมหายใจไม่ได้อย่างสม่ำเสมอ หรืออย่างตลอดรอดฝั่ง เพราะมีความคิดต่าง ๆ แทรกเข้ามาในจิต ก็ช่างมัน พยายามทำไปเรื่อย ๆ ไม่นานนักจิตก็จะหยุดคิด และสงบได้ การฝึกให้พยายามทำต่อเนื่องทุก ๆ วัน ครั้งละอย่างน้อย 15 นาที แล้วจึงค่อยเพิ่มเวลาตามที่ใจปรารถนา
6.ครั้นกำหนดจิตด้วยการนับอย่างนั้นจนมีประสบการณ์พอสมควรแล้ว ท่านจะรู้สึกว่า จิตนั้นสะอาด สงบเย็น ผ่องใส ไม่หงุดหงิด ไม่หลับไหล ไม่วิตกกังวลกับสิ่งใด นั่นแหละคือสัญญาณที่แสดงว่า สมาธิกำลังจะเกิดขึ้น
7.เมื่อจิตสงบเย็นไม่หงุดหงิดเช่นนี้แล้ว อย่าหยุดนิ่งเฉยเสีย ให้ท่านน้อมจิตเพื่อพิจารณาเรื่องราวต่าง ๆ ต่อไป ถ้ามีปัญหาชีวิต หรือปัญหาใด ๆ ที่ทำให้ท่านเป็นทุกข์กลัดกลุ้มอยู่ ก็จงน้อมจิตเข้าไปคิดนึกพิจารณาปัญหา ด้วยความสุขุมรอบคอบ ด้วยความมีสติ
8.จงยกเอาปัญหานั้นขึ้นพิจารณาว่า ปัญหานี้มันมาจากไหน มันเกิดขึ้นเพราะอะไร เพราะอะไรท่านจึงหนักใจกับมัน ทำอย่างไรที่ท่านสามารถแก้ไขมันได้ ทำอย่างไรท่านจึงจะเบาใจ และไม่เป็นทุกข์กับมัน
9.การพิจารณาอยู่ด้วยจิตอันสงบอย่างนี้ การถามเหตุผลกับตัวเองอย่างนี้ จิตของท่านจะค่อย ๆ รู้เห็น และเกิดความคิดนึกรู้สึกอันฉลาดขึ้นมาโดยธรรมชาติของมัน จิตจะสามารถเข้าใจต้นสายปลายเหตุของปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจนและถูกต้อง นักปฏิบัติจึงต้องพยายามพิจารณาปัญหาต่าง ๆ อย่างนี้เรื่อยไป หลังจากที่จิตสงบแล้ว
10.กรณีที่ยังไม่มีมีปัญหาความทุกข์เกิดขึ้น หลังจากที่ทำจิตใจให้สงบเป็นสมาธิแล้ว จงพยายามคิดหาหัวข้อธรรมะหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งมาพิจารณา เช่น ยกเอาชีวิตของตัวเองมาพิจารณาว่า มันมีความมั่นคง จีรังยั่งยืนอะไร เพียงไหน ท่านได้อะไรจากร่างกายและจิตนี้ ท่านจะอยู่ไปในโลกนี้นานเท่าไร เมื่อท่านตายท่านจะได้อะไร ให้พยายามถามตัวเองเช่นนี้อยู่เสมอ
11.หรือท่านอาจจะน้อมจิตไปสำรวจการกระทำของตนเองเท่าที่ผ่านมา พิจารณาดูว่า ท่านได้ทำประโยชน์อะไรให้แก่ส่วนรวมหรือไม่ หรือท่านได้ทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง และตั้งใจไว้ว่า ต่อไปนี้ท่านจะไม่ทำสิ่งผิด จะไม่พูดสิ่งที่ไม่ดี ที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนและไม่สบายใจ ท่านจะพูดจะทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่โลกนี้ ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ของชีวิตของท่านเอง
12.จงเข้าใจว่า เป้าหมายที่ถูกต้องของการฝึกสมาธินั้น คือท่านจะฝึกสมาธิเพื่อให้จิตใจสงบจากอารมณ์ภายนอกชั่วระยะเวลาหนึ่ง เมื่อจิตใจสงบเป็นสมาธิแล้ว จิตนั้นจะมีกำลัง และมั่นคงสภาวจิตเช่นนั้นเอง ที่มันจะมีความพร้อมในการที่จะรู้ จะเข้าใจปัญหาต่าง ๆ หรือสิ่งต่าง ๆ ที่แวดล้อมตัวท่านอยู่ ได้อย่างถูกต้องตามเป็นจริง
13.สรุปว่า ท่านจะฝึกสมาธิเพื่อเรียกกำลังจิตจากสมาธินั้นไปพัฒนาความนึกคิด หรือความรู้สึกของท่านให้ถูกต้อง ซึ่งความรู้สึกนึกคิดที่ถูกต้องนั้น แท้จริงแล้วก็คือ ปัญญา นั่นเอง
14.จงจำไว้ว่า ปัญหาที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของท่านก็คือความทุกข์ ความกลัดกลุ้มใจ และความทุกข์นั้นก็จะหมดไปได้จากใจของท่าน ถ้าท่านมีปัญญารู้เท่าทันตามความจริงในสิ่งที่ทำให้ท่านเป็นทุกข์
