เข้ามาเก็บข้อมูลด้วยคนจ้ะ เพราะตอนนี้น้องสาวบ้านอยู่แถววัชรพล กำลังหาโรงเรียนให้ลูกชายอายุ สองขวบครึ่งอยู่ แต่ว่าโรงเรียนแบบนี้คงไม่สะดวกสำหรับน้องสาวพี่ เพราะว่างานของเค้าสองคนผัวเมียต้องเดินทางบ่อยกันทั้งคู่ ไม่มีเวลาที่จะไปมีส่วนร่วมกับลูกกับโรงเรียนแน่ๆ

แต่นิดนึง มีความรู้สึกว่าเค้า Stric จังเลย กับเรื่องไม่ให้ดูทีวี ไม่ให้ใช้ของแบรนด์ เราว่าของทุกอย่างมันมีทั้ง "ดีและเสีย" นะอย่างมีลูกเพื่อนคนหนึ่ง พ่อเค้า (เป็นเด็กลูกครึ่ง) ไม่ให้ลูกดูทีวี กับเล่นคอมพิวเตอร์เลย พอเค้ามาเล่นที่บ้าน เลยนั่งดูทีวีไม่ขยับไปทำอะไรเลยเพราะว่าไม่เคยดู กับคอมพิวเตอร์ก็ปรากฎว่าเล่นไม่เป็นเปิดไม่เป็น พอมาได้เล่นเกมส์ในคอมพิวเตอร์เลยนั่งไม่ลุกเลยเหมือนกัน เวลาที่มี play group ตามบ้านเพื่อนเด็กคนนี้จะไม่เล่นกับเพื่อนเลยแต่จะเอาแต่นั่งดูทีวีอย่างเดียว แทนที่เราจะ"ห้าม" แต่เราเปลี่ยนเป็น "จำกัดเวลาเล่น" น่าจะดีกว่า (ความเห็นส่วนตัว) อย่างลูกเราตอนนี้ก้อพยามยามจะจำกัดเวลาว่าเล่นได้ตั้งแต่กี่โมงถึงกี่โมงและต้องเปลี่ยนกันเล่นกับคนอื่นด้วย เอานาฬิกามาตั้งไว้ให้ดูเลย ว่าตั้งแต่เวลานี้ถึงเวลานี้นะ (สอนให้รู้จักการ Chair ไปในตัวและให้รู้จักดูเวลาด้วย)

เพราะในโลกของความเป็นจริงแล้วเราไม่สามารถ "หลีกเลี่ยง" ไปจากสิ่ง "เร้า" ต่างๆได้หรอกแต่แทนที่เราจะ "ห้าม" เราน่าจะ "สอน"ให้เค้าได้รู้ถึง "คุณและโทษ" และหาทาง "ป้องกัน" จากสิ่งเหล่านั้นดีกว่า มีครั้งหนึ่ง ลูกสาวเรากลับมาบ้านแล้วพูดสบถคำหยาบของฝรั่งออกมาเราตกใจมากว่า เฮ้ย..ลูกเอามาจากไหน แต่แทนที่เราจะไปไล่ถามหาว่าเอามาจากใคร เด็กคนไหนเป็นคนพูด เราก็สอนลูกเราว่า "คำๆนี่ไม่ดีนะลูก เราไม่พูดกันหรอก ถ้าลูกได้ยินเพื่อนคนไหนพูดอีกก็ให้บอกกับเพื่อนด้วยว่ามันไม่สุภาพ" ก็จบ แต่เทียบกับแม่ฝรั่งอีกคน มาไล่ถามหาว่าลูกใครเป้นคนพูดแล้วก็มาโวยวาย ว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอนลูก อะไรแบบเนี้ย

อย่างทีวี "เราบอกลูกว่าถ้าดูทีวีเยอะๆนะตาลูกจะกลายเป็นสี่เหลี่ยมเหมือนทีวีเลยนะ ไม่กลัวเหรอ " แต่ลูกเราก็ไม่ได้ติดมากมากอ่ะไร พอเค้าเบื่อๆเค้าก็ปิดทีวีมาทำอย่างอื่นเอง เราชอบ"เดินสายกลาง" มากกว่าและคิดเสมอว่าของทุกอย่าง "มีทั้งข้อดีข้อเสีย"

อีกอย่างเรื่องของคนแปลกหน้า เห็นได้ยินแต่บอกกับเด้กว่า"ให้ระวังคนแปลกหน้านะอย่าไปพูดกับคนแปลกหน้านะ แต่เคยบอกถึงวิธีป้องกันตัวบ้างมั้ย" เราจะสอนลูกเราเสมอว่า" ถ้ามีคนแปลกหน้ามาจับตัวลูกไป ให้รีบวิ่งไปหาคนที่เค้าสวมเครื่องแบบ รปภ หรือตำรวจนะ ตะโกนขอให้ช่วยให้ดังที่สุด ทุกภาษาที่ลูกพูดได้ (ลูกเราพูดสามภาษา) และถ้ามันจับตัวลูกได้ ให้ดิ้นสุดตัวอย่าอยู่เฉยๆ กัดได้เป็นกัด ตี เตะ ต่อย ข่วน มันอย่าให้มันเอาตัวลูกไปได้นะ ถ้าลูกกำลังปั่นจักรยานหรือทำอไรอยู่อย่าทิ้งสิ่งของเหล่านั้นให้ถือไว้ จับไว้ให้แน่นที่สุด อย่างน้อยมันก็คงจะยากกว่าถ้ามันต้องอุ้มทั้งเด็กและจักรยานแหล่ะน้า"

เรื่องของแบรนด์เนม บางครั้งมันห้ามกันไม่ได้เราก็ต้องสอนลูกเรา ว่ามันจำเป็นแค่ไหน ที่ต้องมีต้องใช้ "เรามาใช้แบบนี้ดีมั้ย เพราะว่ามันก็เป็นแก้วน้ำเหมือนกัน อันนี้ แก้วใหญ่กว่าแก้วเจ้าหญิงอีกนะลูกและราคาก็ถูกกว่า เราจะได้มีเงินเหลือเอาไว้ไปเที่ยวหรือทำอะไรอย่างอื่นที่ลูกชอบดีมั้ยค่ะ" แต่ลองมาคิดๆดูนะ เท่าทีเราซื้อของนะบางทีลูกไม่ได้อยากได้หรือชอบหรอก แต่พวก "พ่อแม่" นั้นแหล่ะเห็นว่าน่ารักดีเลยอยากซื้อให้ลูก (อันนี้เราเป็น จากประสบการ์ณตรงเลย แฮะๆ) และเราอยู่ในฐานะที่ซื้อได้ก็ซื้อ แต่ก็ไม่ได้พร่ำเพรื่อ ต้องเป็นเทศกาล เท่านั้นเช่น วันเกิด หรือคริสมาส เท่านั้น แต่โชคดีที่ลูกเราก้ไม่ติดแบรนด์เนมนะ

ก็ถูกที่ว่าที่โรงเรียนห้ามไม่ให้เอาของแบรนด์เนมไป แต่ว่าในชืวิตจริงข้างนอก เราต้องพาลูกออกไปเจอกับเด้กคนอื่นที่ไม่ได้เรียนเหมือนลูกเราบ้างแหล่ะนา แล้วที่นี้จะเป็นยังงัยกันละ

แต่ว่าเราชอบนะที่แบบว่า Learning by doing เนี้ย ออกไปเจอแดด เจอลมบ้าง เด็กๆจะได้แข็งแรง ที่โรงเรียนลูกเรา เค้าจะ "บังคับ"เลยว่าเด็กจะต้องใส่หมวกออกไปเล่นข้างนอกในตอนที่เค้ามีช่วงพักถ้าใครไม่มีหมวก จะให้เล่นแต่ในร่มเท่านั้น และมียูนิฟอร์มด้วย ทั้งกระเป๋า เสื้อผ้าหน้าผม อันนี้ชอบเด็กๆจะได้ไม่แต่งตัวแข่งกันดี หรือเราก็จะทาครีมกันแดดให้ลูกอีกทีก้ได้

แต่ว่าเหนื่อยมากเลยนะขอบอก แบบที่ว่าให้พ่อแม่มีส่วนร่วมในกิจกรรม หรือช่วยส่งเสริมพัฒนาการความรู้ของลูกเนี้ย ต้องเอาใจใส่เยอะ คนเป็นแม่นี่ต้อง Stand by เลยแหล่ะ (พี่ถึงออกจากงานมาเลี้ยงลูก full time งัย)

น้องฝ้ายของลุกๆพี่ เราจะจัด Play group กันทุกวันศกร์หรือว่าเสาร์ เวียนกันไปตามบ้านของแต่ละคน และลูกพี่ตอนเด้กๆจะไปเล่นที่ Gymboree หรือ Little gym ค่ะ ทีเขียนมายาวๆเนี้ยเป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆเลยนะค่ะ