Previous
Next
Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
Results 1 to 10 of 16

Thread: ***ประชาสัมพันธ์ค่า *** 90 ปี Waldorf Education

Hybrid View

  1. #1
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    80
    พี่คะ แล้วลูกพี่ต้องไปเรียนพิเศษ หรือเข้า play group ที่ไหนหรือป่าวคะ
    แล้วพวกเสื้อผ้า การ์ตูน แบรนด์เนมเด็ก โรงเรียนเค้าก็ห้ามใช่มั๊ยคะพี่
    ที่ถามเพราะว่า ลูกเพื่อน เคยเอาไปเีีรียนที่ บ้านครูหนูดี
    อัจริยะสร้างได้ (รังสิต) เรียนแล้วตอนแรกเพื่อนบอกว่าเวิร์คมาก
    หนูเคยไปดูนโยบายโรงเรียน เค้าบอกเลยว่า
    ห้ามลูกเราใส่แบรนด์เนมเด็ก ห้ามใช้ของพวก ดอร่า คิตตี้ เจ้าหญิง
    อะไรแบบนี้


    ตอนหลังเพื่อนหนูให้ลูกออก เพราะว่า โรงเรียนไกลบ้านมาก
    (เพื่อนหนูอยู่วัชระพล) บวกกับอุดมการณ์ของแม่ไม่แน่วแน่พอ
    ประจวบกับหนูแนะนำโรงเรียนปัญโญทัยให้เพื่อนไปดู
    ใกล้บ้านเพื่อนหนูมาก เพื่อนเค้าก็เลยจะไปเรียนที่นั่น
    แต่เค้ารับตอน 4 ขวบนะคะ

    (จะบอกว่า เพื่อนหนูก็ซื้อแต่ของแบรนด์ให้ลูกเหมือนกัน)
    แต่ก็มีอุดมการณ์แน่วแน่ว่าอยากเรียนโรงเรียนแนวนี้ เคยเอาเสื้อผ้า
    ของเล่นแบรนด์เด็กไปให้ เค้าก็บอกว่า ไม่อยากให้ลูกใช้แล้ว
    เพราะจะเตรียมตัวให้ลูกเรียนปัญโญทัย แต่เ้ค้าก็ยังทำไม่ได้ค่ะ
    ล่าสุดยังชวนกันไปช๊อปอยู่เลย เลยไม่เข้าใจว่า
    มันเป็นเรื่องใหญ่มากในชีวิตของเด็กที่เีรียนแนวนี้เลยหรือป่าวคะ


    แหะ ๆ พูดซะยาว อย่าเพิ่งเบื่อนะคะ ขอถามอีกนิดนึงว่า พี่อยากให้ลูกเรียนไปจนถึงเมื่อไหร่คะ แล้วมัธยม อยากให้ไปต่อต่างประเทศหรือป่าวคะ

    ใจหนูชอบไตรทักษะนะคะ เพราะ พ่อ แม่ มีส่วนร่วมเยอะดี อยากเป็นส่วนนึงในการเรียนรู้ในโลกแห่งการศึกษาของลูกหน่ะค่ะ ส่วนอมาตยกุลนี่ เพื่อนหนูบอกว่า คิวยาวเหมือนกันค่ะ (แต่ยังไม่เคยไปดูโรงเีรียนค่ะ)
    เรื่องทำความสะอาดล้างช้อนเองนี่ ชอบมากเลยค่ะ

    ไม่รู้ว่าถ้าลูกเราเข้าตอนอนุบาล แล้วเค้าจะให้ลูกเราวาดรูปให้ดูมั๊ยคะ
    (ยังเขียนไมได้เลยค่ะ)


    คิดแล้วหวั่นใจกับสังคมไทยสมัียนี้ นักเรียนบางที่ วัดดีกรีกันที่ชื่อเสียงสถาบัน
    ทั้งนี้ทั้งนั้น เราต้องปลูกฝังตั้งแต่ครอบครัวเลย ต้องสอนให้ลูกหนักแน่นมากมาก
    (แต่แม่ไม่ค่อยจะหนักแน่นเอาซะเลย)

    ขอบคุณพี่มากมาก ที่ให้ความรู้นะคะ คุยกันอยู่สองคนเนอะ อิอิ

  2. #2
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    142
    เป็นการอ่านอย่างตั้งใจมาก ๆ (ปกติเวลาเห็นกระทู้ยาว ๆ ถ้าไม่ใช่ห้องสวยงาม ส่วนใหญ่เราจะผ่านเลยค่ะ ขี้เกียจ) วันนี้เข้ามาดูแล้วอ่านทุกตัวอักษร แล้วขอชื่นชมคุณแอมและน้องฝ้ายเลยค่ะ ที่มีความตั้งใจจริงและเปลี่ยนแปลงตัวเองและสิ่งแวดล้อมเพื่อลูก นับถือมาก ๆ ค่ะ

    ตัวเราอยากให้ลูกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ๆ เหมือนกัน ไม่อยากให้เป็นเด็กติดทีวี (แบบพี่สาวเค้า) แต่ทำไงล่ะ พ่อเค้า พี่สาวเค้า กลับถึงบ้าน สิ่งแรกที่ทำคือ คว้ารีโมทและเอนบนโชฟา เราหงุดหงิดแต่ทำไรไม่ได้ เพราะพูดมากก็ชวนทะเลาะ และ ณ ตอนนี้ ลูกสาวเรา(เกือบสองขวบ) ก็ติดการ์ตูนไปเรียบร้อยแล้วค่ะ

