คลิ๊ก เข้าเพื่อฟังเสียงอ่าน นิตยสารธรรมะใกล้ตัว
ฉบับที่ ๐๓๘ พฤหัสบดีที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๑
http://dungtrin.com/mag/?38.editor
แปลกดีไหมคะ ช่วงต้นมีนาที่ผ่านมา
ถ้าใครจำได้ ทั้งที่เป็นฤดูแดดจ้าฟ้าใสไปไหนก็มีแต่ไอร้อนแท้ ๆ
อยู่ ๆ ฟ้าก็ครึ้ม ฝนก็ตกซู่ โปรยปรายความชุ่มฉ่ำให้กรุงเทพฯ ขึ้นมาช่วงหนึ่งเสียอย่างนั้น
ปกติพกร่มฤดูนี้เสียที่ไหนล่ะคะ เลยต้องวิ่งเปียกปอนแทบแย่กว่าจะกลับมาจากร้านข้าวแกง : )
บางที ที่เห็นชีวิตมีความสุขราบรื่น งานก็เดิน เพื่อนก็ดี เงินก็มี แฟนก็รัก ยิ้มแย้มไปวัน ๆ นั้น
ก็ไม่ได้แปลว่า พรุ่งนี้ มรสุมและพายุฝนที่โหมกระหน่ำจะมาเยือนเราอย่างฉับพลันไม่ได้นะคะ
จะแปลกอะไรที่ฝนจะตกผิดฤดู จะแปลกอะไรที่อยู่ ๆ ความทุกข์จะสามารถมาแรงแซงโค้ง
เบียดความสุขตกกระเด็น และเล่นเอาเราฟุบลงไปกอง อย่างไม่บอกไม่กล่าวเมื่อไหร่ก็ได้
ทุกคน ย่อมมีเหตุการณ์ที่ "ทุกข์สาหัส" ผ่านเข้ามาอย่างน้อยในช่วงหนึ่งของชีวิต
แต่อาจจะน้อยคน ที่ยอมรับ และหาเส้นทางเดินออกจากมันด้วยความเข้าใจจริง ๆ
เวลาทุกข์ท้อราวกับไม่มีหนทางต่อสู้ จึงอาจไม่แปลกนัก ที่จะเห็นตัวละครในหนัง
แหงนหน้าตะโกนตัดพ้อต่อว่าเทวดาฟ้าดิน ว่าทำไมสิ่งเหล่านี้ต้องเกิดขึ้นกับฉัน...
อาจด้วยความรู้สึกที่ว่า มีบางสิ่งบางอย่างที่เหนือการควบคุมอยู่เบื้องบน
เหมือนชีวิตตกอยู่ใต้อำนาจของมือที่มองไม่เห็น ได้แต่พร่ำเพียงว่า มันไม่ยุติธรรม...
ทั้งที่จริงแล้ว กฎแห่งกรรมนั้น เป็นกฎที่มีความยุติธรรมอย่างที่สุด
และมือมืดที่บังคับควบคุมชีวิตเราเบื้องบนก็ไม่มี
เราทุกคนล้วนเป็นผู้วางหมากให้ชีวิตตัวเองทั้งสิ้น
เพียงแต่ธรรมชาติปิดหูปิดตาให้เราหลงลืมสิ่งที่เคยทำไว้ในกาลก่อน
ถ้าย้อนกลับไปเห็นตัวเองในอดีตได้ว่า เคยให้ความหวังใครแล้วทิ้งเขาได้อย่างไม่ไยดี
เราก็คงยอมรับได้ว่า มันก็ยุติธรรมแล้ว หากเราจะได้รับความรู้สึกแบบเดียวกันนั้นกลับคืน
ถ้าเห็นได้ว่า ตัวเองเคยชอบพูดจากระแทกแดกดันให้คนอื่นรู้สึกเสียดแทงมาก่อน
เราก็คงเข้าใจว่า ทำไม วันนี้เราจึงต้องเจอคนที่ทำให้เราต้องรู้สึกในสภาพแบบเดียวกัน
ฯลฯ
เพียงแค่เราพลิกมุมมอง มีความเข้าใจ และตระหนักในกฎและกติกาของธรรมชาติว่า
ผลย่อมเกิดแต่เหตุ เราทุกคนล้วนเป็นทายาทแห่งการกระทำของตนเอง
เข้าใจในเหตุ และยอมรับในผลที่กำลังเกิดขึ้นโดยดุษณี
ความดีดดิ้นเพ่งโทษคนอื่นสิ่งอื่นในยามที่ทุกข์มาเยือน ก็อาจบรรเทาเบาบางลงได้แล้ว
เพราะตรงที่เรา "ยอมจำนน" นี่เอง
ที่ใจมันเกิดการยอมรับสภาพ และเริ่มหยุดการดิ้นรน
ความทุกข์เกิด ก็เพราะใจที่มันดิ้นรนนี่แหละค่ะ
คือยึดอยู่กับสภาพที่อยากให้เป็น ไม่ยอมรับสภาพความเป็นจริงที่เผชิญ
ไม่มีใครชอบอยู่ในสภาวะที่คับข้องใจ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเป็นทุกข์นี่หรอกนะคะ
คนเราจึงหาทางหลีกหนีจากความทุกข์กันตลอดเวลา
ไปดูหนังบ้าง ไปฟังเพลงบ้าง ไปทุ่มเททำกิจกรรมอื่น ๆ บ้าง
กระทั่งมีคนคิดไอเดียแปลกใหม่ เปิดร้านสำหรับคนที่อัดอั้นจากทุกข์อย่างนี้โดยเฉพาะ
คุณผู้อ่านเคยรู้จักร้าน "Love Sick" ไหมคะ
ร้านอาหารสไตล์ผับที่ว่านี้ เปิดขึ้นด้วยคอนเซปต์เก๋ไก๋เพื่อเอาใจคนอกหักโดยเฉพาะ
มีโซนที่เปิดเพลงตอกย้ำความรู้สึก และห้องกระจกที่เปิดให้ปล่อยโฮร้องไห้ได้เต็มที่
มีห้องที่มีช่องไว้ให้ตะโกนระบายอารมณ์ได้สุดเสียงเท่าที่อยากจะตะโกน
มีห้องปาขวด ที่สามารถเอารูปคนที่เราผิดหวังมาฉายใส่โปรเจคเตอร์ แล้วปาใส่เป้าได้
ฟังดูแล้ว ก็น่าจะเป็นร้านเป้าหมายสำหรับคนที่กำลังอยู่ในอารมณ์เดียวกับชื่อร้านได้อยู่
แต่ถามว่า... ความทุกข์ที่แท้จริง หายไปกับขวดที่ปาและสุ้มเสียงที่ปล่อยออกไปไหม
เราอาจจะเดินกลับออกจากร้านมาด้วยความโล่งระดับหนึ่งชั่วครู่ เพียงเพื่อจะพบว่า
รุ่งขึ้นยังทรุดตัวตาบวมได้เหมือนเดิม เพราะต้นเหตุแห่งทุกข์นั้นยังไม่ได้หายไปไหนเลย