15.ดังนั้นการฝึกสมาธิทุกครั้ง ท่านจึงต้องกำหนดจิตให้สงบเสียก่อน จากนั้นจึงเอาจิตที่สงบนั้นมาพิรารณาทบทวนปัญหาที่ให้ท่านเป็นทุกข์
16.ท่านจะต้องรู้ความจริงด้วยว่า ปัญหาหลาย ๆ อย่างท่านไม่สามารถจะแก้ไขมันได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ตามสภาวะแวดล้อมของมัน แต่หน้าที่ของท่านคือ ท่านจะต้องพยายามหาวิธีทำกับมันให้ดีที่สุด โดยคิดว่าท่านทำได้ดีที่สุดเพียงเท่านี้ ผลจะเกิดขึ้นอย่างไรก็ช่างมัน ปัญหาจะหมดไปหรือไม่ก็ช่างมัน ท่านจะได้หรือเสียก็ช่างมัน ท่านทำหน้าที่ของท่านได้ดีที่สุดแล้ว ท่านก็ถูกต้องแล้ว เรื่องจะดีร้ายได้เสียมันไม่ใช่เรื่องของท่าน
17.ท่านจะต้องเปิดใจให้กว้าง ให้ยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นว่า มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตามเหตุปัจจัยของมัน เช่น เรื่องไม่ดีที่ไม่น่าปรารถนา มันก็อาจจะเกิดขึ้นกับท่านได้ตามเหตุปัจจัยของมัน เพราะทุกสิ่งเป็นของไม่เที่ยงแท้แน่นอนอะไร บางทีมันก็ดี บางทีมันก็ไม่ดี มันเป็นอยู่อย่างนี้เอง เรื่องไม่ดีที่ไม่น่าปรารถนานั้น ไม่ใช่เกิดมาจากอำนาจเทวดาฟ้าดิน ที่ไหนเลยมันเป็นของธรรมดาที่มีอยู่ในโลกอย่างนี้เอง
18.จงรู้จักธรรมะข้อที่ว่า อนิจจตา ซึ่งแปลว่าความไม่เที่ยง สิ่งที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งทั้งหลายในโลกนี้ ล้วนแต่เป็นของไม่เที่ยงทั้งนั้น ความเปลี่ยนแปลงจากดีไปเป็นเลว เปลี่ยนจากความสมหวังไปเป็นความผิดหวัง ฯลฯ ก็ล้วนแต่เป็นเพราะความเป็นของไม่เที่ยงของมันนั่นเอง ดังนั้นจงอย่าเป็นทุกข์โศกเศร้าไปกับเรื่องดีร้ายได้เสียที่เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่จงรู้จักมันว่า มันเป็นอย่างนี้เอง มันไม่เที่ยงแท้แน่นอนเลยสักสิ่งเดียว ถ้าท่านรู้อย่างนี้ ด้วยความสงบของสมาธิ จิตของท่านก็จะไม่เป็นทุกข์เลย
19.จงรู้จักธรรมะข้อที่ว่า ทุกขตา ซึ่งแปลว่าความเป็นทุกข์ จงจำไว้ว่า ชีวิตของคนเรานั้นล้วนแล้วแต่มีความเป็นทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น ลักษณะของความทุกข์นั้นได้แก่ ความเกิด ความแก่ ความตาย ความโศกเศร้า ความอาลัยอาวรณ์ ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ ความที่ได้รับสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา ความพลัดพรากจากคนรักหรือของรัก และความผิดหวัง เหล่านี้แหละคือความทุกข์ที่คนทุกชาติทุกภาษาในโลกนี้กำลังประสบอยู่
20.จงรู้จักธรรมะข้อที่ว่า อนัตตตา ซึ่งแปลว่าความไม่ใช่ตัวเรา หรือของเรา หรือความปราศจากแก่นสารที่ยั่งยืนถาวร ข้อที่ว่า สิ่งทั้งหลายไม่มีตัวตนแก่นสารที่ถาวรนั้น หมายความว่า สิ่งเหล่านั้นมันจะมีอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง จะนานหรือไม่นานก็แล้วแต่เหตุการณ์ของมันเท่านั้นเอง มันจะไม่มีสิ่งใดจะคงอยู่ในโลกนี้ได้ตลอดไป ดังนั้น ตัวตนที่เป็นของยั่งยืนถาวรของมันจึงไม่มีซึ่งสิ่งเหล่านั้น มันหมายรวมถึงร่างกายและจิตใจของเราทุกคนด้วย
