คุณ meri คะ
เนื้อผงพรายอันนี้ มีส่วนผสม กระดูกเด็กหรือเปล่าค่ะ
คุณ meri คะ
เนื้อผงพรายอันนี้ มีส่วนผสม กระดูกเด็กหรือเปล่าค่ะ
ลองอ่านดูนะครับ
----
เมื่อกลางปี 2515 คณะกรรมการวัดละหารไร่ มีนายสาย แก้วสว่าง ไวยาวัจกร
ประชุมกันเรื่องการสร้างพระเครื่องวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการสมนาคุณแด่ชาวบ้านและสาธุชนทั่วไป
ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเงินร่วมทำบุญกับวัดละหารไร่ ต่อไปในวันข้างหน้าโดยเฉพาะงานผูกพัทธสีมาพระอุโบสถ วัดละหารไร่
ในการนี้หลวงปู่ทิมได้กล่าวว่า หากได้ผงพรายกุมารมหาภูติผสมใส่ลงไปด้วย พระเครื่องที่สร้างขึ้นนี้จะมีความศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นเพราะมีอานุภาพแห่ง
พรายกุมารมหาภูติแฝงอยู่คอยช่วยเหลือเอื้ออำนวยพร เมื่อหลวงปู่ทิมมีความต้องการจะทำผงพรายกุมารมหาภูติ เพื่อนำมาเป็นมวลสารที่สำคัญยิ่งในการสร้างปลุกเสกพระเครื่องครั้งนี้นั้น
ในบรรดาลูกศิษย์ยุคแรกของหลวงปู่ทิมอิสริโกทั้งหมดไม่มีใครกล้าเสนอตัว อาสากระทำการ เพราะต่างคนต่างก็เกรงกลัวความอาถรรพ์ของผีตายทั้งกลม
ซึ่งโบราณกล่าวไว้ว่ามีความดุร้ายและหวงลูกมาก ถึงขั้นตามเอาชีวิตกันเลยทีเดียว มีแต่เพียง “หมอกุหลาบ จ้อยเจริญ “ ผู้เดียวที่มีวิชาคาถาอาคมและสมาธิกล้าแข็งเพียงพอ
กล้าขอเสนอตัวรับอาสาสนองพระคุณหลวงปู่ทิม จะไปนำ ” กะโหลกพรายกุมาร “ วัตถุอาถรรพ์สำคัญยิ่ง จากหญิงตายทั้งกลม (หญิงชาวบ้านท้องแก่ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุสยดสยอง
ทางญาติได้นำศพมาฝังไว้ที่ป่าช้าวัดละหารใหญ่ ปัจจุบันเป็นบริเวณที่ชาวบ้านทำไร่สับปะรด ) มาเพื่อให้ท่านสร้างปลุกเสกเป็น ”ผงพรายกุมารมหาภูติ “
ซึ่งหมอกุหลาบ จ้อยเจริญ ต้องพบกับอิทธิฤทธิ์ของอาจารย์พรายนายป่าช้า แม่นางพราย และพรายกุมาร แต่ด้วยมูลเหตุแห่งวัตถุประสงค์เพื่อการสร้างบุญกุศลในพระพุทธศาสนา
บารมีของหลวงปู่ทิม และคาถาอาคมที่หลวงปู่ทิมได้ประสิทธิให้นั้น ทำให้นายป่าช้า แม่นางพราย และพรายกุมาร ได้ยินยอมและเต็มใจ เกิดความปิติในกุศลผลบุญที่ตนเองจะได้รับ
