Previous
Next
Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
Results 1 to 8 of 8

Thread: ศักดิ์ศรี ของกู ....

  1. #1
    hut2211's Avatar
    hut2211 is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    1,986

    Talking ศักดิ์ศรี ของกู ....

    ศักดิ์ศรีของกู

    “ มันจะให้ผมถอดเสื้อชอปให้ ” วัยรุ่นชายให้ปากคำเจ้าหน้าที่ตำรวจบนเตียงในโรงพยาบาล

    “ แต่ผมไม่ยอม มันก็เลยควักปืนออกมายิง ”

    “ แค่เสื้อชอปตัวเดียว จะเอาไปทำอะไรกัน ”เสียงแม่ของเด็กที่ถูกยิงถามแทรก

    “ มันก็จะเอาไปอวดว่า มันแน่ เอาเสื้อชอปจากตัวของเด็กอีกโรงเรียนได้

    ถ้าผมให้มันดีๆ ผมก็ต้องถูกเยาะเย้ยว่าไม่ใช่ลูกผู้ชาย ”

    “ มีเรื่องอื่นอีกหรือเปล่า ” ตำรวจถาม

    “ ไม่มีครับ แต่ผมก็นึกไม่ถึงว่ามันจะใช้ปืน ”

    นั่นคือเรื่องย่อของคดีนักเรียนนักเลงคดีหนึ่ง
    ซึ่งนิคมถูกนักเรียนต่างสถาบันยิงบนรถประจำทาง
    ด้วยอาวุธปืนขนาด.38 เข้าที่หน้าท้อง ๒ นัด
    บริเวณเอวด้านซ้าย ๑ นัด กระสุนฝังในทั้ง ๓ นัด

    “ ลูกผู้ชายเขาวัดศักดิ์ศรีกันด้วยการยิงคนมือเปล่านี่น่ะเหรอ ”
    ลูกผู้หญิงอย่างแม่กระแทกเสียงอย่างร้าวราน

    ไปอ่านเจอบทแสดงธรรมของพระพิศาลธรรมพาที
    ( พระพยอม กัลยาโณ ) เกี่ยวกับเรื่องของศักดิ์ศรี
    เห็นว่าน่าจะสอดคล้องกับสถานการณ์ยุคนักเรียนนักเลงพอสมควร
    สรุปความบางตอนท่านว่าไว้ว่า

    “ ถ้าไปดูในพุทธประวัติแล้วจะเห็นว่า เชื้อพระวงศ์ของพระพุทธเจ้าถูกฆ่าตายเพราะ ศักดิ์ศรี.! ”

    เรื่องมีอยู่ว่าพระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงหวังจะได้เป็นทองแผ่นเดียวกันกับกรุงกบิลพัสดุ์
    หรือเชื้อพระวงศ์ของพระพุทธเจ้า จึงไปขอพระน้องนางพระญาติของพระพุทธเจ้า มาเป็นทองแผ่นเดียวกัน

    ปรากฏว่าพอส่งทูตไป ทางกษัตริย์กรุงกบิลพัสดุ์ทรงดำริว่า
    ราชวงศ์ทางนี้มีศักดิ์ศรีเหนือกว่ากษัตริย์ทางเจ้าปเสนทิโกศลซึ่ง
    เป็นแต่เพียงรบเก่งอย่างเดียว จึงเกิดมานะเกิดศักดิ์ศรีกันขึ้น

    ทางสภาก็จึงประชุมกันว่าจะทำอย่างไร
    ถ้าส่งเชื้อพระวงศ์ไปจะเสียศักดิ์ศรีว่าส่งลูกผู้ดีไปเมืองเล็กๆ
    จึงมีมติประชุมออกมาว่า ควรจะส่งลูกของนางทาสี
    ชนชั้นศูทรที่เป็นคนรับใช้อยู่ในนั้น แต่มีหน้าตาดี
    อุปโลกน์ว่าเป็นราชนิกุลแห่งกรุงกบิลพัสดุ์

    การณ์ก็เป็นไปโดยเรียบร้อย ทางพระเจ้าปเสนทิโกศลไม่ได้ทรงทราบเลย
    ต่อมานางทาสี ราชนิกุลอุปโลกน์ ได้ให้กำเนิดราชโอรสพระองค์หนึ่ง พระนามว่า วิฑูฑภะ

