น้องฝ้าย ต้องควบคุมพี่เลี้ยงหน่อยเป่าคะ เรื่องทำให้น้องกลัวเนี่ย สำคัญมาก ตอนเด็ก ๆ พี่โตมาแบบถูกหลอกให้กลัวนู่นนี่เหมือนกัน มันไม่ดีน่ะ ประมาณห้ามไปทุกอย่าง เด็กมันจะกลัวก่อนที่จะได้ลอง ลูกสาวพี่ อ่อนกว่าลูกน้องฝ้ายหน่อยนึง แต่ชีกล้ามาก ไปเพลกราวน์กัน พี่เป็นคนกลัวความสูง แต่ลูกพี่มันไปแล้ว ปีนไปเล่นสไลด์ตัวที่สูงที่สุด พี่แทบร้องไห้ เพราะพี่กลัวลูกตก ตอนนี้เลยพยายามจะให้พ่อเค้าเป็นคนพาไป เค้าไม่มีปัญหาเรื่องกลัวอะไร
ที่ไม่อยากให้หลอกเด็กว่าอย่าทำนั่นนะ อย่าทำนี่นะ มันเป็นการปลูกฝังให้เด็กเชื่อหรือกลัวอะไรที่มีจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่กลัวไว้ก่อน เอาเป็นว่าโตมานี่พี่ยังถามตัวเองเลย ว่าไอ้ที่แม่เคยบอกว่า อย่านอนกินเด๋วเป็นงูเนี่ย มันยังไง ก็คือง่าย ๆ มันจะดูเหมือนคนขี้เกียจ นอนกินอย่างนั้นอย่างนี้ ตุ๊กแกจะมากินตับ หรือสร้างตัวละครให้เด็กกลัวหรืออะไรอีก ไม่ดีเลย
ถ้าลูกดื้อ ห้ามแล้วไม่ฟัง ก็ปล่อยให้เค้าได้ลอง (ถ้าไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต) ปล่อยให้ทำค่ะ ถ้าเค้าเจ็บแล้วเค้าจะจำ แค่ครั้งเดียวเท่านั้นล่ะ ดึงลิ้นชักหนีบมือ ร้อง..... จำ เปิดตู้แล้วปิดกระแทกมือ ร้อง.....จำ etc. เด็กมันต้องได้ลองน่ะ ฉะนั้น คนเลี้ยงสำคัญ
พี่เลี้ยงลูกเอง แรก ๆ ก็จะเป็นอย่างน้องฝ้ายนั่นแหละ หวงลูกมาก ก็นะ ลูกคนเดียวนี่ รักมากเป็นธรรมดา แต่ว่าอยากให้ปล่อยวางบ้าง อย่าโอ๋มาก เลี้ยงให้เค้าล้มแล้วลุกขึ้นยืนได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่ล้มแล้วเราวิ่งไปอุ้มหรือโอ๋เลย มันจะส่งผลถึงตอนโตน่ะ เป็นไรนิดหน่อย ก็อย่าพาไปหาหมอหรือ รพ.เลย ไม่สบาย ตัวร้อน ที่ทำได้ก็ให้ยาลดไข้ (สำหรับเด็ก) เด็กเล็กทำได้แค่นี้จริง ๆ ให้ทุก ๆ 4-6 ช.ม. คุมไม่ให้ไข้สูง ถ้าให้สองสามวันแล้วไม่ดีขึ้น อันนี้ถึงค่อยพาไปรพ. ลูกพี่ล้มตอน 6 เดือน คิ้วแตก พ่อเค้ายังไม่พาไปรพ. เลย ตอนนั้นพี่โมโห แต่สุดท้าย มันก็แห้งหายไปเอง ตอนนี้พี่มานึกดีใจที่เลี้ยงลูกที่เมกา อาจจะเป็นระบบ health care system ที่นี่มันห่วยแตกรึเปล่าก็ไม่แน่ใจ ทำให้พี่เลือกที่จะอดทน หรือเลือกที่จะช่วยเหลือตัวเองก่อน ที่จะพึ่งคนอื่น (โรงพยาบาล)