    เราอ่านเรื่องการเรียนการสอนแบบที่คุณแอมแนะนำมาแล้วชอบมาก เพราะเราเป็นคนไม่ชอบการแข่งขันที่สุด เราไม่ชอบ Ego เรามองว่าคนอีโก้จัดน่ากลัวจัง

    ทีนี้มีคำถามน่ะค่ะ ถึงทั้งคุณแอมและน้องฝ้ายเลย ว่าที่ไทยมีโรงเรียนลักษณะนี้รองรับเด็กไปจนถึงอายุเท่าไรเอ่ย แล้วตัังใจจะส่งเสริมการเรียนการสอนลักษณะนี้ไปจนลูก ๆ อายุเท่าไรคะ ขอบคุณมากค่า

  3. #3
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    94
    มาขอเก็บข้อมูลด้วยคนค่ะ (ข้อมูลปึ้กมากๆๆ)

  4. #4
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    3,485
    เข้ามาเก็บข้อมูลด้วยคนจ้ะ เพราะตอนนี้น้องสาวบ้านอยู่แถววัชรพล กำลังหาโรงเรียนให้ลูกชายอายุ สองขวบครึ่งอยู่ แต่ว่าโรงเรียนแบบนี้คงไม่สะดวกสำหรับน้องสาวพี่ เพราะว่างานของเค้าสองคนผัวเมียต้องเดินทางบ่อยกันทั้งคู่ ไม่มีเวลาที่จะไปมีส่วนร่วมกับลูกกับโรงเรียนแน่ๆ

    แต่นิดนึง มีความรู้สึกว่าเค้า Stric จังเลย กับเรื่องไม่ให้ดูทีวี ไม่ให้ใช้ของแบรนด์ เราว่าของทุกอย่างมันมีทั้ง "ดีและเสีย" นะอย่างมีลูกเพื่อนคนหนึ่ง พ่อเค้า (เป็นเด็กลูกครึ่ง) ไม่ให้ลูกดูทีวี กับเล่นคอมพิวเตอร์เลย พอเค้ามาเล่นที่บ้าน เลยนั่งดูทีวีไม่ขยับไปทำอะไรเลยเพราะว่าไม่เคยดู กับคอมพิวเตอร์ก็ปรากฎว่าเล่นไม่เป็นเปิดไม่เป็น พอมาได้เล่นเกมส์ในคอมพิวเตอร์เลยนั่งไม่ลุกเลยเหมือนกัน เวลาที่มี play group ตามบ้านเพื่อนเด็กคนนี้จะไม่เล่นกับเพื่อนเลยแต่จะเอาแต่นั่งดูทีวีอย่างเดียว แทนที่เราจะ"ห้าม" แต่เราเปลี่ยนเป็น "จำกัดเวลาเล่น" น่าจะดีกว่า (ความเห็นส่วนตัว) อย่างลูกเราตอนนี้ก้อพยามยามจะจำกัดเวลาว่าเล่นได้ตั้งแต่กี่โมงถึงกี่โมงและต้องเปลี่ยนกันเล่นกับคนอื่นด้วย เอานาฬิกามาตั้งไว้ให้ดูเลย ว่าตั้งแต่เวลานี้ถึงเวลานี้นะ (สอนให้รู้จักการ Chair ไปในตัวและให้รู้จักดูเวลาด้วย)

    เพราะในโลกของความเป็นจริงแล้วเราไม่สามารถ "หลีกเลี่ยง" ไปจากสิ่ง "เร้า" ต่างๆได้หรอกแต่แทนที่เราจะ "ห้าม" เราน่าจะ "สอน"ให้เค้าได้รู้ถึง "คุณและโทษ" และหาทาง "ป้องกัน" จากสิ่งเหล่านั้นดีกว่า มีครั้งหนึ่ง ลูกสาวเรากลับมาบ้านแล้วพูดสบถคำหยาบของฝรั่งออกมาเราตกใจมากว่า เฮ้ย..ลูกเอามาจากไหน แต่แทนที่เราจะไปไล่ถามหาว่าเอามาจากใคร เด็กคนไหนเป็นคนพูด เราก็สอนลูกเราว่า "คำๆนี่ไม่ดีนะลูก เราไม่พูดกันหรอก ถ้าลูกได้ยินเพื่อนคนไหนพูดอีกก็ให้บอกกับเพื่อนด้วยว่ามันไม่สุภาพ" ก็จบ แต่เทียบกับแม่ฝรั่งอีกคน มาไล่ถามหาว่าลูกใครเป้นคนพูดแล้วก็มาโวยวาย ว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอนลูก อะไรแบบเนี้ย

    อย่างทีวี "เราบอกลูกว่าถ้าดูทีวีเยอะๆนะตาลูกจะกลายเป็นสี่เหลี่ยมเหมือนทีวีเลยนะ ไม่กลัวเหรอ " แต่ลูกเราก็ไม่ได้ติดมากมากอ่ะไร พอเค้าเบื่อๆเค้าก็ปิดทีวีมาทำอย่างอื่นเอง เราชอบ"เดินสายกลาง" มากกว่าและคิดเสมอว่าของทุกอย่าง "มีทั้งข้อดีข้อเสีย"