    ทีนี้เมื่อพระองค์มีพระชนมายุได้ ๑๖ – ๑๗ พรรษา
    ทรงอยากจะมาเยี่ยมเยียนเมืองฝ่ายพระมารดา
    ทางกบิลพัสดุ์ก็เลยวุ่นวายกันใหญ่ เพราะถ้าหากว่าขืนปล่อย
    ให้เชื้อพระวงศ์ที่พระชันษาน้อยกว่าวิฑูฑภะไว้ในเมือง
    ก็จะต้องทรงไหว้โอรสวิฑูฑภะในฐานะเชษฐา
    ก็เลยจัดการส่งราชวงศ์ที่อายุน้อยกว่าออกจากกรุงกบิลพัสดุ์หมด
    ถ้าขืนอยู่เดี๋ยวต้องกราบไหว้วิฑูฑภะ เดี๋ยวเสียศักดิ์ศรี.!

    เจ้าชายวิฑูฑภะก็ทรงทำความเคารพใครต่อใครมากมายที่อ้างว่าเป็นพระญาติ
    แต่ก็ไม่ทรงเห็นใครไหว้พระองค์เลย ก็ชักเอะใจ ว่าทำไมไม่มีใครอ่อนกว่าตนเลย

    ยังไม่พอทาง กบิลพัสด์จัดที่ประทับไว้ด้านนอก
    ไม่ให้เข้าไปในวังส่วนในและอื่นๆอีกมากมาย
    เรียกว่า กว่าจะทรงเยี่ยมเสร็จ ก็มีเรื่องให้เอะใจอีกหลายเรื่อง

    อย่างว่า ความลับไม่มีในโลก ถึงมีก็จำกัดเวลา วันที่เสด็จกลับเมือง
    ข้าราชบริพารคนหนึ่งที่ตามเสด็จมากับเจ้าชายวิฑูตภะ ดันลืมดาบไว้
    จึงกลับมาเอาดาบที่พลับพลาต้อนรับ
    เห็นนางสนมกำลังเอาน้ำนมถูลาดที่นั่งของพระเจ้าวิฑูฑภะเป็นการใหญ่
    ( อันนี้คงเหมือนกับการล้างซวยของการถือวรรณะในยุคนั้น
    เพราะเจ้าชายวิฑูฑภะเป็นบุตรของกษัตริย์และทาสี ซึ่งต่างวรรณะกัน
    จึงถือว่าเป็นจัณฑาล: ผู้เรียบเรียง )

    ข้าราชบริพารนายนั้นก็สงสัย จึงถามไป ความปรากฏว่านางสนมทั้งหลาย
    กำลังเจ็บใจที่ทำให้ต้องเหนื่อยอยู่แล้ว
    ก็เลยหลุดปากไปว่าเพราะเจ้านายพ่ออำมาตย์นั่นแหละ

    ขานั้นก็งง เป็นญาติกันมาเยี่ยมทำไมต้องทำแบบนี้
    นางสนมกำลังใจร้อนด้วยโทสะ ปากก็เลยเบา โพล่งไปว่า
    เป็นเจ้าอะไรกัน ก็ลูกนางทาสีหรือคนใช้ที่วังนี่เอง

    ทีนี้แทนที่จะเงียบไว้ อำมาตย์คนนั้นกลับเอาเรื่องเจ้านายตัวเอง
    มาขยายความนินทาต่ออีก ซุบซิบกันไปซุบซิบกันมาก็ไปเข้าหูพระวิฑูฑภะจนได้

    เพลิงแค้นก็เริ่มติดตั้งแต่นั้น ว่าพวกมันช่างดูถูกเหยียดหยามศักดิ์ศรีกันเสียเหลือเกิน

    ทีนี้เมื่อขึ้นครองราชย์แทนพระเจ้าปเสนทิโกศล
    ก็จัดแจงเคลื่อนทัพเลยตั้งปฏิญานว่า จะต้องตัดหัวพวกศากยะ
    เชื้อพระวงศ์เมืองกบิลพัสดุ์ เอาเลือดมาล้างเท้าให้ได้

    พระพุทธเจ้าทรงทราบข่าว จึงเสด็จไปห้าม
    ทรงเทศน์โปรดเรื่องศักดิ์ศรีของมนุษย์ว่า อยู่ที่การเอาชนะกิเลสได้
    ชนะความโหดร้ายในจิตใจตัวเองได้ นั่นคือศักดิ์ศรีของมนุษย์

