เข้ามาอ่านเรื่องของหนูนาตาลีแล้ว อึ้ง ปนเศร้าใจไปกับคุณธรรม มโนธรรมของหมอสมัยนี้ ค่านิยมผิด ๆ ทำให้การกระทำ การวินิจฉัยโรค การรักษาโรคของหมอหลาย ๆ ท่าน พรากชีวิตของคนไข้ไปจากครอบครัวของเขาได้ พี่ก็ประสบกับคุณหมอแบบนี้เหมือนกันค่ะ คุณแม่สามีพี่ปกติท่านจะแข็งแรง ไปไหนมาไหนได้เอง เข้าพรรษาก็จะไปจำศีลที่วัดประจำ เมื่อต้นปี 2551 มีอาการเหนื่อย ๆ ลูกหลานก็พาไปโรงพยายาล คุณหมอก็ตรวจร่างกายก็บอกว่าอ่อนเพลียเฉย ๆ จึงให้นอนโรงพยาบาลเพื่อให้น้ำเกลือ ช่วงนั้นลูก ๆ ก็บอกว่าไหน ๆ ก็นอนโรงพยาบาลแล้วเช็คสุขภาพเลยนะ คุณหมอก็เจาะเลือด ตรวจปัสสาวะ ตรวจปอด เพื่อหาสิ่งผิดปกติ ผลออกมาว่าทุกอย่างดี แต่มีค่าของเลือดผิดปกตินิดหน่อย ให้รอค่าผลเลือดอีกตัว ระหว่างรอผล คุณหมอก็ให้ทานไข่ขาวเยอะ ๆ แทบจะทุกมื้ออาหาร พอดีค่าของเลือดตัวนี้ต้องส่งโรงพยาบาลศรีนครินทร์ที่ขอนแก่น (คุณย่าท่านอยู่จังหวัดอุดรธานี) ซึ่งโรงพยาบาลประจำจังหวัดอุดรธานียังไม่มีเครื่องมือตรวจ ช่วงระหว่างรอนี้คุณหมอเจ้าของไข้ก็มาบอกว่าให้กลับไปรอที่บ้านดีไหมเพราะอำนาจของหมอเซ็นต์ให้คนไข้อยู่ห้องพิเศษได้ไม่เกินหนึ่งอาทิตย์ในกรณีที่คนไข้ไม่เป็นอะไรมาก ถ้าไม่อย่างนั้นต้องไปนอนรอที่ห้องรวม คุณย่าก็เลยตัดสินใจออกมารอที่บ้าน แต่ก่อนออกมาท่านมีอาการคัน มีผื่นแดงตามตัว คุณหมอโรคผิวหนังก็มาตรวจ และสั่งยาตัวหนึ่ง(ยากดภูมิ)มาให้ซึ่งมารู้ในภายหลังว่ายาตัวนี้ถ้าให้คนไข้อายุมาก ๆ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของคุณหมออย่างใกล้ชิด หลังจากมานอนรอที่บ้านสามวันท่านมีไข้สูง เหนื่อยหอบ ลูก ๆ ก็รีบส่งโรงพยาบาลอีก คุณหมอที่รับไข้รีบตรวจปอด ปรากฎว่าปอดติดเชื้ออย่างเฉียบพลัน เกินกว่าที่หมอจะรักษาท่านก็เสียชีวิตในเวลาต่อมา และคุณหมอคนสุดท้ายก็วิเคราะห์โรคว่ายาตัวสุดท้ายที่ท่านทานไป ไปทำลายภูมิคุ้มกัน พอทราบกันถึงสาเหตุนี้แล้วแทบจะกรี้ดกันเลย อยากจะฟ้องคุณหมอท่านนั้น แต่ด้วยความที่คุณย่าท่านเป็นคนธรรมมะธรรมโม ลูก ๆ ก็ปรึกษากันว่าแค่เพียงต่อว่าก็พอ เพื่อคุณย่าท่านจะไปอย่างสงบไม่ต้องไปติดค้างกรรมเวรให้ใครอีก เฮ้อ อโหสิกรรม เจ้ากรรมนายเวรเน้อ คุณน้ำ และครอบครัวยังโชคดี ที่คุณแม่น้ำเอาใจใส่ต่อการพัฒนาการของหนูนาตาลีเลยเจอโรคก่อนที่จะสายไป สู้ สู้ ต่อไปนะคะ