    อีกอย่างเรื่องของคนแปลกหน้า เห็นได้ยินแต่บอกกับเด้กว่า"ให้ระวังคนแปลกหน้านะอย่าไปพูดกับคนแปลกหน้านะ แต่เคยบอกถึงวิธีป้องกันตัวบ้างมั้ย" เราจะสอนลูกเราเสมอว่า" ถ้ามีคนแปลกหน้ามาจับตัวลูกไป ให้รีบวิ่งไปหาคนที่เค้าสวมเครื่องแบบ รปภ หรือตำรวจนะ ตะโกนขอให้ช่วยให้ดังที่สุด ทุกภาษาที่ลูกพูดได้ (ลูกเราพูดสามภาษา) และถ้ามันจับตัวลูกได้ ให้ดิ้นสุดตัวอย่าอยู่เฉยๆ กัดได้เป็นกัด ตี เตะ ต่อย ข่วน มันอย่าให้มันเอาตัวลูกไปได้นะ ถ้าลูกกำลังปั่นจักรยานหรือทำอไรอยู่อย่าทิ้งสิ่งของเหล่านั้นให้ถือไว้ จับไว้ให้แน่นที่สุด อย่างน้อยมันก็คงจะยากกว่าถ้ามันต้องอุ้มทั้งเด็กและจักรยานแหล่ะน้า"

    เรื่องของแบรนด์เนม บางครั้งมันห้ามกันไม่ได้เราก็ต้องสอนลูกเรา ว่ามันจำเป็นแค่ไหน ที่ต้องมีต้องใช้ "เรามาใช้แบบนี้ดีมั้ย เพราะว่ามันก็เป็นแก้วน้ำเหมือนกัน อันนี้ แก้วใหญ่กว่าแก้วเจ้าหญิงอีกนะลูกและราคาก็ถูกกว่า เราจะได้มีเงินเหลือเอาไว้ไปเที่ยวหรือทำอะไรอย่างอื่นที่ลูกชอบดีมั้ยค่ะ" แต่ลองมาคิดๆดูนะ เท่าทีเราซื้อของนะบางทีลูกไม่ได้อยากได้หรือชอบหรอก แต่พวก "พ่อแม่" นั้นแหล่ะเห็นว่าน่ารักดีเลยอยากซื้อให้ลูก (อันนี้เราเป็น จากประสบการ์ณตรงเลย แฮะๆ) และเราอยู่ในฐานะที่ซื้อได้ก็ซื้อ แต่ก็ไม่ได้พร่ำเพรื่อ ต้องเป็นเทศกาล เท่านั้นเช่น วันเกิด หรือคริสมาส เท่านั้น แต่โชคดีที่ลูกเราก้ไม่ติดแบรนด์เนมนะ

    ก็ถูกที่ว่าที่โรงเรียนห้ามไม่ให้เอาของแบรนด์เนมไป แต่ว่าในชืวิตจริงข้างนอก เราต้องพาลูกออกไปเจอกับเด้กคนอื่นที่ไม่ได้เรียนเหมือนลูกเราบ้างแหล่ะนา แล้วที่นี้จะเป็นยังงัยกันละ

    แต่ว่าเราชอบนะที่แบบว่า Learning by doing เนี้ย ออกไปเจอแดด เจอลมบ้าง เด็กๆจะได้แข็งแรง ที่โรงเรียนลูกเรา เค้าจะ "บังคับ"เลยว่าเด็กจะต้องใส่หมวกออกไปเล่นข้างนอกในตอนที่เค้ามีช่วงพักถ้าใครไม่มีหมวก จะให้เล่นแต่ในร่มเท่านั้น และมียูนิฟอร์มด้วย ทั้งกระเป๋า เสื้อผ้าหน้าผม อันนี้ชอบเด็กๆจะได้ไม่แต่งตัวแข่งกันดี หรือเราก็จะทาครีมกันแดดให้ลูกอีกทีก้ได้

    แต่ว่าเหนื่อยมากเลยนะขอบอก แบบที่ว่าให้พ่อแม่มีส่วนร่วมในกิจกรรม หรือช่วยส่งเสริมพัฒนาการความรู้ของลูกเนี้ย ต้องเอาใจใส่เยอะ คนเป็นแม่นี่ต้อง Stand by เลยแหล่ะ (พี่ถึงออกจากงานมาเลี้ยงลูก full time งัย)

    น้องฝ้ายของลุกๆพี่ เราจะจัด Play group กันทุกวันศกร์หรือว่าเสาร์ เวียนกันไปตามบ้านของแต่ละคน และลูกพี่ตอนเด้กๆจะไปเล่นที่ Gymboree หรือ Little gym ค่ะ ทีเขียนมายาวๆเนี้ยเป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆเลยนะค่ะ

  5. #5
    amm's Avatar
    amm is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    182
    เรื่องเสื้อผ้า จะใส่เครื่องแบบนักเรียนแค่ 1 วันค่ะ เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของทางกระทรวงศึกษาฯ ส่วนวันอื่่นๆใส่ชุดธรรมดา แต่ต้องเป็นสีสันสดใส (สีเทา ดำไม่ควรใส่ค่ะ) ต้องไม่มีลวดลายการ์ตูนค่ะ เพื่อไม่ให้เด็กสนใจแต่เรื่องการแต่งตัว หรือแต่งมาอวดกันค่ะ แค่ให้รู้ว่าเป็นเพียงแค่เครื่องนุ่งห่ม แต่ไม่ได้บอกว่าไม่ให้ใส่แบรนด์เนมนะคะ ถ้าสามารถหาเสื้อผ้าแบรนด์เนมที่ไม่มีลวดลาย ก็ใส่ได้ค่ะ
    จะบอกว่าเสื้อผ้าที่ไม่มีลวดลายนี่หายากมากๆค่ะ พี่ก็เลยใช้วิธีซื้อเสื้อยืดสีขาวไม่มีลาย แล้วให้ลูกวาดลงไปเองอ่ะค่ะ แบบนี้ครูไม่ว่าค่ะ เพราะทำเอง แล้วอีกอย่างกิจกรรมของเด็กที่นี่ คลุกฝุ่น คลุกทรายค่ะ แล้วก็มีการระบายสีน้ำเกือบทุกวัน เสื้อจะเน่ากลับมาบ้านทุกวันค่ะ ถ้าซื้อเสื้อผ้าดีๆใส่วันเดียวก็ไม่เหลือแล้วอ่ะค่ะ

