Previous
Next
Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
Page 1 of 2 1 2 LastLast
Results 1 to 10 of 11

Thread: ความสำคัญของการรัยสายโทรศัพท์‏

  1. #1
    iLilo is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    3

    ความสำคัญของการรัยสายโทรศัพท์‏

    มีเพื่อนส่งมาให้อ่านค่ะ อ่านแล้วเห็นว่าใกล้ตัวเลยเอามาแบ่งกันอ่านค่ะ ยาวหน่อยนะค่ะ แต่อ่านเถอะค่ะ


    Subject: FW: เรื่องเล่าจากพันทิป
    >
    >
    >>
    >> เรื่องราวที่ผมจะเล่าให้ฟังนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเพื่อนสนิทผมคนหนึ ่ง
    >> เมื่อวานนี้เราโทรศัพท์คุยกันเรื่องไฟไหม้ที่ ซานติก้า ผับ
    >> ขออนุญาตเล่าเรื่องนี้ไว้เป็นอุทาหรณ์ให้กับเพื่อนที่เข้ามาอ่านครับ
    >>
    >> ปีใหม่ที่ผ่านมาผมไปโคราชมาจึงไม่ได้อยู่เค้าน์ดาวน์กับเพื่อนสนิทคนนี้แล
    >> ะเมื่อวานผมก็ต้องกลับมาทำงานตามปกติ เลยมีเวลาแค่โทรคุยกัน
    >> บทสนทนาที่ทั่วไปผมขอตัดออกไปนะครับ
    >> แต่ส่วนมากเราจะคุยกันเรื่องซานติก้า ที่ไฟไหม้
    >>
    >> เอก : ทำไมแกดูติดใจกับเรื่องนี้จังอ่ะ
    >> ผม : ไม่รู้สิ บอกไม่ถูก ฉันว่ามันอยู่ใกล้ตัวเรามากเลยนะ
    >> แล้วถ้าวันหนึ่งมันเกิดกับเราหล่ะ
    >> เอก : ถ้าเป็นฉัน ฉันคนจมกองเพลิงตายอยู่ในนั้นหน่ะแหล่ะ ไม่รอด
    >> ผม : แต่ถ้าเป็นฉันนะ
    >> ฉันจะท่องไว้จนนาทีสุดท้ายจนกว่าจะหมดลมหายใจเลยว่า ต้องรอด
    >> เอก : แล้วถ้ามันไม่มีทางจะรอดล่ะ....?
    >>
    >> จากนั้นเราก็พูดคุยกันถึงข่าวต่างๆ รวมถึงวิธีเอาตัวรอดขณะเกิดเพลิงไหม้
    >> บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมผมถึงพูดเรื่องนี้ไม่จบไม่สิ้น
    >> บอกทุกอย่างที่ตัวเองรู้มาให้เพื่อนฟัง
    >> ไม่ว่าจะเป็นอย่าแตกตื่น หาผ้าชุบน้ำปิดจมูก หมอบต่ำ
    >> อย่าวิ่งกรูตามคนไปให้นึกให้ออก
    >> ว่าทางไหนพอจะหนีออกมาด้านนอกได้ คุยกันเกือบชั่วโมง
    >> หมดช่วงพักผมก็ไปทำงานของผมต่อ
    >>
    >> เนื่องจากเป็นช่วงรอยต่อระหว่างปี งานที่บริษัทจึงเยอะมาก
    >> เมื่อวานผมกลับบ้านเกือบห้าทุ่ม
    >> ช่วงสามทุ่ม เอกโทรหาผม
    >> แต่ผมมั่วแต่ง่วนเดินไปเดินมาอยู่กับงานเลยไม่ได้ยิน
    >> พอมาเห็นมิสคอล ก็ไม่คิดจะโทรกลับเพราะคิดว่าเลิกงานค่อยโทรกลับไปแล้วกัน