21.เมื่อทุกสิ่งเป็นของไม่เที่ยง ชวนแต่ทำให้เราเป็นทุกข์กับมัน และไม่ใช่สิ่งที่เป็นแก่นสารถาวรเช่นนั้นแล้ว เราจะมัวไปหลงไหลอยากได้อยากเป็นอะไรให้มากเรื่องไปโดยเปล่าประโยชน์อีกเล่า
22.ในการฝึกสมาธินั้นให้แบ่งเวลาออกเป็นสองช่วง คือ ช่วงแรกต้องกำหนดจิตให้สงบ ไม่ต้องคิดเรื่องอะไร ส่วนช่วงที่สอง จึงอาศัยจิตที่สงบเป็นตัวพิจารณาสิ่งต่าง ๆ อย่างรอบคอบ
23.พอครบกำหนดเวลาที่กำหนดไว้แล้ว เมื่อจะเลิกนั่งสมาธิ ก็ให้ตั้งความรู้สึกไว้ว่า ต่อจากนี้ไปท่านจะมีสติพิจารณาสิ่งต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา ซึ่งการพิจารณานั้น ท่านจะพิจารณาให้เห็นภาพที่เป็นจริงของสิ่งเหล่านั้น ซึ่งล้วนแต่ตกอยู่ภายใต้กฏแห่ง ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ และความไม่มีแก่นสารถาวรทั้งสิ้น
24.จงเตือนตัวเองว่า ทุกสิ่งกำลังเปลี่ยนแปลงมันไม่เที่ยงแท้แน่นอน มันจะเกิดเรื่องดีที่ถูกใจเราเมื่อไหร่ก็ได้ หรือมันจะเกิดเรื่องไม่ดีและขัดใจเราเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะสิ่งเหล่านั้นมันไม่เที่ยง ดังนั้นเราจึงต้องทำจิตใจให้พร้อมรับสถานการณ์เหล่านั้นอยู่เสมอ โดยไม่ต้องดีใจหรือเสียใจไปกับเรื่องเหล่านั้น
25.จงพยายามทำจิตใจให้ปล่อยวางอยู่เสมอ หมายความว่า ท่านจะต้องพยายามรักษาจิตให้สะอาด อย่าคิดอะไรให้ตัวเองเป็นทุกข์ อย่าอยากได้อยากเป็นอะไรจนเกินพอดี อย่าถือตัว อย่าถือทิฏฐิมานะ รักษาจิตให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ จงน้อมจิตให้มองเห็นสภาวะที่สงบ และสะอาดอยู่เสมอ วิธีนี้จะทำให้ใจของท่านสงบเย็น ผ่องใส และไม่เดือดร้อนได้เป็นอย่างดีที่สุด
26.จงตั้งใจไว้ว่า แม้ท่านจะออกมาจากการนั่งสมาธิแล้ว แต่ท่านก็จะรักษาจิตใจให้สะอาดผ่องใสและไม่ถือมั่น ไม่แบกเอาสิ่งต่าง ๆ มาไว้ในใจให้หนักใจเปล่า ๆ เลย ซึ่งวิธีนี้จะทำให้สมาธิเกิดอยู่ในจิตใจตลอดเวลา
27.คิดเรื่องอะไรก็จงคิดด้วยปัญญา คิดเพื่อที่จะทำให้เกิดความถูกต้อง คิดเพื่อจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ และสัตว์ทั้งหลายให้พวกเขาได้รับความสุขสงบในชีวิต คิดเพื่อจะทำหน้าที่ของท่านให้ดีที่สุด คิดจะทำให้ตัวเอง และคนอื่นมีความสุข และไม่มีทุกข์อยู่เสมอ
28.จงจำไว้ว่า ไม่มีสิ่งใดที่จะมาทำให้ท่านเป็นทุกข์ได้ นอกจากความคิดผิดของท่านเอง อถ้าท่านคิดผิด ท่านก็จะเป็นทุกข์ ถ้าท่านคิดถูกท่านก็จะไม่เป็นทุกข์
29.จงอย่าเชื่อถือเรื่องงมงายไร้เหตุผล เช่น เมื่อมีความทุกข์ หรือเกิดเรื่องไม่ดีไม่น่าปรารถนาขึ้น ก็ไปบนเจ้าที่เจ้าทาง ไปไหว้จอมปลวก ไหว้ต้นไม้ใหญ่ ฯลฯ ปรารถนาจะให้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านหลงผิดคิดว่ามีอยู่ในสถานที่เหล่านั้น มาช่วยให้ท่านพ้นทุกข์อย่างนี้เป็นต้น นี่คือความงมงาย จงละเลิกมันเสีย เพราะมันจะทำให้ท่านสิ้นเปลืองทรัพย์สิน และเวลาโดยไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เชื่อสิ่งเหล่านั้น
30.ท่านจงรู้ความจริงว่า เรื่องที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจนี้เป็นธรรมชาติธรรมดาที่มีอยู่ในโลกนี้ บางทีท่านก็ไม่ได้ตามที่ปรารถนา บางที่ก็ได้ตามที่คิดไว้ มันเป็นของธรรมดาอยู่อย่างนี้เอง อย่าตื่นเต้นดีใจหรือเสียใจไปกับมัน