หมอกุหลาบ จ้อยเจริญ จึงกระทำการครั้งนี้ได้สำเร็จเรียบร้อยทุกประการ “ วิญญาณของอาจารย์นายป่าช้า แม่นางพราย และพรายกุมาร มีอยู่จริงเห็นตัวตนเป็นเงาใสๆ ลางๆ
เหมือนกับภาพที่สะท้อนบนพื้น ในปัจจุบันวิญญาณเหล่านี้ก็ยังอยู่คุ้มครองที่วัดละหารไร่ “ หมอกุหลาบ จ้อยเจริญ กล่าวย้ำ การสร้างผงพรายกุมารมหาภูตินั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
เมื่อได้กระโหลกพรายกุมารมาแล้ว หมอกุหลาบ จ้อยเจริญ ใส่ห่อผ้าเก็บไว้หลังพระประธานในพระอุโบสถหลังเก่า เป็นระยะเวลาประมาณสามถึงสี่เดือน
จนกระโหลกพรายกุมารแห้งสนิทหมดกลิ่นดีแล้ว จึงนำมาโขลกตำให้ละเอียดแล้วผสมกับผงวิเศษสำคัญต่างๆ ที่หลวงปู่ทิมมอบให้มาจนครบทั้งหมดผสมน้ำแช่เกสรบัวทั้งห้า
ปั้นเป็นแท่งขนาดใหญ่ แล้วตากแดดไว้จนแห้งสนิท เมื่อได้ฤกษ์งาม ยามดีวันดี ตามที่หลวงปู่ทิมได้กำหนดไว้ จึงจะนำแท่งผงปั้นนี้มาเขียนอักขระพระยันต์ต่างๆ บนกระดานชนวน
กระทำในพระอุโบสถหลังเก่า ท่ามกลางการเจริญพระพุทธมนต์ของพระสงฆ์ ๙ รูป โดยหลวงปู่ทิมอิสริโก เป็นประธานสงฆ์ เขียนอักขระพระยันต์ต่างๆ
ลงบนกระดานชนวนแล้วลบผงก่อนเป็นปฐมฤกษ์ แล้วจึงมอบให้หมอกุหลาบ จ้อยเจริญ เป็นผู้ลงอักขระพระยันต์และลบผงต่อไป การปลุกเสกผงพรายกุมารมหาภูตินี้
หลวงปู่ทิมท่านได้ปลุกเสกพรายกุมารทั้งหลายให้เป็นกึ่งเทพกึ่งภูติเป็นมหา ภูติขวาและซ้าย(พระพรายคู่ เป็นรูปเทวดานั่งคู่กันแทนรูปมหาภูติซ้าย-ขวา)
วิญญาณพรายกุมารไม่ใช่มีอยู่ตนเดียว แต่มีมากมายประมาณมิได้ หลวงปู่ทิมได้อธิฐานให้วิญญาณพรายกุมารทุกตนที่ผ่านไปมาในบริเวณพิธี
หากจะช่วยกันบำรุงพระพุทธศาสนา ก็ให้มาสถิตย์อยู่รวมกันในผงพรายกุมารมหาภูติที่ท่านปลุกเสกนี้ให้มี อิทธิฤทธิ์คอยช่วยเหลือคุ้มครองอำนวยพรให้ผู้ศรัทธาบูชาอยู่ระยะเวลาหนึ่ง
หลังจากเสร็จพิธีเรียบร้อยแล้วได้ผงพรายกุมารมหาภูติบริสุทธิ์สีขาวหม่นอม เทาประมาณ 1 ถาดใหญ่ เมื่อแบ่งผสมผงว่านมหามงคลจะได้ผงพรายกุมารมหาภูติเนื้อละเอียดสีน้ำตาลเข้ม