    >>
    >> ประมาณเกือบๆ สี่ทุ่มมาเห็นมิสคอลเอกอีกครั้ง
    >> ผมก็ยังไม่โทรกลับเพราะเร่งจะทำงานให้เสร็จ
    >> จะได้รีบๆ กลับบ้านพักผ่อน
    >> จนสี่ทุ่มครึ่งกำลังจะออกไปขับรถกลับบ้านแม่ก็โทรเข้ามา
    >>
    >> แม่ : นี่ๆ ตะกี๊เอกโทรมาหา ถามว่าเราอยู่ใกล้ๆ แม่หรือเปล่า
    >> แม่บอกว่าเรายังไม่กลับจากที่ทำงาน
    >> ผม : อ้าวหรอ มันมีอะไรหล่ะ เห็นโทรมาเหมือนกัน แต่พอดียุ่งๆ อยู่
    >> แม่ : ไม่รู้เหมือนกัน แม่ไม่ได้ถาม แต่เสียงเจี๊ยวไปหมด
    >> เที่ยวอยู่ที่ไหนสักที่ละมั้ง
    >>
    >> เราเองก็แอบนึกในใจว่าสงสัยชวนไปหานั่งกินไรอีกละมั้ง
    >> พอสตาร์ทรถเปิดวิทยุฟัง
    >> ได้ยินข่าว เสือป่า พลาซ่าไฟไหม้ ก็นึกในใจว่าเอาอีกแล้ว
    >> ปีนี้มันปีอะไรนักหนาเนี่ย
    >> จน อาร์ท เพื่อนสนิทอีกคนโทรเข้ามา
    >>
    >> อาร์ท : โทรหาเอกยัง
    >> ผม : ยังว่ะ มีไร
    >> อาร์ท : แก มันติดอยู่ในตึกที่ไฟไหม้อ่ะที่ข่าวออกตอนนี้
    >> จำซาวน่าที่่มันชอบไปได้ป่าว
    >> ผม : หา อะไรอ่ะ ซาวน่ามันอยู่ในตึกนั้นหรอ
    >> อาร์ท : เออ ตะกี๊มันโทรมาหาฉันบอกว่าติดอยู่ในนั้นออกไม่ได้
    >>
    >> ผมเริ่มร้อนใจ รีบกดโทรศัพท์หาเอก
    >>
    >> รอบแรกไม่รับสาย
    >> รอบที่สองไม่รับสาย
    >> จนกดรอบที่สามนั่นแหล่ะ ถึงได้รับ
    >>
    >> ผม : เฮ้ย เป็นไงมั่ง
    >> เอก : ทำไม meung ไม่รับสาย ku ( เสียงสั่นๆ )
    >> ผม : โทษว่ะ งานยุ่งมากเลย เป็นยังไงมั่ง
    >> เอก : (ร้องไห้) ku นึกว่า ku จะไม่รอดออกมาหาพวก meung แล้ว ku นึกถึง
    >> meung มากเลยนะ
    >> ทำไมไม่รับสาย ku kuนึกว่าจะตายอยู่ในนั้นแล้ว
    >> นี่รอกระเช้าอยู่กะลังจะปีนลง เดี๋ยวลงไปได้จะโทรหาอีกทีนะ
    >> รับสาย ku ด้วย !!!
    >>
    >> หลังจากเอกลงมาได้ และพอตั้งสติได้ก็โทรกลับมาหาผม
    >> เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ผมฟังว่า
    >> ตอนมันกำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้าออกจากซาวน่า ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนว่าไฟไหม้ๆ
    >> ซึ่งอาคารเสือป่าพลาซ่า
    >> มีทั้งหมด 10 ชั้น ชั้น 1,2,3 เป็นส่วนของขายมือถือ ชั้น 4,5,6 เป็น
    >> เกสเฮาท์ ชั้น 7,8,9 เป็นซาวน่าและนวดแผนไทย
    >>