    ณ ตอนนี้ที่โรงเรียนมีโึีึครงการมัธยมถึงแค่ ม.3 หรือเกรด 9 ยังไม่แน่ว่าจะมีต่อหรือเปล่า (แต่คิดว่ามี) แต่ถ้าไม่มีต่อพี่ก็คงจะให้ลูกไปเข้าปัญโญทัยต่อค่ะ จุดมุ่งหมายคือเรียนให้จบมัธยม 6 ค่ะ เพราะเรามาแนวนี้แล้ว ถ้าเปลี่ยนใจ โดยส่งให้ลูกไปเรียนโรงเรียนปกติ จะบอกว่าเด็กจะ suffer ค่ะ เพราะในช่วงประถมวิธีการสอนของแนวนี้ ความรู้ของเด็กจะล้าหลังกับโรงเรียนปกติอยู่ประมาณ 1 ปี แต่ก็มีผู้ปกครองบางคนที่ตัดสินใจให้ลูกออก เพราะกลัวว่าลูกจะไม่แน่นเรื่องวิชาการ กลัวลูกสอบเอ็นฯไม่ได้ ก็ให้ลูกไปเข้าโรงเรียนธรรมดา ก็ใช้เวลาประัมาณเกือบปี เด็กถึงจะสามารถปรับตัวให้เรียนทันเพื่อนได้อ่ะค่ะ เพราะฉะนั้น คิดให้ดีค่ะ แล้วต้องไม่ไปเปรียบเทียบลูกกับเด็กที่เรียนโรงเรียนปกติ

    ส่วนเรื่องที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้หรือไม่ ไม่ได้หวังค่ะ ถ้าเข้าไม่ได้อาจจะให้เรียนในนี้ เช่น Abac ที่ไม่ต้องสอบเอ็นท์ฯเข้า หรือส่งไปเรียนอเมริกา เพราะมีญาติอยู่ที่นั่นเยอะค่ะ แต่ถึงวันนั้นก็จะรู้เองค่ะ ว่าจะทำยังไง เพราะจริงๆแล้ว การเรียนแนวนี้จะเน้นเรื่องวิชาการตอนมัธยมปลายค่ะ โดยที่เค้าจะไม่แบ่งว่าเป็นสายวิทย์ สายศิลป์ เหมือนระบบปกติ แต่เด็กต้องเรียนทั้งหมด เพราะเค้าคิดว่าทุกเรื่องเป็นสิ่งที่เด็กต้องรู้ ฟิสิกส์ เคมี คณิตศาสตร์ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันทั้งนั้น รวมทั้งภาษา เพราะฉะนั้นต้องเรียนรู้ทั้งหมด

    เล่าเพิ่มเติมอีกนิดนะคะ คุณครูประจำชั้นจะอยู่กับเด็กตั้งแต่ ประถม 1 - มัธยม 3 ค่ะ โดยที่จะเป็นผู้สอนเกือบทุกวิชา ยกเว้น ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และก็งานหัตถกรรม ที่นี่มีชั้นละ 1 ห้องเท่านั้นนะคะ ห้องนึงจะมีนักเรียนประมาณ 20-23 คน อ้อ ลูกพี่ผู้ชายอยู่โรงเรียนนี้ต้องถักนิตติ้งนะคะ มีถักโครเชต์ด้วย เพราะจะช่วยในเรื่องสมาธิ และฝึกกล้ามเนื้อเล็ก แล้วเด็กจะได้เรียนรู้ว่า เค้าสามารถทำของใช้เองได้ ตั้งแต่เรียนมานี่ ลูกถักผ้าพันคอ ถักถุงใส่ขลุ่ย (ต้องเรียนขลุ่ย) ถักหมวก ถักถุงเท้า ทำตุ๊กตา มีสอนเย็บผ้า ปัก ทำกระเป๋าใส่ไหมพรม ทำกระเป๋าใส่เศษสตางค์ให้แม่ เค้าเย็บเก่งกว่าพี่อีกค่ะ ^ ^"

    ตั้งแต่ป.1 เด็กๆจะต้องเรียนดนตรี เริ่มจากขลุ่ยไม้ แล้วก็มาเป็น recorder ตอนปลาย ป.3 ก็จะเริ่มเรียนเครื่องดนตรีคลาสสิค ซึ่งการเรียนแนวนี้เค้าจะให้เรียนเครื่องสายเป็นเครื่องดนตรีชิ้นแรก ลูกพี่เรียนเชลโล่ค่ะ บางคนอาจจะสงสัยว่าทำไม ไม่เรียนเปียโนก่อน เค้าบอกว่าเครื่องสายจะทำให้เด็กเรียนรู้ว่าแต่ละเสียงเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ละสายที่สี การกดสายแล้วเสียงเปลี่ยน คือเหมือนกับว่าเด็กจะรู้ที่มาที่ไปของเสียงอ่ะค่ะ ในขณะที่เปียโนเด็กจะไม่รู้ว่าเสียงเกิดขึ้นได้ยังไง แล้วเครื่องสายเวลาสีมันจะสั่น ทำให้เกิดพลังที่ร่างกายเด็กจะรับรู้ในพลังนั้น แล้วไม่ใช่ว่าเราเลือกเครื่องดนตรีเองนะคะ คุณครูจะเป็นคนเลือกให้ เพราะเด็กจะได้เล่นไวโอลิน หรือเชลโล่ ขึ้นอยู่กับอุปนิสัย และรูปร่างของเด็ก อย่างลูกพี่ เป็นเด็กไม่นิ่งมาก ฝันเยอะ แล้วเป็นเด็กไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง เค้าก็จะให้เล่นเชลโล่ เพื่อดึงให้เด็กนิ่งขึ้น เนื่องจากเชลโล่ เสียงจะทุ้ม แล้วเป็นเครื่องดนตรีที่จะต้องนั่งเ่ล่น รวมถึงการโอบกอดเชลโล่จะทำให้เด็กรู้สึกมั่นคงค่ะ

    ณ วันนี้รู้สึกได้เลยว่า ไม่ผิดหวังที่มาทางนี้จริงๆค่ะ ลูกมีความสุขมาก เราก็มีความสุขที่เห็นลูกมีความสุข ไม่มีอะไรปลื้มไปกว่านี้แล้วค่ะ

    ปล. น้องฝ้าย ถ้าเข้าอนุบาล คงไม่ต้องทดสอบอะไรมั๊งคะ น่าจะแค่คุยกับพ่อแม่ ให้มั่นใจว่าจะมาทางนี้จริงๆ พอดีลูกพี่เข้าป.1 ไม่ได้เรียนอนุบาลที่นี่ เค้าอาจจะอยากรู้ว่าเด็กเหมาะที่จะไปทางนี้หรือไม่อ่ะค่ะ แล้วคุณครูประจำชั้นเค้าคงอยากจะรู้จักเด็กอ่ะค่ะ ว่าจะไปด้วยกันได้หรือเปล่า


    จริงๆพี่ก็ยังไม่ได้รู้เรื่องแนวนี้ทั้งหมด ทุกวันนี้ก็ยังคงต้องเข้า study group ที่จัดขึ้นโดยคุณพ่อ คุณแม่ ในโรงเรียน ยังต้องอ่านหนังสือเยอะแยะ เพราะต้องทำความเข้าใจเด็กในแต่ละช่วงวัย ว่ามีความต้องการอย่างไร ด้วยค่ะ

  6. #6
    amm's Avatar
    amm is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    182
    ตอบพี่นีน่าเรื่องห้ามดูทีวีนะคะ เนื่องจากการสอนแนวนี้เชื่อว่า ทีวีมีผลเสียมากกว่าผลดีค่ะ เด็กๆยังไม่สามารถคิดเองได้ เพราะฉะนั้นการดูทีวีจึงยังไม่เหมาะสมกับเด็กอ่ะค่ะ ถ้าห้ามดู คือต้องไม่ดูเ้ลย ไม่ใช่ไปบ้านญาติแล้วเค้าเปิดทีวี แล้วก็ให้เค้าไปนั่งดู ไม่ได้ค่ะ เพราะยังไงเด็กก็อยากดูทีวีอยู่แล้ว สิ่งเร้าในทีวีมันกระตุ้นเด็กได้ง่าย
    ลูกแอ้มก็อยากดูนะคะ แต่เราให้เหตุผลเค้าว่า ยังไม่ถึงเวลา รายการที่มีในทีวียังไม่เหมาะกับวัยของลูก ลูกได้อะไรจากการดูการ์ตูน ลูกไปตีแบตฯกับแม่, พ่อไม่ดีกว่าเหรอ เราไปขี่จักรยานกันมั๊ย แค่นี้เค้าก็ไม่เคยเรียกร้องที่จะดูเลยค่ะ หรือเคยไปบ้านญาติแล้วเค้าเปิดทีวี เราก็ชวนลูกทำอย่างอื่นคะ ดึงเค้าออกมาจากทีวี อย่างที่บอกค่ะ การเลิกดูทีวี จะช่วยทำให้ครอบครัวมีกิจกรรมร่วมกันมากขึ้นค่ะ ก็มีผู้ปกครองบางท่านที่ไม่ค่อยเห็นด้วย เช่นอยากให้เด็กดูสารคดีสัตว์ แอ้มก็เคยให้ลูกดูค่ะ เพราะเค้าชอบสัตว์มาก แต่คุณครูบอกว่า ให้คิดว่าให้ลูกดูเพื่ออะไร ถ้าต้องการให้เค้ามีความรู้ หาหนังสือมาอ่านก็ได้ พาไปสวนสัตว์ แต่จริงๆเค้ายังไม่ต้องรู้ตอนนี้ก็ได้ ไม่ต้องยัดเยียดความรู้ให้ลูก ฟังแล้วอึ้งไปเลยอ่ะค่ะ

    แล้วการที่ถ้าเด็กในห้องดูทีวี เด็กจะมีพฤติกรรมที่กระทบกับเด็กทั้งห้องอ่ะค่ะ ไม่ว่าการพูด การเล่น มันจะออกมาหมด คุณครูบอกว่า สามารถบอกได้เลยว่า เด็กคนไหนดูทีวีมา โดยเฉพาะตอนช่วงปิดเทอม ^^'

    อุปกรณ์ปกติที่ต้องเอาไปโรงเรียนของลูก ก็คือ หมวกกับกระติกน้ำค่ะ หมวก ก็คงเหมือนโรงเรียนลูกพี่นีน่า คือไว้สำหรับใส่ เวลาเล่นนอกห้องเรียน แล้วเด็กจะได้เรียนรู้ว่า เมื่อออกนอกห้องเรียน ไปที่สนามต้องใส่หมวก และรู้ว่านี่เป็นเวลาเล่น แล้วช่วงป.1-ป.4 เด็กจะไม่มีการบ้าน เพราะฉะนั้นสมุดเครื่องเขียนทุกอย่างอยู่ที่โรงเรียน ไม่ต้องเอากลับบ้านค่ะ แล้วที่นี่ไม่มีหนังสือ การเรียนจะผ่านจากการเล่าเรื่องของคุณครูประจำชั้น แล้วก็จดใส่สมุด


  7. #7
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    80
    Quote Originally Posted by oohio View Post

    เราไม่ชอบ Ego เรามองว่าคนอีโก้จัดน่ากลัวจัง

    ทีนี้มีคำถามน่ะค่ะ ถึงทั้งคุณแอมและน้องฝ้ายเลย ว่าที่ไทยมีโรงเรียนลักษณะนี้รองรับเด็กไปจนถึงอายุเท่าไรเอ่ย แล้วตัังใจจะส่งเสริมการเรียนการสอนลักษณะนี้ไปจนลูก ๆ อายุเท่าไรคะ ขอบคุณมากค่า
    ถ้ายาวไปขอโทษนะคะ เขียนอย่างตั้งใจทุกตัวอักษรค่ะ

    ตอบพี่โอ๋ค่ะ เรื่องการศึกษาต่อของลูก ตอนนั้นที่ฝ้ายไปสอบถามข้อมูลที่โรงเรียน ฝ้ายเตรียมคำถามไปประมาณ 2 หน้ากระดาษ
    ทุกโรงเรียนฝ้ายไปมาหมดแล้ว ย่านสุขุมวิท ย่านเอกมัย
    ที่ไหนที่เค้าว่าดี ฝ้ายไปหมด นานาชาติก็ไป

    แต่พอมาโรงเรียนนี้ ฝ้ายต้องอึ้งกับคำตอบ และฝ้ายไม่สามารถยิงคำถามอย่างที่ฝ้ายเคยถามได้ ฝ้ายเคยข้องใจแบบที่พี่โอ๋ถามค่ะ ว่า
    แล้วลูกเราจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยกะเค้าได้มั๊ย
    ฝ้ายลองถามครูที่ปัญโญทัยดู ครูได้ตอบฝ้ายมาว่า นั่นแหล่ะคือความคาดหวังในตัวลูก ที่ฝ้ายพูดออกมาอย่างไม่รู้ตัว
    ถามว่า การเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อ จะเป็นสิ่งที่สูงสุดในชีวิตมั๊ย
    คำตอบคือไม่ ครูให้ฝ้ายกลับมาถามใจตัวเองก่อนว่า รับได้มั๊ย
    ถ้าลูกเรียนไม่ทันเด็กข้างบ้าน หรือ คนรอบข้างในครอบครัว
    ครูตั้งคำถามว่า ฝ้ายโอเคมั๊ย ถ้าลูกสอบเข้ามหาวิทยาลัยดัง ๆ ไม่ได้

    ครูตอบฝ้ายไม่ได้หรอกว่าเด็กจะสอบเข้าที่ไหนได้บ้าง เพราะที่ผ่าน ๆ มา เด็กที่เรียนที่นี่ เรียนจบแล้ว สามารถดำรงอยู่ในสังคมไหนก็ได้ทั่วโลก เด็กจะปรับตัวได้ ทุกที่ ทุกสถานการณ์ ส่วนใหญ่ก็ต่อต่างประเทศ บางคนก็ทำงานอย่างทีชอบ พอถึงเวลานั้น เค้ารู้ว่าเค้าชอบอะไร เค้าก็จะไปเรียนเสริมเอาค่ะ

    แต่เค้าก็ให้ฝ้ายถามตัวเองอีกว่าครอบครัวเป็นอย่างไร เค้าแนะนำว่าครอบครัวเราต้องหนักแน่นก่อน และที่สำคัญ ผู้เป็นแม่ ต้องไม่หวั่นไหว กับคำคอระหาใด ๆ ของเพื่อนรอบข้าง เมื่อวัยเด็กลูกเราวิชาการไม่เท่าเทียมคนอื่น) ซึ่งตอนนั้นยอมรับว่า เพื่อนที่มาด้วยกัน เขวมากมาก (รวมทั้งตัวฝ้ายด้วย) ตอนนั้น ไม่รู้จักใครเลยที่มีลูกเรียนที่นั่น คิดจนหัวระเบิด กลับมาปรึกษาคนที่บ้าน ยิ่งโดนหนักเข้าไปใหญ่ จนฝ้ายไปเจอปัญโยทัย เลยแนะนำให้ลูกเพื่อนเข้า เค้าจะเข้าปีหน้า ยอมรับว่า จะคอยดูอยู่ห่าง ๆ เพราะลูกเราอายุยังไม่ถึง จะดูจนถึงลูกเรา 3 ขวบ (ตอนนี้ 2 ขวบค่ะ)

    ส่วนเรื่อง อีโก้จัด ตอบพี่โอ๋ว่า ฝ้ายก็ไม่ชอบเอามากมาก พี่คนนึงในครอบครัวแฟน (ขอแอบเมาส์) เค้าเป็นคนอีโก้สูงมากกก เรียนตามสะเต็บ ป. 6 ได้ เกรด 4 ตลอด เข้า ม.1-ม.6 ก็ได้ที่หนึ่งตลอด จากนั้นเข้ามหาวิทยาลัย ก็ได้เกียรตินิยม อันดับ 1 เหรียญทอง จากนั้นไปต่อโทที่เมืองนอกจบมา 2 ปี
    เข้าทำงานได้ตำแหน่งดีอยู่ที่เดิม 7 ปี ตื่นเช้ามาไปทำงานกลับบ้านนอน ไม่มีเพื่อนเลย อีโก้สูงมากกกกก ใครคิดเห็นไม่เหมือนเค้า ความหมายคือ เธอโง่ เธอไม่ได้เรื่อง เธอไม่มีความคิดอะไรประมาณนี้

    นั่นคือผลพวงมาจากพ่อแม่บังคับทุกอย่างตั้งแต่เด็กจนโต ทุกวันนี้ ไม่เคยเห็นเธอยิ้มอย่างเต็มมุมปากเลยสักครั้ง ร้องเพลงห้ลูกฟังยังไม่เคย ทุกวันนี้ลูกเค้าพอเห็นฝ้ายกับแพรวา ก็จะร้องดึงแขนพี่เลี้ยง เดิน ๆ ๆ ตามมาที่บ้านฝ้าย จะรอเล่นกับแพรวาทุกวัน เหมือนแววตาเค้าไม่มีความสุข ฝ้ายสงสารค่ะ ถ้าเค้าต้องเดินตามรอยชีวิตที่อยู่ในกรอบแบบนั้น

    ไม่ได้ แอนตี้นะคะ แต่เราคิดว่า เราเบื่อชีวิตแบบนี้ เราเลยอยากให้ลูกมีความสุข เราเลยไขว่คว้าหาข้อมูลทุกอย่างของลูกเท่าที่เราผู้เป็นแม่สามารถจะทำได้ค่ะ



    Quote Originally Posted by srichardson View Post

    น้องฝ้ายของลุกๆพี่ เราจะจัด Play group กันทุกวันศกร์หรือว่าเสาร์ เวียนกันไปตามบ้านของแต่ละคน และลูกพี่ตอนเด้กๆจะไปเล่นที่ Gymboree หรือ Little gym ค่ะ ทีเขียนมายาวๆเนี้ยเป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆเลยนะค่ะ
    ฝ้ายเรียน baby genious ค่ะพี่นีน่า เพราะใกล้บ้าน
    อยากเรียน Little gym แต่หาที่เรียนไม่ได้ค่ะ Gymburee
    ก็ไกลบ้านอีกค่ะ ลูกพี่จัด play group เพราะเรียนอินเตอร์ใช่มั๊ยคะ
    แอบกระซิบว่า แม่ที่นั่น เครียดมาก เวลาลูกร้องเพลงไม่ได้เลย ลูกเคาะจังหวะไม่ได้เลย เปรียบเทียบลูกชั้นลูกเธอ ปวดหัวอยู่เหมือนกันค่ะ แต่ท่องไว้ในใจเสมอค่ะ หนักแน่นฝ้ายหนักแน่นๆๆๆ

    ตอบพี่เรื่องแบรนด์เนมค่ะ จะบอกว่า ฝ้ายก็ทำไม่ได้เหมือนกัน
    ทุกวันนี้ บ้าซื้อให้ลูกมาก ลูกกินแก้วอะไรก็ได้ ที่มีน้ำอยู่
    (แต่แม่มันบ้า แฮะ แฮะ) เสื้อผ้า ก็ซื้อ ๆ ๆ ๆ น่ารักมากมาก ทุกแบบทุกลาย
    แต่ช้ำใจมาก ลูกใส่อยู่ตัวเดียว เสื้อผ้ามัน ๆ (ตามตลาดนัด 50 บาท)
    ลายช้างก้านกล้วย ต้องซื้อซ้ำให้อีก 1 ตัว เพราะลูกไม่ยอมถอดเลยค่ะ
    ตอนพาไปอาบน้ำก็ไม่ยอมถอด ต้องรดน้ำใส่เสื้อลูก แล้วบอกว่า ก้านกล้วยเปียกน้ำนะ เอาไปตากแดดก่อน เฮ่อกุ้มมากค่ะ จนทุกวันนี้
    เสื้อดีดีแพง ๆ ที่ซื้อให้ ของเล่น แก้วน้ำ กระติกจานชามลายการ์ตูน
    ไม่มีความหมายซักเท่าไหร่ ตอนนี้เลยจะตัดใจ ไม่ซื้อให้ลูกแล้วไงคะพี่
    ฝ้ายจะหันมาดูแลตัวเองแทน จะได้ไม่มีตังค์ซื้อให้ลูกค่ะ