ประมาณ 1 กะละมังใหญ่ แล้วเก็บรวบรวมไว้ในกุฎิหลวงปู่ทิม เมื่อจะทำพระเครื่องจึงจะขออนุญาตหลวงปู่ทิมไปตักแบ่งเอามาผสมผงที่จะกด พิมพ์พระอีกครั้งหนึ่ง.หมอกุหลาบ จ้อยเจริญ
กล่าวยืนยันโดยเห็นกับตาตนเองว่า “ผงที่หลวงปู่ทิมอิสริโก เขียนอักขระพระยันต์ต่างๆ นั้น หลุดร่วงทะลุลอดกระดานชนวนลงมา และทะลุผ้าขาวที่ปูรองเอาไว้ถึงเจ็ดชั้นจนถึงพื้นพระอุโบสถวัดละหารไร่
“ที่กล่าวนี้ไม่ได้กล่าวเกินความจริงแต่อย่าง แต่กล่าวเปิดเผยเพื่อให้ท่านทั้งหลายที่ศรัทธาหลวงปู่ทิมอิสริโก จะได้เกิดความปิติ และซาบซึ้ง ในบุญญาบารมีของหลวงปู่ทิมอิสริโก หากผู้ใดได้ครอบครองบูชา
พระผงขุนแผนพรายกุมาร นับว่าท่านมีของวิเศษขั้นสูงอยู่กับ จะส่งผลให้เกิดโภคทรัพย์ ความเจริญรุ่งเรือง เป็นสิริมงคลแก่ตนเอง นับว่าเป็นบุญกุศลของผู้นั้นที่เคยได้ร่วมสร้างกันมา หลวงปู่ท่านกล่าวว่า
พระของท่านมีเจ้าของอยู่แล้ว ของของใครต้องมาอยู่กับผู้นั้น ผู้ใดมิใช่เจ้าของจักมีอันต้องเปลี่ยนมือไปไม่ช้าก็เร็ว
อีกมุมมองนึงครับ
----
หลวงปู่ดู่ - ผงพรายกุมาร - อาจารย์เบิ้ม
เมื่อประมาณปี ๒๕๒๐
ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายเย็น
หลวงปู่ดู่ แห่งวัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ได้ออกมานั่งคุยกับศิษย์ที่บริเวณระเบียงกุฏิของท่าน
เมื่อนั่งคุยกันชั่วครู่ใหญ่
หลวงปู่ดู่และศิษย์เห็นรถยนต์คันหนึ่งวิ่งเข้ามาในวัดแล้วจอด
มีชาย ๔ คนลงจากรถ และเดินตรงมาที่กุฏิของท่าน
"เอ๊ะ..อ้ายพวกนี้มาแปลก..." หลวงปู่ดู่อุทาน
"มันเอาผีมาด้วย"
บรรดาศิษย์ของหลวงปู่ดู่ เมื่อได้ยินหลวงปู่พูดถึงผี
ก็พากันชะเง้อดูคนทั้งสี่ "เอ...ผมมองไม่เห็นผี"
ศิษย์คนหนึ่งบอกกับหลวงปู่
"ผมไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ มีอะไรหรือครับหลวงปู่..."
หลวงปู่ดู่หัวเราะกับศิษย์ และพูดกับศิษย์ว่า..
"ฉันเห็นผีมันล้อมรอบพวกสี่คนที่กำลังเดินมาเต็มไปหมด"
คนทั้งสี่ เมื่อเดินมาถึงหน้าบันได้กุฏิ ก็พากันถอดรองเท้า
แล้วพากันขึ้นบนกุฏิ คลานเข้ามากราบหลวงปู่ดู่..
"นี่...พวกเธอมาหาฉัน ทำไมจึงเอาผีมาด้วย"
หลวงปู่ดู่ถามชายทั้งสี่ พร้อมกับหัวเราะด้วยอารมณ์ดี
คนทั้งสี่มองหน้ากัน ตีหน้าเลิ่กลั่ก
เมื่อได้ยินหลวงปู่ดู่บอกว่า พวกตนที่มาหา...พาผีมาด้วย
"ผีที่ไหนครับหลวงปู่"
นายเบิ้ม พบร่มเย็น (ต้นฉบับเดิมเขียนไว้อย่างนี้แต่จริงๆแล้วคือท่านอ.สุวัฒน์ พบร่มเย็นครับ) หนึ่งในสี่คนที่มาหาหลวงปู่
ถามขึ้นด้วยความสงสัย
"ยังไม่รู้อีกเรอะ"
หลวงปู่ดู่หัวเราะด้วยอารมณ์ดี
"ผีมันออกมาจากพระที่แขวนอยู่ที่คอน่ะสิ"
ทั้งสี่คนที่มาหาหลวงปู่ถึงบาง "อ้อ"
คนทั้งสี่ที่มาหาหลวงปู่ดู่
เป็นศิษย์ของ หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จ.ระยอง
และทุกคนมีพระเครื่องที่หลวงปู่ทิมสร้าง แขวนอยู่บนคอ
เช่น พระพรายเพชร พรายบัว (พระสององค์ติดกัน)
พระพิมพ์สี่เหลี่ยมหัวโต...หรือพระเล็กๆ แบบสามเหลี่ยมเรียกนางพญา
และพระขุนแผนเล็กและใหญ่
บรรดาพระเครื่องที่เอ่ยนามมานี้
นอกจากจะมีผงพระพุทธคุณแล้ว
ยังผสม "ผงผีพรายกุมาร" ที่ได้มาจากเด็กที่ตายทั้งกลม....
คนทั้งสี่นำสร้อยคอที่แขวนพระที่มีส่วนผสมของผงพรายกุมาร
ให้หลวงปู่ดู หลวงปู่นั่งหลับตาชั่วครู่ใหญ่บอกว่า
"ของเขาแรงใช้ได้ดีทีเดียว แต่ดูเหมือนผู้สร้าง..ได้เสีย..เสียแล้ว"
"ครับ...เป็นพระเครื่องของท่านหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จ.ระยอง ที่ได้สร้างขึ้น
และหลวงปู่ทิมได้มรณภาพมากว่า ๒ ปีแล้ว..."
นายเบิ้ม พบร่มเย็น บอกแก่หลวงปู่ดู่...
คนทั้งสี่อัศจรรย์ใจที่หลวงปู่ดู่ท่านรู้ว่า
ที่คอของพวกตน มีพระเครื่องที่ท่านหลวงปู่ทิม
ใช้ผงพระพุทธคุณ และผงพรายกุมารผสมป่นลงไป
แล้วปลุกเสกสร้างเป็นองค์พระขึ้น
คนทั้งสี่ที่มาหาหลวงปู่ดู่ จึงเคารพหลวงปู่ดู่ยิ่ง
ทั้งสี่คนนั่งคุยกับหลวงปู่ดู่ครู่ใหญ่
ชินพร ศิษย์เอกของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ถามหลวงปู่ดู่ว่า...
"ท่านหลวงปู่ทิม อาจารย์ของผม
เป็นพระเถระที่ยึดมั่นพระธรรม และพระวินัยของพระพุทธองค์อย่างเคร่งครัด
ไม่ยินดียินร้ายในรูป รส กลิ่น เสียง และถือสันโดษ
เป็นพระภิกษุที่มีศีลลาจริยาวัตรน่าเลื่อมใส
หลวงปู่ทิมได้สร้างพระเครื่องโดยมีผงพรายกุมาร
ที่ท่านทำมาจากเด็กตายทั้งกลมจากท้องมารดา
การกระทำของหลวงปู่ทิม จะเป็นบาปหรือไม่"
หลวงปู่ดู่ "ไม่บาป การที่ไม่บาปเป็นเพราะว่า
เด็กที่อยู่ในท้องแม่ยังไม่เกิดเป็นตัวตน
คือยังไม่มีธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ยังไม่มีวิญญาณ
และแม่เด็กก็ได้ตายไปแล้ว
ซึ่งแม่เด็กและเด็ก ก็จะกลับสู่สภาพเดิม
คือ เป็นผงธุลีไป"
หลวงปู่หยุดเล็กน้อย
"การที่ถามว่า เอาหัวกระโหลกเด็กที่อยู่ในท้องของแม่
ที่ตายทั้งกลมมาทำของ
จะบาปไหม...เรื่องนี้มันคนละเรื่องกัน
เด็กที่อยู่ในท้องของแม่ที่ตายทั้งกลมนั้น
อยู่ในลักษณะที่ว่า ไม่มีตัวตน ไม่มีวิญญาณที่จะไปเกิด
สภาพของเด็กที่อยู่ในท้องของแม่ที่ตายทั้งกลม
จึงเหมือนกับก้อนเนื้อก้อนหนึ่ง
และถ้านำเด็กที่อยู่ในท้องของแม่ที่ตายทั้งกลมมาปลุกเสกด้วยอาคม
และปลุกเสกด้วยธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ก็จะอยู่ในลักษณะหนึ่งที่ทางไสยศาสตร์เรียกว่า
ภูติ หรือ มหาภูติ
และถ้าเราเอาตัว ภูติ ที่ปลุกเสกด้วยอาคมและธาตุทั้งสี่มาทำของ
ของนั้นก็จะมีอิทธิฤทธิ์ยิ่ง.."