ปล. มีหลานที่ไทย เป็นลูกของลูกพี่ลูกน้อง ปวดท้องนิดหน่อย (จริง ๆ ก็ปวดมากนั่นแหละ) แต่เค้าเป็นโรคกระเพาะ คือปวดท้องแทนที่แม่จะให้ยาลดกรด เด็กอาจจะเสียดท้อง หรือมีลมในกระเพาะมาก ก็ไม่ทำ บอกว่าลูกอยากไปรพ. สุดท้าย ลูกไปนอนรพ. หมอให้ยาลดกรด ลดลม แล้วก็หายปวด เสียเงินค่าหมอ ค่ารพ. โดยใช่เหตุ
ยังไงเอาใจช่วยนะจ๊ะ (เป็นเพียงความคิดพี่นะน้องฝ้าย ถ้าไม่ชอบยังไงพี่ขอโทษไว้ ก่อนนะจ๊ะ)
พี่โอ๋ เปลี่ยน avater กับ Signature จนหนูจำไม่ได้เลยอ่ะค่ะ
ดีนะจำนางฟ้าองค์น้อยของพี่ได้
พูดถึง นอนกินเดี๋ยวเป็นงู หนูก็ยังงงถึงตอนนี้นะคะ แบบว่า อะไรกันเนี่ย
จะบอกว่าหนูก็ยังเชื่อนะคะ แล้วก็ ห้ามพูดตอนทำแกงจืดมะระ ไม่งั้นจะขม
(มันอะไรกันเนี่ย) 555
แล้วก็ไอ้หง่าว หนูกลัวไอ้หง่าวจนถึงทุกวันนี้ คุณยายหลอกประจำเวลาหนูแอบขึ้นไปข้างบนบ้านคนเดียว เซ็งยายมากมาก
ทุกวันนี้กว่าจะหายกลัว เลิกวิ่งตอนขึ้นบันได ใช้เวลานานมากเลยค่ะ (แต่ตอนนี้ไม่กลัวแย้ว)
ส่วนลูก .... เรื่องมันยาวค่ะพี่โอ๋ มีมี story แยะ
หนูโพสต์ที่กระทู้คุณ my_nim ตั้งแต่เช้า
เพิ่งจะมาเห็นทู้พี่โอ๋ตอนดึกเนี่ยเลยค่ะ ขอเล่าให้พี่ฟังเพิ่มว่า
หนูคิดผิดเลยที่คลอดลูกที่ไทย (เฉพาะสำหรับตัวหนูคนเดียวนะคะ)
ครอบครัวอื่น ๆ อาจไม่คิดเหมือนหนูคร่า)
ตอนแรกคลอดที่ ตปท. ก็ดีอยู่แล้ว แต่กลัวโน่นกลัวนี่
แถมหนูก็ไม่ค่อยจะแข็งแรงเลยต้องกลับมาคลอดที่ไทย
พี่อยู่ต่างประเทศ ระบบเค้าดีมากมาก คนส่วนใหญ่เค้าไม่ค่อยไปโรงพยาบาลกันเลย
แล้วรัฐบาลก็ support เต็มที่เรื่องการหยุดงาน
การดูแลเด็กก็ดี เฮ่อคิดแล้วเสียดายค่ะ
อยากจะเอาลูกใส่ท้องเข้าไปใหม่ซะจริง
หนูเคยจะไปซื้อยา ต้องไปศูนย์อะไรซักอย่างต้องรอบัตรคิว
(จ่ายตังค์ก่อนด้วยนะ) เพื่อขอคำปรึกษาจากแพทย์
เพื่อนำใบแพทย์ ไปซื้อยาตามร้านขายยาข้างทาง
แสดงว่า การจ่ายยาของต่างประเทศ ต้องเข้มงวดมากมาก
แต่พี่คะ เมืองไทยบ้านเรา มันง่ายกว่าปลอกกล้วยเข้าปากอีกค่ะ
ที่บ้านเลยต้องพึ่งหมอกันหมด แถมค่าเงินบ้านเราน้อย
เราเลยคิดว่า นอนโรงพยาบาล มีประกันสุขภาพ คุ้มสุด
อยู่ใกล้มือหมอด้วยอีกต่างหาก
สุดท้ายเข้าประเด็นที่ว่า พี่เลี้ยงหลอกให้ลูกกลัว
ต้องบอกแล้วค่ะ ต่อไปนี้จะต้องย้ำแล้วด้วย เซ็งจิตจริง ๆ
เลี้ยงเองดีที่สุดค่ะ คอนเฟิร์ม บางทีไม่รู้จะทำไง
ยิ่งตอนหัดขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียน
เค้าชอบกระโดดมานั่งหน้าพวงมาลัย เปิดเสื้อเราจะกินนม
รถจะชนหลายครั้งแล้วค่ะพี่ พี่เลี้ยงจับก็โดนลูกตบ
พี่เลี้ยงเลยต้องขู่ว่าตำรวจจะมาจับตัว ถึงจะยอม
ยังไงก็สู้ ๆ อยู่แล้วค่ะพี่
ขอบคุณพี่มากนะคะ ฝากBig Kiss Angle น้อยด้วยจ้า![]()
น้องฝ้าย
พี่เข้าใจนะ ถ้าจะเปรียบระบบ healthcare system ของเมกากับไทยอ่ะ เปรียบกันไม่ได้เลย ถึงแม้พี่จะอยู่ตรงนี้ พี่ก็ยังรู้สึกว่า ระบบของไทยน่ะสุดยอดแล้ว ส่วนเรื่องคลอดลูกน่ะ แว้ก พี่อยากกลับไปคลอดที่ไทยจะตาย ได้ยินประสบการณ์คนคลอดลูกที่เมกาแล้วน่ากลัว คือมันเลือกไม่ได้ไง ว่าจะผ่าคลอดหรือยังไง นอกจากครรภ์มีปัญหาน่ะถึงจะเลือกผ่าได้ (ล่าสุดได้ยินพยาบาลที่คลินิคทำฟันเล่าให้ฟังว่าเค้าคลอดแบบธรรมชาติ หมอทำไงไม่รู้ บล็อกหลังพลาดสองครั้ง แล้วบล็อกไม่ได้อีก เค้าต้องทนเจ็บ 35 ช.ม.จนกว่าจะคลอดน่ะ พี่ฟังแล้วหืม ถ้าเป็นพี่นี่คงแกล้งเป็นลมตายอ่ะ ตั้ง 35 ช.ม. หมอยังไม่ผ่าให้เลย ไม่รู้ทำไม
ที่พี่บอกว่าพี่ดีใจที่ได้เลี้ยงลูกที่นี่ เหตุผลอย่างเดียวเลย คือมันทำให้เราแกร่งอ่ะ เลือกที่จะช่วยเหลือตัวเองก่อนที่จะไปรพ. หรือคิดจะไปหาหมอนั่นแหละจ้ะ ที่พี่หมายถึงในเม้นท์ก่อน ส่วนเรื่องคลอดหรือเลี้ยงลูกที่ไทย ที่ดีที่สุดคือ อยู่ใกล้กับพ่อแม่พี่น้อง เหนื่อยก็ยังมีคนช่วยเลี้ยง ให้ได้พักบ้าง ไม่เครีียดมากจนเกินไป มันก็มีทั้งดีและไม่ดีแตกต่างกันไปอ่ะจ้ะ
ส่วนเรื่องพี่เลี้ยง อืม ก็ต้องค่อย ๆ ฝึกกันไปเนอะ ให้คนอื่นเลี้ยง มันจะไม่ได้ดังใจอย่างที่เราต้องการเสมอ ส่วนเรื่องขับรถไปรร. น้องฝ้ายไม่ได้หัดเค้านั่งคาร์ซีทเหรอ ถ้าไม่เคย จะมาหัดป่านนี้แล้วเค้าจะยอมมั้ยเนอะ พี่ก็ไม่แน่ใจ แต่มันปลอดภัยจริง ๆ จ้ะ ที่ไทยเรายังไม่มีเป็นกฏหมายบังคับใช่เป่าเรื่องคาร์ซีทเนี่ย จริง ๆ มีมันก็ดีเนอะ แต่ว่าก็อีกล่ะ เรายังโตกันมาแบบไม่มีคาร์ซีทได้เลย
เด๋วพี่จะกลับไปอ่านที่กระทู้นั้นก่อน ที่ฝ้ายโพสต์ไว้อ่ะ ยังไงเอารูปตัวน้อยมาอัพเดทมั่งเน่อ จุ๊บ ๆ จ๊ะ
พี่เป็นคนที่เลี้ยงลูกเองมากับมือ ขอย้ำว่าเลี้ยงเองแบบไม่มีพี่เลี้ยงด้วยจนลูกคนโตอายุได้ 3 ขวบและคนเล้กได้ ขวบเศษๆถึงได้มายอมมีพี่เลี้ยง คุณแม่พี่ยังแปลกใจมากพูดเลย "ฉันไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะเลี้ยงลูกเองได้" เพราะว่าที่บ้านพี่จะรู้ว่าพี่อ่ะคุณหนูมาก ทำอะไรก้อไม่เป็น และไม่อยากทำด้วย ฮิๆๆ สาเหตุที่ไม่อยากมีพี่เลี้ยงคือ
1. เป็นคนที่ห่วงลูกมาก นอยด์ไปหมดกลัวเค้าเลี้ยงลูกเราไม่ดี กลัวไม่สะอาด กลัวเค้าแอบตีลูกเรา
2. บอกตรงๆว่าจะอิจฉา มากถ้าลูกติดพี่เลี้ยง จะไม่อยากให้ลูกเรา ติดใครมากไปกว่าเราเลย
3. อยากจะเป็นคนแรกที่ได้ยินคำพูดแรกของลูก ก้าวเดินในก้าวแรกของลูก และพัฒนาการต่างๆของลูกด้วยตัวเองแทนที่จะเป็นพี่เลี้ยงค่ะ (ยกให้สามีกับคุณตาคุณยาย ที่ยอมให้ได้)
พี่เห็นด้วยและคิดเหมือนน้องอ้อ เรื่องที่อย่าสอนให้ลูกกลัว แต่พี่จะสอนให้เค้ามีเหตุผลมากกว่า อย่างตอนเล็ก เวลาที่เค้าดื้อไม่ฟังเรา แต่ว่าอยากลองเช่นจะเอามือใส่เข้าไปในพัดลม พี่ก้อจะกระดาษมาทำใบพัดแล้วแสดงให้เค้าดูว่าใบพัดของพัดลมจะ ปัดมือของลูกแบบนี้นะแต่ว่าใบพัดของจริงเนี้ยมันแข็งกว่านี่อีกลองจับดูซิ แล้วก้อปิดพัดลมให้เค้าจับใบพัดดู เพราะฉะนั้นมันต้องเจ็บน่าดูเลยนะถ้ามันตัดมือลุกเนี้ย ถ้าไม่เชื่อลูกลองเอามือใส่ก้อได้ อ่ะลองดูเลย และเค้าก้อจะไม่ทำ
เห็นคุณ cottonchef บอกว่าลูกปีนตัวจะกินนมตอนที่ขับรถอยู่น่าจะให้ลูกนั่ง car seat นะค่ะของลูกพี่เค้านั่งมาตั้งแต่แรกเกิดเลยค่ะ พี่ไม่เคยอุ้มลุกเลยแม้กระทั่งว่าเราไม่ได้ขับรถเองก้อเถอะ ปลอดภัยกว่าเยอะเลย และลุกพี่เค้าก้อจะชินค่ะ ใหม่ๆทะเลาะกับคุณแม่พี่จะตายเรื่องนั่ง car seat เนี้ยเพราะคุณยาย เธอบ่นหาว่า "มัดหลานเธอ ไม่ให้ได้กระดิกกระเดี้ยไปไหน" แต่ว่าพี่ไม่กับคุณสามีไม่ยอมจนท้ายสุดเธอก้อต้องยอมค่ะ
คราวหลังแทนที่จะบอกว่าตำรวจจะจับให้แกล้งบอกว่า "ถ้าหนูปีนขึ้นมาบนตัวคุณแม่อีกตอนที่คุณแม่กำลังขับรถเนี้ย มันจะเกิดอุบัติเหตุได้นะค่ะ แล้วลุกก้อจะเจ็บตัวคุณแม่กับพี่เลี้ยงก้อจะเจ็บตัวกันหมด และเราต้องไปนอนโรงพยาบาลไม่ได้ออกไปเที่ยวไหนกันอีก ลูกคงไม่อยากเจ็บตัวและไม่อยากไปนอนที่โรงพยาบาลใช่มั้ยค่ะ" ดีกว่ามั้ย
และอีกอย่างเด้กในวัยนี้ 2-3 ขวบกำลังอยู่ในวัยที่อยากรู้อยากเห็นและเค้าจะชอบถามอันนี้น้องสาวพึ่งโทรมาคุยเมื่อไม่นานมานี่เอง ว่าลุกชายเค้าอายุได้ 2 ขวบ 4 เดือน ถามไม่หยุด "ทำไมเป็นอย่างนั้น ทำไมเป็นอย่างนี้ ทำไม "ตลอดเวลาและเค้าจะทำยังงัยดี สำหรับพี่พี่ใช้วิธี "ถามกลับค่ะ" เช่น วันก่อนหลานชายมาที่บ้าน "อาอี๊ครับอันนี้คืออะไร" จับตุก๊ตาไดโนเสาร์สีเขียวขึ้นมาถามพี่ "แล้วน้องต้าร์คิดว่ามันคือตัวอะไรละครับ" เค้าก้อตอบกลับว่า "ตาต้าว่ากบ" เราถามกลับอีก "ทำมั้ยถึงคิดว่าเป็นกบละครับ" "มันตัวเขียว" " แต่ว่าน้องดูให้ดีๆนะ เห้นมั้ยว่ามีหางยาวด้วย กบมีหางยาวๆมั้ยครับ" "ไม่มีครับ" "อาอี๊ก้อว่าไม่น่าจะเป็นกบ แล้วที่นี้น้องคิดว่ามันคืออะไรครับ" สำเร็จค่ะทำท่าคิดไหญ่เลย พี่ก้อเลยเฉลย "มันคือไดโนเสาร์ครับ" เค้าก้อทำพยักหน้าเสร็จแล้วเค้าก้อวิ่งจู้ดไปเลย นี่แหล่ะค่ะจะเป็นการสอนให้เค้ารู้จักคิดและสังเกตุไปในตัวด้วยแทนที่เราจะตอบเค้าหมดทุกอยาง
โอ้ย...พูดเรื่องลูกเนี้ย ยาววววววว ค่ะไม่มีวันจบในแต่ละช่วงอายุก้อจะมีอะไรที่ให้มาท้าทายตลอด ยิ่งตอนนี้ลูกพี่คนโตย่างแปดขวบเห็นเพื่อนเธอบางคนมีโทรศัพท์มือถือใช้แล้ว เธอก้อยากจะมีบ้าง พี่ก้อไม่ปฎิเสธ แต่มีข้อแม้ว่า "จะต้องเก็บเงินค่าขนมซื้อโทรศัพท์เองหรืออย่างน้อยออกครึ่งหนึ่งและพี่จะออกให้อีกครึ่งหนึ่ง (พี่ให้ค่าขนมไปโรงเรียนวันละ 20 บาท) และจะต้องรับผิดชอบค่าโทรศัพท์เองด้วย ถ้าเค้าทำได้ก้อจะให้ค่ะ" ปรากฎว่าอึ้งค่ะ เธออึ้ง ตอนหลังเค้าก้อมาถามว่า "แล้วเมื่อไหรเค้าถึงจะมีโทรศัพท์ได้" พี่ก้อบอกว่าเมื่อตอนอายุ 12 ปี หรือขึ้นอยู่กับว่า mummy daddy เห็นว่าสมควรแล้ว ถามอีกแล้วเมื่อไหรที่จะเรียกว่า "สมควร"แล้วละ "ก้อตอนที่ยูสามารถรับผิดชอบและสามารถจัดสรรเงินค่าขนมของยูได้เมือ่ไหรนั้นแหล่ะเพราะว่ายูจะต้องจ่ายตังค์ค่าโทรศัพท์เองค่ะ" เค้าก้อเข้าใจค่ะ คิดว่าน่าจะยื้อเวลาไปได้อีกพักหนึ่งแหล่ะก่อนที่เธอจะกลับมาขออิกที ตอนนี้ได้แต่หวังว่าเธอจะยังเก็บเงินได้ไม่ครบเร็วนะ ฮ่าๆๆ
โอ้...ลืมเล่าอีกเรื่องมีเพือนเค้าแต่งงานกับคนสวืเดนและอยู่ที่ประเทสสวีเดนค่ะ ตอนที่เค้าเจ็บท้องจะคลอดลูกนั้น หมอที่โน้นไม่ยอมผ่าให้ค่ะ ทั้ๆที่เห็นจากอัตราซาวน์แล้วว่าเด้กตัวโตมาก เพื่อนพี่สูง 155 เอง แต่เค้าก้อไม่ยอมผ่าตัดให้จนเพื่อนพี่ "มดลูกแตก" สลบไปสองวันเต็มๆหมอถามสามีเลยว่ายูจะเอาแม่หรือว่าจะเอาลูกไว้ ท้ายสุดก้อรอดมาได้ทั้งแม่ทั้งลูกแต่เพื่อนพี่ก้อไม่สามารถมีลูกได้อีกต้องตัดมดลูกทิ้งไปและลูกเค้าน้ำหนักแรกคลอด 5.4 กิโละค่ะ คุณพระ ช่วยยังงัยก้อก้อคลอดที่เมืองไทยนี่แหล่ะ เลือกวันคลอดก้ได้ (ถ้าผ่าคลอด) หมอก้อเชี่ยวชาญกว่าเพราะว่าเจอเคสเยอะกว่า![]()