    พระเจ้าวิฑูฑภะก็หักห้ามใจ แต่..
    “ พอสักเดือนสองเดือนกว่า ความแค้นมันไม่หาย
    ไอ้ตัวศักดิ์ศรีนี่มันปุดๆอยู่เรื่อย แค้นสุดขีดก็ยกทัพมาอีก
    พระพุทธเจ้าทรงทราบข่าวก็เสด็จไปห้ามอีก ห้าหกเดือน
    ทนแค้นไม่ไหวอีก ยกทัพไปอีก
    พระพุทธเจ้าก็เลยทรงเห็นว่าเป็นวิบากที่ทำกันไว้ก็เลยปล่อย

    ทำให้นึกถึงวลีหนึ่งซึ่งเคยอ่านพบ ไม่แน่ใจว่าเป็นพุทธดำรัสหรือไม่
    ท่านว่าไว้ว่า อิทธิฤทธิ์นั้นย่อมแพ้แก่บุญญฤทธิ์
    ส่วนบุญญฤทธิ์ก็ยังแพ้ กรรม หรือกฎแห่งกรรม : ผู้เรียบเรียง)

    ปรากฏว่า พระเจ้าวิฑูฑภะฆ่าเชื้อพระวงศ์ของพระพุทธเจ้าเกือบหมด
    ตายเป็นเบือเลย ฆ่าเสร็จแล้วเอาเลือดล้างเท้า
    ในคัมภีร์บอกว่าเหลือน้อยมาก นอกจากผู้ที่ออกบวช
    กรุงกบิลพัสดุ์เลยล่มหลังจากนั้นไม่นานเท่าไหร่ นี่เกิดจากความกลัวเสียศักดิ์ศรี ”

    เรื่องนี้ส่วนตัวอ่านแล้วก็ยิ่งเห็นอะไรหลายอย่าง
    ศักดิ์ศรีของกษัตริย์กรุงกบิลพัสดุ์ รักษาไว้ ด้วยการมุสา
    ส่งทาสีไปแล้วหลอกว่าเป็นราชนิกุล.. อย่างนี้เรียกว่ารักศักดิ์ศรีจริงหรือ

    พระเจ้าวิฑูฑภะ ก็ช่างแค้น เพราะศักดิ์ศรีถูกเหยียบย่ำ
    จึงจุดไฟเผาตัวเองด้วยโทสะอยู่เป็นเดือนเป็นปี
    จนที่สุดก็ทำการฆาตกรรมหมู่ ก่อเวรพัวพันกันต่อไปอีก

    ความหน้ามืดเพราะไฟโทสะจากอัตตาของเรื่องศักดิ์ศรี
    เผาจนน้ำทิพย์แห่งธรรมจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าเองก็ชโลมใจไว้ไม่อยู่

    พระพุทธเจ้าท่านถึงตรัสว่า ธรรมนั้นเป็นปัจจัตตัง ใครทำก็รู้เอง ได้
    ผลนั้นเอง พระองค์เป็นเพียงผู้ชี้ทางเท่านั้น

    นี่ถ้า ทางกบิลพัสดุ์ไม่ยึดติดมากมายกับศักดิ์ศรี
    ส่งเชื้อพระวงศ์ไปซะ ก็ไม่ต้องมาตายเป็นเบืออย่างนี้

    และถ้าเจ้าชายวิฑูฑภะเองไม่ยึดอัตตา
    ยึดตัวตนว่าโดนหยามซะนักหนาก็คงไม่อำมหิตขนาดนั้น
    แทนที่ขึ้นเป็นกษัตริย์จะได้ทรงธรรม ก็ทรงพยาบาทแทน

    นี่แหละกระมัง ภาพลวงตาของคำว่าศักดิ์ศรี
    จริงๆแล้วก็คือการยึดติดกับตัวเองอย่างเหนียวแน่นนั่นเอง
    ต่างคนต่างยึดกันติดหนับ ยื้อกันไปตีกันมา

    เหยียบศพกัน เพราะมองไม่เห็นความจริง ของใจตัวเองแท้ๆ
    เจ็บก็รักษา พิการก็เสียอนาคต ตายก็เผา เจ้าตัวศักดิ์ศรีมันก็ไม่เห็นมาช่วยเหลืออะไร.