คำอธิบายของหลวงปู่ดู่
ทำให้คุณชินพรและพวกหายข้องใจ
ในเรื่องที่นำเด็กในท้องของแม่ที่ตายทั้งกลมมาปลุกเสก
แล้วป่นทำเป็นผงนำไปผสมกับผงพระพุทธคุณ
แล้วนำไปสร้างพระ...หรืออุดผงนี้ลงที่ด้ามมีดหมอ
หรือนำผงนี้อุดที่องค์พระที่สร้างขึ้น
บรรดาคนทั่วไป มักจะเรียกผงนี้ว่า ผงพรายกุมาร
ก่อนจะกลับจากวัดสะแก
คุณชินพรกับพวก ได้เช่าบูชาพระกับเครื่องรางหลายอย่าง
แล้วนำไปให้หลวงปู่ดู่ท่านปลุกเสก
"ของฉันดี"
หลวงปู่ดู่พูดพร้อมกับหัวเราะ
"ของที่ฉันสร้าง..แรง
ถ้าไม่เชื่อ ก็ถามท่านอาจารย์คนนั้นดูสิ"
นายเบิ้ม พบร่มเย็น เป็นศิษย์ของ หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี
หลวงปู่โต๊ะ มักจะใช้ให้นายเบิ้มเขียนเลขยันต์และอักขระคาถา
ลงบนของที่ท่านจะปลุกเสกทำขึ้น
และได้สอนวิปัสสนาและวิทยาคมแก่นายเบิ้ม
นายเบิ้มเป็นคนมีนิสัยชอบนำพระเครื่อง
หรือเครื่องรางที่ตนได้มา หรือของเพื่อนฝูง
แล้วใช้จิตตรวจดูว่า พระเครื่องหรือเครื่องรางนั้น
มีพระพุทธคุณและอานุภาพแรงขั้นไหน
ถ้าเพื่อนฝูงหรือใคร ประสบโชคร้ายหรือเคราะห์ร้าย
ก็จะทำน้ำมนต์อาบให้...
ท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่า
หลวงปู่ดู่แห่งวัดสะแก เป็นพระเถระที่จิตกล้าแข็ง
สามารถที่จะล่วงรู้จิต และความเป็นมาของผู้อื่นได้
(คัดจากหนังสือมหาโพธิ์ฉบับพิเศษ โดยใหญ่ท่าไม้)
ขอบคุณตรับ คุณ meri ที่แบ่งปันบทความดีๆและน่าสนใจ...
ยินดีมากๆเลยครับ..
และ ผงพรายกุมารรุ่นรองพิมพ์ รุ่นนี้มีจริงๆครับ...ตอนนี้เซียนหากัน เมื่อก่อนบอกไม่ใช่ ไม่ดี..แต่5555 เดี๋ยวนี้กลับมาหาเข้ารัง....
![]()