    >> ที่จริงไฟเริ่มไหม้ตั้งแต่ทุ่มกว่าๆ แต่เอกบอกว่าชั้น 7
    >> ส่วนของล็อคเกอร์เปลี่ยนเสื้อผ้าเพิ่งโวยวายกันตอนสองทุ่มกว่าๆ
    >> มันเลยรีบเก็บทรัพย์สิน โทรศัพท์ วิ่งลงมาด้านล่าง
    >> ตอนนั้นมันบอกว่าควันเริ่มหนามากและเป็นควันของพลาสติกไหม้
    >> (กรอบมือถือ) เริ่มสำลักควัน พอลงมาถึงชั้น 4 ก็วิ่งลงมาต่อไม่ไหวแล้ว
    >> ก็เลยวิ่งย้อนกลับขึ้นมา
    >> มันรีบกดโทรศัพท์หาผม เพราะคิดว่าผมจะให้คำแนะนำอะไรมันได้บ้าง
    >> (เขียนมาถึงตรงนี้รู้สึกผิดจัง)
    >> พอผมไม่รับสายมันก็นึกถึงคำที่ผมบอกว่าต้องรอดสิ ถ้าคิดจะรอด
    >> มันเลยวิ่งกลับขึ้นมาที่ชั้น 7
    >> คว้าผ้าขนหนูวิ่งเข้าห้องน้ำแล้วจุ่มน้ำอดจมูกแล้วยืนนิ่งๆ
    >> คิดต่อว่าจะเอายังไงดี
    >>
    >> ระหว่างนั้นมันบอกว่าคนวิ่งกันอลหม่านมาก ชนกันล้มก็มี
    >> มันตัดสินใจวิ่งขึ้นชั้น 8-9-10 แล้วปีนขึ้นมาบนดาดฟ้า
    >> ช่วงที่มันมาถึงบนดาดฟ้ามีคนอยู่ด้านบนแล้วสิบกว่าคน ทุกคนดีมาก
    >> ช่วยกันดึงกันขึ้นไป หลายคนร้องไห้
    >> มีผู้หญิงคนหนึ่งนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียว มันเลยถอดเสื้อให้เขาใส่
    >> หันไปอีกด้านมีผุ้ชายคนหนึ่งใส่ กกน. ตัวเดียว
    >> ถอดผ้าขนหนูมาอุดจมูกมันก็เลยถอดกางเกงยีนส์ให้เขา
    >> ตัวมันเองใส่บ็อกเซอร์ตัวเดียว
    >>
    >> ช่วงที่นั่งรอการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่อยู่บนดาดฟ้า
    >> มันก็พยายามกดโทรศัพท์หาผมอีกรอบหนึ่ง
    >> (บาปอีกแล้วผม) มันบอกว่าในใจก็คิดแค่ว่าจะรอดไหม จะรอดไหม
    >> พยายามอยู่นิ่งๆ รอการช่วยเหลือ
    >> ดีกว่าลงไปวิ่งเป็นหนูติดจั่นสำลักควันอยู่ด้านล่าง
    >> ดาดฟ้าที่มันปีนขึ้นไปด้านบนอีกทีหนึ่งเป็นเพลิงๆ เริ่มสั่น
    >> เหมือนจะรับน้ำหนักเอาไว้ไม่อยู่ ติด่อยู่บนนั้นเป็นชั่วโมง
    >> คนข้างบนเริ่มสำลักควัน
    >> มันเลยตัดสินใจวิ่ง่ลงมาเพื่อเอาผ้าชุบน้ำอีกครั้ง
    >> ระหว่างนั้นน้ำประปาเริ่มไม่ไหลแล้วครับ
    >> มันก็เลยวิ่งไปที่ตู้ปลาแล้วเอาผ้าจุ่มลงไปในตู้ปลา
    >> แล้ววิ่งกลับขึ้นมาบนดาดฟ้าอีกครั้ง
    >>
    >> โชคดีที่เอกอยู่กับกลุ่มคนที่ส่วนมากมีสติ
    >> หลายคนพยายามโทรติดต่อเจ้าหน้าที่
    >> คนติดอยู่บนดาดฟ้านับสิบแต่กระเช้าที่ขึ้นมาช่วยสามารถลงได้เพียงทีละคนสองคน