    เรื่องจาก moomkafae.com
    บุคคลผู้มีศีลเป็นพื้น ใจย่อมอยู่สบาย......
    อย่าเรียกร้องในสิ่งที่ไม่มี แต่จงภูมิใจในสิ่งที่มีอยู่...
    โกงเค้าชาตินี้ 1 ต้องใช้เค้าชาติหน้าเป็น พัน ทำทำไม?
    ศาสนาไม่ได้เสื่อม แต่คนเสื่อมจากศาสนา

    ธรรมนิยายธรรมะผู้สละโลก
    http://groups.google.com/group/DhammaSawasdee/web/%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81


  2. #2
    Join Date
    May 2010
    Posts
    4,386
    ขอบคุณค่ะคุณลุงเบื่อพวกผู้ชายเท่ห์ในทางผิด ๆ จัง

  3. #3
    Ohh's Avatar
    Ohh is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    1,124
    ขอบคุณสำหรับบทความดีๆอีกหนึ่งเรื่องค่ะ

    U r.. my L i F e

    ~~> ^ โอ๋ ^ <~~

  4. #4
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    89
    อืมมม
    เรื่องนี้ถูกใจ
    Love, like a river, will cut a new path
    whenever it meets an obstacle
    .

  5. #5
    KAN's Avatar
    KAN is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    1,782
    ขอบคุณค่ะ ลุง...
    เราเองได้มีโอกาศคลุกคลีกับเด็กพวกนี้อยู่ระยะหนึ่งค่ะ
    เด็กพวกนี้เป็นพวกมีปมด้อย เลย ชอบสร้างปมเด่น
    ส่งผลให้ผู้อื่นเดือนร้อนอ่ะ แก้กันอยากจริงๆ...ไม่รู้กี่ยุค กี่สมัยมาแหละ เหออออ....
    [IMG]file:///C:/DOCUME%7E1/Owner/LOCALS%7E1/Temp/moz-screenshot-9.png[/IMG]
    ไม่มีไพร่ ไม่มีำอำมาตย์ มีแต่...พสกนิกร ปวงชนชาวไทย

  6. #6
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    58

    c",)

    ชอบอ่านเรื่องแบบนี้จังเลยคับ
    อ่านแล้วทำให้ต้องกลับมาดูตัวเอง
    ว่ามีอาไรที่ควรจะต้องปรับปรุงแก้ไข

    ขอบคุณสำหรับเรื่องดีดีแบบนี้นะคับ
    หวังว่าจะได้อ่านเรื่องดีดีแบบนี้อีก...

    แม้ว่าเราจะรู้ว่าการรอคอยเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ
    "แต่เราก็ยังต้องรอ"

  7. #7
    wawe's Avatar
    wawe is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    685
    ขอขอบคุณบทความนี้นะคะ สาธุ
    พ่อแม่อาจจะเลี้ยงลูกด้วยอารมณ์ ลูกจะบ่มนิสัยพาล
    เลี้ยงลูกด้วยหย่อนยาน ลูกจะรานหย่อนวินัย
    เลี้ยงลูกตึงเกิน ลูกจะเดินออกจากใจ
    เลี้ยงลูกด้วยธรรมะ ลูกจะละบาปทั้งหลาย
    เลี้ยงลูกด้วยอภัย ลูกจะใจนักกีฬา
    เลี้ยงลูกด้วยลำเอียง ลูกจะเลี่ยงกติกา
    เลี้ยงลูกด้วยเงินตรา ลูกจะพานอกลู่ทาง
    เลี้ยงลูกด้วยเหตุผล ลูกจะคนจิตใจกว้าง
    เลี้ยงลูกให้ถูกทาง ลูกจะสร้างสิ่งดีงาม
    แต่ก็นั่นแหละลูกคน ไม่ใช่ลูกสัตว์ มีสมองคิด ผิดชอบชั่วดีเองได้
    ความง่ายอยู่ที่ปาก ความยากอยู่ที่ทำ
    การรู้จักปล่อยวาง เป็นวิถีทางแห่งความสุขสงบ
    มนุษย์ย่อมได้รับผลของการกระทำของตนเสมอ อาจจะเร็วหรือช้าเท่านั้น

  8. #8
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    339
    ชอบมากๆเลยค่ะ

    ขอบคุณที่เอามาให้อ่านนะคะคุณฮัท
    อิ่ม....................

Posting Permissions

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •