เรื่องเสื้อผ้า จะใส่เครื่องแบบนักเรียนแค่ 1 วันค่ะ เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของทางกระทรวงศึกษาฯ ส่วนวันอื่่นๆใส่ชุดธรรมดา แต่ต้องเป็นสีสันสดใส (สีเทา ดำไม่ควรใส่ค่ะ) ต้องไม่มีลวดลายการ์ตูนค่ะ เพื่อไม่ให้เด็กสนใจแต่เรื่องการแต่งตัว หรือแต่งมาอวดกันค่ะ แค่ให้รู้ว่าเป็นเพียงแค่เครื่องนุ่งห่ม แต่ไม่ได้บอกว่าไม่ให้ใส่แบรนด์เนมนะคะ ถ้าสามารถหาเสื้อผ้าแบรนด์เนมที่ไม่มีลวดลาย ก็ใส่ได้ค่ะ
จะบอกว่าเสื้อผ้าที่ไม่มีลวดลายนี่หายากมากๆค่ะ พี่ก็เลยใช้วิธีซื้อเสื้อยืดสีขาวไม่มีลาย แล้วให้ลูกวาดลงไปเองอ่ะค่ะ แบบนี้ครูไม่ว่าค่ะ เพราะทำเอง แล้วอีกอย่างกิจกรรมของเด็กที่นี่ คลุกฝุ่น คลุกทรายค่ะ แล้วก็มีการระบายสีน้ำเกือบทุกวัน เสื้อจะเน่ากลับมาบ้านทุกวันค่ะ ถ้าซื้อเสื้อผ้าดีๆใส่วันเดียวก็ไม่เหลือแล้วอ่ะค่ะ

ณ ตอนนี้ที่โรงเรียนมีโึีึครงการมัธยมถึงแค่ ม.3 หรือเกรด 9 ยังไม่แน่ว่าจะมีต่อหรือเปล่า (แต่คิดว่ามี) แต่ถ้าไม่มีต่อพี่ก็คงจะให้ลูกไปเข้าปัญโญทัยต่อค่ะ จุดมุ่งหมายคือเรียนให้จบมัธยม 6 ค่ะ เพราะเรามาแนวนี้แล้ว ถ้าเปลี่ยนใจ โดยส่งให้ลูกไปเรียนโรงเรียนปกติ จะบอกว่าเด็กจะ suffer ค่ะ เพราะในช่วงประถมวิธีการสอนของแนวนี้ ความรู้ของเด็กจะล้าหลังกับโรงเรียนปกติอยู่ประมาณ 1 ปี แต่ก็มีผู้ปกครองบางคนที่ตัดสินใจให้ลูกออก เพราะกลัวว่าลูกจะไม่แน่นเรื่องวิชาการ กลัวลูกสอบเอ็นฯไม่ได้ ก็ให้ลูกไปเข้าโรงเรียนธรรมดา ก็ใช้เวลาประัมาณเกือบปี เด็กถึงจะสามารถปรับตัวให้เรียนทันเพื่อนได้อ่ะค่ะ เพราะฉะนั้น คิดให้ดีค่ะ แล้วต้องไม่ไปเปรียบเทียบลูกกับเด็กที่เรียนโรงเรียนปกติ

ส่วนเรื่องที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้หรือไม่ ไม่ได้หวังค่ะ ถ้าเข้าไม่ได้อาจจะให้เรียนในนี้ เช่น Abac ที่ไม่ต้องสอบเอ็นท์ฯเข้า หรือส่งไปเรียนอเมริกา เพราะมีญาติอยู่ที่นั่นเยอะค่ะ แต่ถึงวันนั้นก็จะรู้เองค่ะ ว่าจะทำยังไง เพราะจริงๆแล้ว การเรียนแนวนี้จะเน้นเรื่องวิชาการตอนมัธยมปลายค่ะ โดยที่เค้าจะไม่แบ่งว่าเป็นสายวิทย์ สายศิลป์ เหมือนระบบปกติ แต่เด็กต้องเรียนทั้งหมด เพราะเค้าคิดว่าทุกเรื่องเป็นสิ่งที่เด็กต้องรู้ ฟิสิกส์ เคมี คณิตศาสตร์ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันทั้งนั้น รวมทั้งภาษา เพราะฉะนั้นต้องเรียนรู้ทั้งหมด

เล่าเพิ่มเติมอีกนิดนะคะ คุณครูประจำชั้นจะอยู่กับเด็กตั้งแต่ ประถม 1 - มัธยม 3 ค่ะ โดยที่จะเป็นผู้สอนเกือบทุกวิชา ยกเว้น ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และก็งานหัตถกรรม ที่นี่มีชั้นละ 1 ห้องเท่านั้นนะคะ ห้องนึงจะมีนักเรียนประมาณ 20-23 คน อ้อ ลูกพี่ผู้ชายอยู่โรงเรียนนี้ต้องถักนิตติ้งนะคะ มีถักโครเชต์ด้วย เพราะจะช่วยในเรื่องสมาธิ และฝึกกล้ามเนื้อเล็ก แล้วเด็กจะได้เรียนรู้ว่า เค้าสามารถทำของใช้เองได้ ตั้งแต่เรียนมานี่ ลูกถักผ้าพันคอ ถักถุงใส่ขลุ่ย (ต้องเรียนขลุ่ย) ถักหมวก ถักถุงเท้า ทำตุ๊กตา มีสอนเย็บผ้า ปัก ทำกระเป๋าใส่ไหมพรม ทำกระเป๋าใส่เศษสตางค์ให้แม่ เค้าเย็บเก่งกว่าพี่อีกค่ะ ^ ^"

ตั้งแต่ป.1 เด็กๆจะต้องเรียนดนตรี เริ่มจากขลุ่ยไม้ แล้วก็มาเป็น recorder ตอนปลาย ป.3 ก็จะเริ่มเรียนเครื่องดนตรีคลาสสิค ซึ่งการเรียนแนวนี้เค้าจะให้เรียนเครื่องสายเป็นเครื่องดนตรีชิ้นแรก ลูกพี่เรียนเชลโล่ค่ะ บางคนอาจจะสงสัยว่าทำไม ไม่เรียนเปียโนก่อน เค้าบอกว่าเครื่องสายจะทำให้เด็กเรียนรู้ว่าแต่ละเสียงเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ละสายที่สี การกดสายแล้วเสียงเปลี่ยน คือเหมือนกับว่าเด็กจะรู้ที่มาที่ไปของเสียงอ่ะค่ะ ในขณะที่เปียโนเด็กจะไม่รู้ว่าเสียงเกิดขึ้นได้ยังไง แล้วเครื่องสายเวลาสีมันจะสั่น ทำให้เกิดพลังที่ร่างกายเด็กจะรับรู้ในพลังนั้น แล้วไม่ใช่ว่าเราเลือกเครื่องดนตรีเองนะคะ คุณครูจะเป็นคนเลือกให้ เพราะเด็กจะได้เล่นไวโอลิน หรือเชลโล่ ขึ้นอยู่กับอุปนิสัย และรูปร่างของเด็ก อย่างลูกพี่ เป็นเด็กไม่นิ่งมาก ฝันเยอะ แล้วเป็นเด็กไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง เค้าก็จะให้เล่นเชลโล่ เพื่อดึงให้เด็กนิ่งขึ้น เนื่องจากเชลโล่ เสียงจะทุ้ม แล้วเป็นเครื่องดนตรีที่จะต้องนั่งเ่ล่น รวมถึงการโอบกอดเชลโล่จะทำให้เด็กรู้สึกมั่นคงค่ะ

ณ วันนี้รู้สึกได้เลยว่า ไม่ผิดหวังที่มาทางนี้จริงๆค่ะ ลูกมีความสุขมาก เราก็มีความสุขที่เห็นลูกมีความสุข ไม่มีอะไรปลื้มไปกว่านี้แล้วค่ะ

ปล. น้องฝ้าย ถ้าเข้าอนุบาล คงไม่ต้องทดสอบอะไรมั๊งคะ น่าจะแค่คุยกับพ่อแม่ ให้มั่นใจว่าจะมาทางนี้จริงๆ พอดีลูกพี่เข้าป.1 ไม่ได้เรียนอนุบาลที่นี่ เค้าอาจจะอยากรู้ว่าเด็กเหมาะที่จะไปทางนี้หรือไม่อ่ะค่ะ แล้วคุณครูประจำชั้นเค้าคงอยากจะรู้จักเด็กอ่ะค่ะ ว่าจะไปด้วยกันได้หรือเปล่า


จริงๆพี่ก็ยังไม่ได้รู้เรื่องแนวนี้ทั้งหมด ทุกวันนี้ก็ยังคงต้องเข้า study group ที่จัดขึ้นโดยคุณพ่อ คุณแม่ ในโรงเรียน ยังต้องอ่านหนังสือเยอะแยะ เพราะต้องทำความเข้าใจเด็กในแต่ละช่วงวัย ว่ามีความต้องการอย่างไร ด้วยค่ะ