    >> ทางเจ้าหน้าที่ดับเพลิงจึงผูกเชื อกให้ผู้ประสบเหตุไต่ตามเชือก
    >> ปีนลัดเลาะไปยังตึกใกล้เคียง
    >> เอกบอกว่ามืดและควันเยอะมากจนมองไม่เห็นอะไร
    >> อาศัยจับเชือกแล้วเดินไต่ไปอย่างเดียว
    >> ระหว่างที่มันไต่ลงมา หม้อแปลงไฟฟ้าแถวนั้นก็ดันระเบิด
    >> มันบอกว่าช่วงที่ปีนขึ้นปีนลง มันล้มตกลงมาหลายครั้ง
    >> และเจ้าหน้าที่ให้มันลงมาได้เป็นคนสุดท้ายเพราะหม้อไฟมาระเบิดตอนที่มันกำ
    >> ลังลงพอดี
    >> คนต่อไปเลยไม่ได้ลงเพราะเจ้าหน้าที่เกรงว่าจ ะอันตราย
    >>
    >> พอรอดลงมาได้มันร้องไห้โทรคุยกับผม กว่าจะตั้งสติได้ก็หลายนาทีอยู่
    >> ผู้คนที่ไม่รู้จักกันกอดกันร้องไห้ วันนี้มันเลยต้องลางาน
    >> อาเจียนออกมาเป็นสีเทาดำ
    >> คงเป็นเขม่าควันที่สูดเข้าไปตอนกำลังหาทางหนี
    >>
    >> ผมดีใจที่เพื่อนผมรอดมาได้
    >> อยากฝากเรื่องนี้ไว้เป็นอุทาหรณ์กับเพื่อน
    >>ในว่าสิ่งที่เราไม่คาดคิดไม่ใช่ว่ามันจะไม่เกิดขึ้่นกับเรา
    >> หรือคนที่เรารัก ถ้าเอกไม่รอดผมคงเสียใจไปทั้งชีวิต
    >> แม้แต่นาทีเป็นนาทีตาย เพื่อนยังนึกถึงเรา
    >> เพื่อนอยากคุยกับเราและหวังเราเป็นที่พึ่งคนหนึ่ง วันนี้ผมนั่งนึกเล่นๆ
    >> ถ้ามันไม่รอด แค่นึกผมก็น้ำตาไหลแล้ว
    >> ผมคงต้องเสียเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิตไป
    >>
    >> ขอให้เรื่องทีเป็นตัวอย่างกับหลายๆ คน
    >> ถึงแม้เรื่องนี้จะไม่ได้เกิดขึ้นกับผมโดยตรง
    >> แต่ขอให้เพื่อนๆ จงใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท
    >> ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นขอให้เราตั้งสติให้ได้และมีสติ
    >> ไม่ว่าจะเป็นภัยด้านใด ไฟไหม้ รถชน ตกน้ำ
    >> หรืออะไรก็ตามขอให้มีสติอยู่กับตัวเสมอ
    >>
    >> สำหรับผม ต่อไปนี้ผมจะเอาโทรศัพท์ติดตัวไว้ตลอดเวลา
    >> จะรับทุกสาย ถ้ารับไม่ได้จะรีบติดต่อกลับให้เร็วที่สุดโดยจะไม่คิดแค่ว่า
    >> "คงไม่มีอะไร" อีกแล้ว
    >> เพราะเราไม่อาจรู้เลยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับคนที่เรารักและรักเรา
    >>
    >> สุดท้ายนี้ขอให้ปีใหม่นี้คุณพระคุณเจ้า
    >> คุ้มครองเพื่อนในบอร์ดทุกคนให้ปลอดภัยและมีแต่ความสุขนะครับ
    >>
    >> ด้วยรัก...

  2. #2
    huaklom's Avatar
    huaklom is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    0
    อืมมม

    อ่านแล้ว ... อึ้งไปนิดนึง

    เพราะนิสัยเราเลยนะ เห็น missed call แล้วไม่ค่อยโทรกลับ แทบจะไม่เคยโทรกลับเลยก็ว่าได้

    คิดแค่ว่า เดี๋ยวมีธุระ คงโทรมาใหม่เอง

    บางทีนอนอยู่ โทรศัพท์ดังเป็น 4 5 รอบยังไม่ยอมกดรับเลย

    เฮออ ...พูดแล้วก็ ไม่อยากคิดเลย
    ~*~stay single FOREVER!!!~*~


  3. #3
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    581
    ----:: Brief Olive / Vert Fonce ... i'm !oving u ::----

  4. #4
    iLilo is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    3
    หุๆๆๆ ขอโทษ ทีค่ะ ไม่เห็นว่ามีคนเอามาลงไปแล้ว พอดีเพิ่งอ่านเจอค่ะ

  5. #5
    Meesook's Avatar
    Meesook is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    454
    งั้นเอาเป็นเรื่องนี้แทนนะคะ โทรศัพท์จากแม่...



    ในขณะที่.... ผมก็เป็นเช่นเด็กวัยรุ่นทั่วๆไป เรียน เที่ยว นอน กิน ดึกๆผมก็โทรคุยกับแฟนของผม ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้มันก็เป็นกิจวัตรประจำวันของผมและผมก็เชื่อว่าใครๆเค้าก็ทำแบบนี้กัน "จ้า ตัวเอง วันนี้กินข้าวรื้อยาง" "กินกับอะไรบ้าง แล้วตอนกินตัวเองคิดถึงเค้า มั้ยเนี่ย" "รู้มั้ยตัวเอง ถ้าเค้าเป็นผีเนี่ย เค้าอยากเป็นกระสือที่รักจะได้เห็นใจไง ""ตัวเองวางก่อนดิ ก่อนดิ"

    ประโยคต่างๆที่ผมได้คิดและคัดสรร เตรียมพร้อมมาต่างๆก่อนโทร ผมยังคงใช้เวลาส่วนใหญ่ตอนดึกไปกับการคุยโทรศัพท์ ระยะเวลาอันผมได้ใช้ไปในแต่ละครั้งนั้น พอรู้สึกอีกทีก็ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว แต่ผมก็ไม่ชอบนะ หากใครจะมาว่าผมไร้สาระ ก็ไม่เห็นหรอคนส่วนใหญ่เค้าก็ทำกัน

    เอ้อ เกือบลืมไปอีกอย่าง กิจวัตรอีกอย่างนึงของผมก็คือ แม่ของผมมักชอบโทรหาผมทุกวัน "ตอนนี้ลูกอยู่หอรึยัง""เย็นนี้กินข้าวอิ่ม มั้ย" "วันนี้เรียนเป็นยังไงบ้าง" "อย่าไปเที่ยวที่ไหนไกลนะ" โธ่!คำถามเดิมๆ ผมก็ตอบไปแบบเดิมๆ แม่ผมก็ไม่เบื่อซักที ยังคงโทรหาผมเป็นประจำ โชคดีที่ผมพยายามตัดบทคุย ผมกับแม่น่ะคุยกันไม่กี่นาทีก็วางแล้ว ก็มันไม่มีอะไรจะคุยจะให้ผมทำยังไง"

    จนกระทั่งวันนั้น "ตัวเองตอบเค้าได้รึยังว่ารักเค้ามั้ย" "เร็วๆสิ เค้ายังอุฒส่าห์บอกรักตัวเองไปแล้วนะ"" แล้วยังจะใจร้ายไม่บอกรักเค้าอีกหรอ"

    ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ เสียงจากโทรศัพท์บอกผมว่ามีสายซ้อน ผมมองไปที่หน้าจอมันขึ้นชื่อว่า "Home""โธ่ แม่โทรมาทำไมตอนนี้เนี่ย กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเลย" ผมไม่สลับสาย ผมยังคงคุยกับสุดที่รักของผมต่อไป เพราะผมรู้ว่าสิ่งที่แม่จะคุยกับผมก็คงเป็นประโยคเดิมๆ

    "แต่นั่นก็เป็นโอกาสสุดท้าย ที่ผมจะมีโอกาสฟังเสียงของแม่"

    หลังจากนั้นไม่นานทางญาติของผมโทรมาแจ้งผมว่า เมื่อคืนนี้บ้านของผมถูกขโมยเข้า และแม่ของผมขัดขืนและได้ต่อสู้กับโจร จึงถูกโจรใช้มีดแทงเข้าที่ท้อง แม่เสียชีวิตเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว


    ญาติของผมเล่าอีกว่าตอนไปพบศพแม่นั้น ในมือของแม่กำโทรศัพท์ไว้แน่น และเบอร์โทรออกล่าสุดของเธอไม่ใช่โทรแจ้งตำรวจหรือเรียกรถพยาบาล แต่แม่เลือกที่จะโทรหา "ผม"...

    สิ่งสุดท้ายในชีวิตที่แม่ผมเลือกที่จะทำคือโทรศัพท์หาผมเพื่อฟังเสียงของผม วินาทีนั้นน้ำตาของผมไหลอาบแก้ม ผมพูดอะไรไม่ออก มือและตัวของผมสั่น วันนั้นผมเลือกที่จะคุยกับแฟนผม ดีกว่าที่จะคุยกับแม่ของผม ผู้หญิงคนเดียวในโลก ที่คุยกับผมเป็นคนแรกในชีวิต ผู้หญิงคนเดียวที่ผมสามารถที่จะคุยกับเธอได้ทุกเวลา โดยที่ผมไม่ต้องเตรียมบทพูดใดๆ ไม่ต้องกังวลว่าเธอจะประทับใจหรือไม่ ไม่ต้องมีมุข ไม่ต้องมีคำหวานใดๆ คนเดียวในโลกที่โทรมาหาผมเพียงแค่ฟังผมพูดประโยคเดิมๆ คนเดียวในโลกที่ไม่ว่าโทรศัพท์เธอจะโปรโมชั่นแพงแค่ไหนก็ยังโทรหาผม "และคนเดียวในโลกที่เลือกคุยกับผมในวินาทีสุดท้ายในชีวิต"

    ในบางครั้งประโยคที่ว่า "ไม่มีคำว่าสาย หากเราคิดที่จะแก้ตัว" มันก็ไม่เป็นความจริง"เพราะบางปรากฏการณ์ในโลก เกิดขึ้นได้แค่ครั้งเดียว " อาจเป็นเพราะเวรกรรมของผม หลังจากนั้นไม่นานแฟนผมที่ผมใช้เวลาคุยกับเธอวันหลายๆชั่วโมงคุยกับเธอก็ทิ้งผมไป วันนี้ผมเริ่มเข้าใจชีวิตมากขึ้น

    หลายๆอย่างที่คนส่วนใหญ่ทำ มิได้หมายถึงสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป เพราะตัวเราเท่านั้นที่เป็นผู้ต้องรับผลการกระทำของเราเอง "เราจะรู้ว่าสิ่งใดสำคัญ ก็ต่อเมื่อเราต้องเสียมันไป" ทุกวันนี้ผมนั่งมองโทรศัพท์ รอที่จะตอบคำถามเดิมๆให้ผู้หญิงคนหนึ่งฟัง แต่ผู้หญิงคนนั้นคงไม่มีอีกแล้ว...
    .
    ...กรรมอยู่ที่เจตนา... ทำด้วยความตั้งใจดี แม้คิดเห็นไม่ตรงกัน ก็ไม่หวั่นไหว ไม่ต้องกลัวอะไร... ไม่ต้องดิ้นรนไปเรียกร้องอะไรด้วย...คนที่จิตใจพัฒนาแล้ว ย่อมแยกแยะได้ และในที่สุดคนพาลที่เจตนาไม่ดีก็ย่อมแพ้ภัยตัวเอง...

    วิธีตั้งกระทู้ตรวจสอบที่ได้ผล เพื่อคำตอบที่รวดเร็ว และมั่นใจ
    วิธีทำให้อ่านความเห็นได้เยอะๆ ต่อหนึ่งหน้า กระทู้นึงจะได้ไม่ต้องยาวเป็นยี่สิบหน้า อ่านได้ในกระทู้นี้ค่ะ http://siambrandname.com/forum/showthread.php?t=51805


  6. #6
    barumbum is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    1
    อ่านเรื่องของคุณทินีแล้วขนลุกเลยค่ะ

  7. #7
    rycool's Avatar
    rycool is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    0
    เราเป็นคนนึงที่พอกลับบ้านแล้ว จะวางมือถือไว้ในห้องนอน
    แล้วไปนั่งเล่นห้องข้างล่างจนถึงดึก แล้วค่อยเห็นมิสคอล
    ต่อไปจะพยายามพกติดตัวเลยค่า
    RycooL RycooL

  8. #8
    Lovelies's Avatar
    Lovelies is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    45

    ...

    อ่านแล้วอึ้งมากค่ะ

    คงไม่กล้าวางโทรศัพท์ไกลตัวแล้วมั้ง

  9. #9
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    0
    อ่านแล้วเศร้ามากๆคะ T_T ปกติครอบครัวโทรมาก็จะรับประจำแล้ว,,,,,,,,,,

  10. #10
    redhot's Avatar
    redhot is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    3
    อ่านแล้วขนลุกเลยค่ะ ขอบคุณที่นำเรื่องราวมาแบ่งปัน^^
    มีเพื่อนดี มีหนึ่ง ถึงจะน้อย
    ดีกว่าร้อย เพื่อนคิด ริษยา
    เหมือนเกลือดี มีนิดหน่อย น้อยราคา
    ยังมีค่า กว่าน้ำเค็ม เต็มทะเล

Page 1 of 2 1 2 LastLast

Posting Permissions

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •