ศักดิ์ศรีของกู
“ มันจะให้ผมถอดเสื้อชอปให้ ” วัยรุ่นชายให้ปากคำเจ้าหน้าที่ตำรวจบนเตียงในโรงพยาบาล
“ แต่ผมไม่ยอม มันก็เลยควักปืนออกมายิง ”
“ แค่เสื้อชอปตัวเดียว จะเอาไปทำอะไรกัน ”เสียงแม่ของเด็กที่ถูกยิงถามแทรก
“ มันก็จะเอาไปอวดว่า มันแน่ เอาเสื้อชอปจากตัวของเด็กอีกโรงเรียนได้
ถ้าผมให้มันดีๆ ผมก็ต้องถูกเยาะเย้ยว่าไม่ใช่ลูกผู้ชาย ”
“ มีเรื่องอื่นอีกหรือเปล่า ” ตำรวจถาม
“ ไม่มีครับ แต่ผมก็นึกไม่ถึงว่ามันจะใช้ปืน ”
นั่นคือเรื่องย่อของคดีนักเรียนนักเลงคดีหนึ่ง
ซึ่งนิคมถูกนักเรียนต่างสถาบันยิงบนรถประจำทาง
ด้วยอาวุธปืนขนาด.38 เข้าที่หน้าท้อง ๒ นัด
บริเวณเอวด้านซ้าย ๑ นัด กระสุนฝังในทั้ง ๓ นัด
“ ลูกผู้ชายเขาวัดศักดิ์ศรีกันด้วยการยิงคนมือเปล่านี่น่ะเหรอ ”
ลูกผู้หญิงอย่างแม่กระแทกเสียงอย่างร้าวราน
ไปอ่านเจอบทแสดงธรรมของพระพิศาลธรรมพาที
( พระพยอม กัลยาโณ ) เกี่ยวกับเรื่องของศักดิ์ศรี
เห็นว่าน่าจะสอดคล้องกับสถานการณ์ยุคนักเรียนนักเลงพอสมควร
สรุปความบางตอนท่านว่าไว้ว่า
“ ถ้าไปดูในพุทธประวัติแล้วจะเห็นว่า เชื้อพระวงศ์ของพระพุทธเจ้าถูกฆ่าตายเพราะ ศักดิ์ศรี.! ”
เรื่องมีอยู่ว่าพระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงหวังจะได้เป็นทองแผ่นเดียวกันกับกรุงกบิลพัสดุ์
หรือเชื้อพระวงศ์ของพระพุทธเจ้า จึงไปขอพระน้องนางพระญาติของพระพุทธเจ้า มาเป็นทองแผ่นเดียวกัน
ปรากฏว่าพอส่งทูตไป ทางกษัตริย์กรุงกบิลพัสดุ์ทรงดำริว่า
ราชวงศ์ทางนี้มีศักดิ์ศรีเหนือกว่ากษัตริย์ทางเจ้าปเสนทิโกศลซึ่ง
เป็นแต่เพียงรบเก่งอย่างเดียว จึงเกิดมานะเกิดศักดิ์ศรีกันขึ้น
ทางสภาก็จึงประชุมกันว่าจะทำอย่างไร
ถ้าส่งเชื้อพระวงศ์ไปจะเสียศักดิ์ศรีว่าส่งลูกผู้ดีไปเมืองเล็กๆ
จึงมีมติประชุมออกมาว่า ควรจะส่งลูกของนางทาสี
ชนชั้นศูทรที่เป็นคนรับใช้อยู่ในนั้น แต่มีหน้าตาดี
อุปโลกน์ว่าเป็นราชนิกุลแห่งกรุงกบิลพัสดุ์
การณ์ก็เป็นไปโดยเรียบร้อย ทางพระเจ้าปเสนทิโกศลไม่ได้ทรงทราบเลย
ต่อมานางทาสี ราชนิกุลอุปโลกน์ ได้ให้กำเนิดราชโอรสพระองค์หนึ่ง พระนามว่า วิฑูฑภะ
ทีนี้เมื่อพระองค์มีพระชนมายุได้ ๑๖ – ๑๗ พรรษา
ทรงอยากจะมาเยี่ยมเยียนเมืองฝ่ายพระมารดา
ทางกบิลพัสดุ์ก็เลยวุ่นวายกันใหญ่ เพราะถ้าหากว่าขืนปล่อย
ให้เชื้อพระวงศ์ที่พระชันษาน้อยกว่าวิฑูฑภะไว้ในเมือง
ก็จะต้องทรงไหว้โอรสวิฑูฑภะในฐานะเชษฐา
ก็เลยจัดการส่งราชวงศ์ที่อายุน้อยกว่าออกจากกรุงกบิลพัสดุ์หมด
ถ้าขืนอยู่เดี๋ยวต้องกราบไหว้วิฑูฑภะ เดี๋ยวเสียศักดิ์ศรี.!
เจ้าชายวิฑูฑภะก็ทรงทำความเคารพใครต่อใครมากมายที่อ้างว่าเป็นพระญาติ
แต่ก็ไม่ทรงเห็นใครไหว้พระองค์เลย ก็ชักเอะใจ ว่าทำไมไม่มีใครอ่อนกว่าตนเลย
ยังไม่พอทาง กบิลพัสด์จัดที่ประทับไว้ด้านนอก
ไม่ให้เข้าไปในวังส่วนในและอื่นๆอีกมากมาย
เรียกว่า กว่าจะทรงเยี่ยมเสร็จ ก็มีเรื่องให้เอะใจอีกหลายเรื่อง
อย่างว่า ความลับไม่มีในโลก ถึงมีก็จำกัดเวลา วันที่เสด็จกลับเมือง
ข้าราชบริพารคนหนึ่งที่ตามเสด็จมากับเจ้าชายวิฑูตภะ ดันลืมดาบไว้
จึงกลับมาเอาดาบที่พลับพลาต้อนรับ
เห็นนางสนมกำลังเอาน้ำนมถูลาดที่นั่งของพระเจ้าวิฑูฑภะเป็นการใหญ่
( อันนี้คงเหมือนกับการล้างซวยของการถือวรรณะในยุคนั้น
เพราะเจ้าชายวิฑูฑภะเป็นบุตรของกษัตริย์และทาสี ซึ่งต่างวรรณะกัน
จึงถือว่าเป็นจัณฑาล: ผู้เรียบเรียง )
ข้าราชบริพารนายนั้นก็สงสัย จึงถามไป ความปรากฏว่านางสนมทั้งหลาย
กำลังเจ็บใจที่ทำให้ต้องเหนื่อยอยู่แล้ว
ก็เลยหลุดปากไปว่าเพราะเจ้านายพ่ออำมาตย์นั่นแหละ
ขานั้นก็งง เป็นญาติกันมาเยี่ยมทำไมต้องทำแบบนี้
นางสนมกำลังใจร้อนด้วยโทสะ ปากก็เลยเบา โพล่งไปว่า
เป็นเจ้าอะไรกัน ก็ลูกนางทาสีหรือคนใช้ที่วังนี่เอง
ทีนี้แทนที่จะเงียบไว้ อำมาตย์คนนั้นกลับเอาเรื่องเจ้านายตัวเอง
มาขยายความนินทาต่ออีก ซุบซิบกันไปซุบซิบกันมาก็ไปเข้าหูพระวิฑูฑภะจนได้
เพลิงแค้นก็เริ่มติดตั้งแต่นั้น ว่าพวกมันช่างดูถูกเหยียดหยามศักดิ์ศรีกันเสียเหลือเกิน
ทีนี้เมื่อขึ้นครองราชย์แทนพระเจ้าปเสนทิโกศล
ก็จัดแจงเคลื่อนทัพเลยตั้งปฏิญานว่า จะต้องตัดหัวพวกศากยะ
เชื้อพระวงศ์เมืองกบิลพัสดุ์ เอาเลือดมาล้างเท้าให้ได้
พระพุทธเจ้าทรงทราบข่าว จึงเสด็จไปห้าม
ทรงเทศน์โปรดเรื่องศักดิ์ศรีของมนุษย์ว่า อยู่ที่การเอาชนะกิเลสได้
ชนะความโหดร้ายในจิตใจตัวเองได้ นั่นคือศักดิ์ศรีของมนุษย์
พระเจ้าวิฑูฑภะก็หักห้ามใจ แต่..
“ พอสักเดือนสองเดือนกว่า ความแค้นมันไม่หาย
ไอ้ตัวศักดิ์ศรีนี่มันปุดๆอยู่เรื่อย แค้นสุดขีดก็ยกทัพมาอีก
พระพุทธเจ้าทรงทราบข่าวก็เสด็จไปห้ามอีก ห้าหกเดือน
ทนแค้นไม่ไหวอีก ยกทัพไปอีก
พระพุทธเจ้าก็เลยทรงเห็นว่าเป็นวิบากที่ทำกันไว้ก็เลยปล่อย
ทำให้นึกถึงวลีหนึ่งซึ่งเคยอ่านพบ ไม่แน่ใจว่าเป็นพุทธดำรัสหรือไม่
ท่านว่าไว้ว่า อิทธิฤทธิ์นั้นย่อมแพ้แก่บุญญฤทธิ์
ส่วนบุญญฤทธิ์ก็ยังแพ้ กรรม หรือกฎแห่งกรรม : ผู้เรียบเรียง)
ปรากฏว่า พระเจ้าวิฑูฑภะฆ่าเชื้อพระวงศ์ของพระพุทธเจ้าเกือบหมด
ตายเป็นเบือเลย ฆ่าเสร็จแล้วเอาเลือดล้างเท้า
ในคัมภีร์บอกว่าเหลือน้อยมาก นอกจากผู้ที่ออกบวช
กรุงกบิลพัสดุ์เลยล่มหลังจากนั้นไม่นานเท่าไหร่ นี่เกิดจากความกลัวเสียศักดิ์ศรี ”
เรื่องนี้ส่วนตัวอ่านแล้วก็ยิ่งเห็นอะไรหลายอย่าง
ศักดิ์ศรีของกษัตริย์กรุงกบิลพัสดุ์ รักษาไว้ ด้วยการมุสา
ส่งทาสีไปแล้วหลอกว่าเป็นราชนิกุล.. อย่างนี้เรียกว่ารักศักดิ์ศรีจริงหรือ
พระเจ้าวิฑูฑภะ ก็ช่างแค้น เพราะศักดิ์ศรีถูกเหยียบย่ำ
จึงจุดไฟเผาตัวเองด้วยโทสะอยู่เป็นเดือนเป็นปี
จนที่สุดก็ทำการฆาตกรรมหมู่ ก่อเวรพัวพันกันต่อไปอีก
ความหน้ามืดเพราะไฟโทสะจากอัตตาของเรื่องศักดิ์ศรี
เผาจนน้ำทิพย์แห่งธรรมจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าเองก็ชโลมใจไว้ไม่อยู่
พระพุทธเจ้าท่านถึงตรัสว่า ธรรมนั้นเป็นปัจจัตตัง ใครทำก็รู้เอง ได้
ผลนั้นเอง พระองค์เป็นเพียงผู้ชี้ทางเท่านั้น
นี่ถ้า ทางกบิลพัสดุ์ไม่ยึดติดมากมายกับศักดิ์ศรี
ส่งเชื้อพระวงศ์ไปซะ ก็ไม่ต้องมาตายเป็นเบืออย่างนี้
และถ้าเจ้าชายวิฑูฑภะเองไม่ยึดอัตตา
ยึดตัวตนว่าโดนหยามซะนักหนาก็คงไม่อำมหิตขนาดนั้น
แทนที่ขึ้นเป็นกษัตริย์จะได้ทรงธรรม ก็ทรงพยาบาทแทน
นี่แหละกระมัง ภาพลวงตาของคำว่าศักดิ์ศรี
จริงๆแล้วก็คือการยึดติดกับตัวเองอย่างเหนียวแน่นนั่นเอง
ต่างคนต่างยึดกันติดหนับ ยื้อกันไปตีกันมา
เหยียบศพกัน เพราะมองไม่เห็นความจริง ของใจตัวเองแท้ๆ
เจ็บก็รักษา พิการก็เสียอนาคต ตายก็เผา เจ้าตัวศักดิ์ศรีมันก็ไม่เห็นมาช่วยเหลืออะไร.
เรื่องจาก moomkafae.com