    โรงเรียนทีบอกฝ้ายว่าไม่เน้นแบรนด์คือบ้านหนูดี อัจริยะสร้างได้ ที่รังสิตค่ะ
    แต่การ์ตูนยอมรับว่าฝ้ายก็เอามาล่อลูกเหมือนกัน ได้บ้าง ไม่ได้บ้างค่ะพี่นีน่า



    Quote Originally Posted by amm View Post
    ตอบพี่นีน่าเรื่องห้ามดูทีวีนะคะ เนื่องจากการสอนแนวนี้เชื่อว่า ทีวีมีผลเสียมากกว่าผลดีค่ะ เด็กๆยังไม่สามารถคิดเองได้ เพราะฉะนั้นการดูทีวีจึงยังไม่เหมาะสมกับเด็กอ่ะค่ะ ถ้าห้ามดู คือต้องไม่ดูเ้ลย ไม่ใช่ไปบ้านญาติแล้วเค้าเปิดทีวี แล้วก็ให้เค้าไปนั่งดู ไม่ได้ค่ะ เพราะยังไงเด็กก็อยากดูทีวีอยู่แล้ว สิ่งเร้าในทีวีมันกระตุ้นเด็กได้ง่าย
    ลูกแอ้มก็อยากดูนะคะ แต่เราให้เหตุผลเค้าว่า ยังไม่ถึงเวลา รายการที่มีในทีวียังไม่เหมาะกับวัยของลูก ลูกได้อะไรจากการดูการ์ตูน ลูกไปตีแบตฯกับแม่, พ่อไม่ดีกว่าเหรอ เราไปขี่จักรยานกันมั๊ย แค่นี้เค้าก็ไม่เคยเรียกร้องที่จะดูเลยค่ะ หรือเคยไปบ้านญาติแล้วเค้าเปิดทีวี เราก็ชวนลูกทำอย่างอื่นคะ ดึงเค้าออกมาจากทีวี อย่างที่บอกค่ะ การเลิกดูทีวี จะช่วยทำให้ครอบครัวมีกิจกรรมร่วมกันมากขึ้นค่ะ ก็มีผู้ปกครองบางท่านที่ไม่ค่อยเห็นด้วย เช่นอยากให้เด็กดูสารคดีสัตว์ แอ้มก็เคยให้ลูกดูค่ะ เพราะเค้าชอบสัตว์มาก แต่คุณครูบอกว่า ให้คิดว่าให้ลูกดูเพื่ออะไร ถ้าต้องการให้เค้ามีความรู้ หาหนังสือมาอ่านก็ได้ พาไปสวนสัตว์ แต่จริงๆเค้ายังไม่ต้องรู้ตอนนี้ก็ได้ ไม่ต้องยัดเยียดความรู้ให้ลูก ฟังแล้วอึ้งไปเลยอ่ะค่ะ

    แล้วการที่ถ้าเด็กในห้องดูทีวี เด็กจะมีพฤติกรรมที่กระทบกับเด็กทั้งห้องอ่ะค่ะ ไม่ว่าการพูด การเล่น มันจะออกมาหมด คุณครูบอกว่า สามารถบอกได้เลยว่า เด็กคนไหนดูทีวีมา โดยเฉพาะตอนช่วงปิดเทอม ^^'

    อุปกรณ์ปกติที่ต้องเอาไปโรงเรียนของลูก ก็คือ หมวกกับกระติกน้ำค่ะ หมวก ก็คงเหมือนโรงเรียนลูกพี่นีน่า คือไว้สำหรับใส่ เวลาเล่นนอกห้องเรียน แล้วเด็กจะได้เรียนรู้ว่า เมื่อออกนอกห้องเรียน ไปที่สนามต้องใส่หมวก และรู้ว่านี่เป็นเวลาเล่น แล้วช่วงป.1-ป.4 เด็กจะไม่มีการบ้าน เพราะฉะนั้นสมุดเครื่องเขียนทุกอย่างอยู่ที่โรงเรียน ไม่ต้องเอากลับบ้านค่ะ แล้วที่นี่ไม่มีหนังสือ การเรียนจะผ่านจากการเล่าเรื่องของคุณครูประจำชั้น แล้วก็จดใส่สมุด
    ขอบคุณพี่แอมสำหรับข้อมูลเรื่องการดูทีวีค่ะ ฝ้ายเคยทำแล้ว ทะเลาะกับคุณตา (คุณพ่อของฝ้ายเอง) ทะเลาะกันแรงมาก เรื่องให้หลานดูทีวี ล่าสุดทะเลาะกับคุณทวด (คุณยายฝ้ายเอง)
    ป่าป๊า (แฟนฝ้าย) จนฝ้ายปลงแล้ว เบื่อทีจะพูด เคยคิดจะพาลูกหนีไปอยู่กันสองคน 555 เคยทำด้วยนะคะ ตลกมากมาก สุดท้ายก็กลับบ้านมานอนสลบเหมือนเดิม

    ฝ้ายไม่อยากให้ลูกดูเลยจริง ๆ ทุกวันนี้เลยพาลูกไปโรงเรียน เพราะเหตุผลที่ว่า เวลาลูกอยู่โรงเรียนจะได้ไม่ต้องดูทีวีด้วยส่วนนึง กลับบ้านมา พอถึงเวลานอนเราก็สั่งพี่เลี้ยงได้ค่ะ

    พี่แอม ฝ้ายว่า วันที่ 4-5 มาเจอกันมั๊ยคะ จะได้ไม่ต้องพิมพ์ให้เมื่อยๆๆๆ ระ อิอิ

Posting Permissions

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •