น้องหมวยไปทำโบท๊อกซ์ที่ไหนมา และค่าเสียหายเท่าไหร ดีมั้ย บอกมาเลยด่วนถ้าเขินก็หลังไมค์บอกกันด้วยนะจ้ะ อยากทำๆๆและการลงรูปเหมือนกับที่เราลงในห้องใหญ่จ้ะ ใช้วิธีการฝากรูปเหมือนกัน
![]()
น้องหมวยไปทำโบท๊อกซ์ที่ไหนมา และค่าเสียหายเท่าไหร ดีมั้ย บอกมาเลยด่วนถ้าเขินก็หลังไมค์บอกกันด้วยนะจ้ะ อยากทำๆๆและการลงรูปเหมือนกับที่เราลงในห้องใหญ่จ้ะ ใช้วิธีการฝากรูปเหมือนกัน
![]()
ลงชื่อด้วยคนค่ะ
กรี๊ด นู๋ไป cf ตอนไหนเนี่ย อิอิ
ล้อเล่นค่า เดียไปอยู่แล้ว ถ้าไม่ติดอะไรน้า >"< จะลากเพื่อนไปด้วย คิคิ
เรื่อง IPSA Metabolizer อะค่ะ ไม่รุ้นะ เดียใช้แล้ว มันนุ่มๆผิวดี
แต่ เรื่องผลลัพธ์ที่ได้ ยังเฉยๆ อะค่ะ คงต้องลองไปเรื่อยๆๆๆ
ว้าย สำหรับ ตัวอย่างทั้งหลาย ไม่ขายและ เดี๋ยวขนไปให้ลองกันดีกว่าเนอะ
มีตัวอย่าง ipsa เพียบเรยอะ
ของ suqqu โด้ยยยยยย นัดวัน เวลา สถานที่ กันเถอะ
ขอแบบ private ๆ อิอิ
ขอบคุณ คุณเดียและ คุณSrichardson มากๆเลยค่ะ เดี๋ยวต้องปาดไปแถวเคาเตอร์ลองของจริงกับแป้งแข็งของเราดีกว่าจะได้รู้ว่าเหมาะกับสีไหนกันแน่
อ๋า เจ๊นีน่า... ทินีไป CF ตอนไหนล่ะเนี่ย??? แต่ไงก็ไปอยู่แล้วค่ะเจ๊ บอกวันมาเลย วันเสาร์ อาทิตย์โอเค แต่สำหรับทินี ถ้าจะให้ชัวร์ที่สุดต้องเป็นหลังจากวันเสาร์ที่ 16 พ.ค. (ช้าไปมั้ยเนี่ย?) แต่ก็จัดมาแล้วแต่เพื่อนๆ สะดวกละกันค่ะ
เอาล่ะ วันนี้ไม่ค่อยยุ่งเท่าไหร่ เลยจะมาเขียนเรื่องยาวๆ ในห้องบิวตี้
ด้วยความรักเพื่อนๆ ในห้องนี้ ทินีจะมาแฉ เอ้ย เล่าให้ฟังเกี่ยวกับการทำการตลาดเครื่องสำอางค์โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่างๆ เพื่อนๆ จะได้ใช้ข้อมูลนี้ในการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวนะคะ
สาวสวยในห้องบิวตี้นี่ก็ล้วนแล้วแต่สวย ฉลาด เก่งกันทั้งนั้น ไม่ได้กลัวเพื่อนๆ จะโดนหลอกหรอกค่ะ แต่ที่ทินีจะเขียนนี้ อาจจะเป็นข้อพิจารณาเพิ่มเติมละกันนะคะ
ให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเองนิดนึง ทินีทำงานการตลาดมาตลอด และก็เคยทำการตลาดให้กับผลิตภัณฑ์บำรุงผิว แล้วก็เคยเป็นที่ปรึกษาทางการตลาดให้กับคลีนิคผิวพรรณแห่งหนึ่งด้วยค่ะ ทินีได้เป็นคนเขียนโบร์ชัวร์ และคิดค้น gimmick การตลาดต่างๆ ให้ BA ไปอธิบายลูกค้าหน้าร้านอยู่หลายครั้งค่ะ (แต่ขอไม่บอกยี่ห้อทางหน้าเวปนะคะ)
เพราะฉะนั้น ทินีก็พอจะรู้เทคนิดการตลาดต่างๆ มาบ้าง (นี่ก็เป็นเหตุที่ทำให้ทินีไม่ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเยอะค่ะ ใช้แต่ที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น เพราะผลิตภัณฑ์บางชนิด ก็เป็นเรื่องของการตลาดจริงๆ ไม่ได้ช่วยผิวอะไรเท่าไหร่)
อ้อ อันนี้ใส่เป็น disclaimer ไว้ก่อนนะคะ ว่าตอนนี้ทินีไม่ได้ทำการตลาดให้กับผลิตภัณฑ์ความงามใดๆ แล้วนะคะ เพราะฉะนั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการเขียนเรื่องนี้ค่ะ
เรื่องมันยาว และมีหลายเรื่อง ทินีจะเขียนทีละเรื่องละกันค่ะ เรื่องที่จะเล่าให้ฟังก็มี
- ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ต้องใช้ทุกอย่างที่ขายอยู่บนเค้าน์เตอร์รึเปล่าเนี่ย?
- ส่วนผสมต่างๆ ในครีมบำรุงผิว
- วิธีการใช้ผลิตภัณฑ์ มันต้องยุ่งยากอย่างนั้นจริงๆ เหรอ?
- ของถูกกับของแพงต่างกันยังไง
- ใช้ปุ๊บสวยปั๊บ เป็นไปได้จริงๆ แต่...
- ใช้แล้วแพ้
- ดูโปรโมชั่นดีๆ นะคะ
- สงครามสื่อ...
ทีละเรื่องนะคะ... อาจจะเขียนช้าหน่อย เพราะเขียนสดๆ ลงกระทู้เลย ไม่ได้ร่างไว้ค่ะ
เอามาเล่าให้ฟังเลยน้องทิ เพราะว่า ฮิๆๆ เจ๊ นี่แหล่ะตัวจริง เสียงจริงเลย "เหยื่อของการตลาด" ยอมรับว่า"ติดยี่ห้อ" จริงๆนะ ก็ไม่รู้เนอะรู้สึกว่ามันน่าเชื่อถือกว่า ครีมตามท้องตลาดทั่วไปอ่ะนะนี่ขนาดว่าจะซื้ออะไรจะต้องเอาไปให้น๊อตโตะ ดูส่วนผสมก่อนซื้อนะเนี้ย เพราะพอจะรู้เหมือนกันว่า "ของดีไม่จำเป็นต้องแพงเสมอไป" ค่อยๆอธิบายมาทีละเรื่องเลยจ้าน้องทินี
มีเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งเมื่อก่อนเค้าก็ใช้เครื่องสำอางค์ตามเคาน์เตอร์ทั่วๆไปนี่แหล่ะ หน้าเค้าก็งั้นๆ แต่ตอนนี้เค้าเปลี่ยนไปใช้ "ครีมของหมอจุฬา" ปรากฎว่าหน้าเค้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ริ้วรอยลดลง แต่งหน้าได้เนียนยิ่งขึ้น
แล้วครีมของหมอจุฬา คืออะไร และ เกลือเมี่ยวซ่าน คืออะไรอ่ะจ้ะ ใครรูบอกหน่อยดิ![]()
เรื่องแรก เป็นเรื่องผลิตภัณฑ์ทั้งหลายแหล่ - เรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจจากการอ่านกระทู้ TAG ความงามของน้องนาเดียค่ะ จากความเห็นทั้งหลาย ก็ได้เห็นว่าสาวๆ ใช้ผลิตภัณฑ์กันเยอะมากกกกกกก.... (ล้างหน้า เช็ดหน้า ปรับสภาพผิว ปรับผิวกระจ่างใส ผลัดเซลผิว ลดจุดด่างดำ เติมน้ำให้ผิว มอยส์เจอร์ไรเซอร์ primer เบส รองพื้น คอนซีลเลอร์...) 12 อย่าง ก่อนจะลงแป้ง และเริ่มแต่งหน้า... เยอะจังแฮะ และยิ่งวันก็ยิ่งเพิ่มเยอะขึ้น (ตามแต่การตลาด และความต้องการเพิ่มยอดขายของแต่ละยี่ห้อ)
เดี๋ยวขออธิบายเรื่องผิวคร่าวๆ ก่อนนะคะ เรือ่งนี้เพื่อนๆ ก็คงจะรู้อยู่แล้ว ยังไงก็อ่านเป็นการ refresh ละกันค่ะ อันนี้ทินีอธิบายตามภาษาชาวบ้านๆ เลยนะคะ (ถ้าเป็นเรื่องเทคนิคต้องให้หมอผิวหนัง หรือผู้เชี่ยวชาญจริงๆ มาอธิบาย)
ผิวมีสามชั้นหลักๆ ไอ้ที่เราบำรุงๆ กันอยู่น่ะ เป็นผิวชั้นนอก (1) เป็นชั้นหนังกำพร้า ซึ่งเป็นเซลผิวที่ไม่มีชีวิต ไม่มีเลือดไปหล่อเลี้ยงแล้ว บำรุงยังไง มันก็ไม่ได้ฟื้นขึ้นมาค่ะ จริงๆ แล้วใช้คำว่าบำรุง ก็ไม่ค่อยจะถูกต้องนักนะคะ น่าจะเป็นการทำให้เซลผิวนั้นชุ่มชื้น ไม่แห้ง และหลุดลอก(การตลาดเรียกว่าการ "ผลัดผิว") ออกไปได้เร็ว แค่นั้นค่ะ
เซลผิวชั้นนอกนี้ จะแบ่งตัวและหลุดลอก ทุกๆ 4-6 อาทิตย์ ความนานของการผลัดผิว ก็เพิ่มมากขึ้นตามวัยค่ะ การที่เห็นว่าผิวหม่นหมอง ผิวไม่ใส (ไม่นับเรื่องสิวนะคะ) เป็นเพราะเซลผิวที่ตายแล้ว ไม่แบ่งตัวหลุดลอกไปตามเวลาที่เหมาะสม คือใช้เวลานานกว่า 4-6 อาทิตย์ เจ้าเซลผิวที่ตายแล้ว ก็มาสะสมกัน ปิดกั้นไม่ให้เซลผิวใหม่ๆ ได้ออกมาสู่สายตาประชาชน เมื่อมองไป ก็เห็นแต่เซลผิวที่ตายนานแล้ว ส่วนเซลผิวใหม่ๆ ก็ถูกผิวเก่าๆ นี้บังไว้ค่ะ
ชั้นต่อไปก็เป็นชั้นหนังแท้ (2) ก็จะมีกล้ามเนื้อ ต่อมไขมัน มีคอลลาเจน ซึ่งอยู่ลึกลงไปอีก การที่ครีมบำรุง จะส่งผ่านส่วนผสมไปถึงชั้นหนังแท้ได้ ตัวนำส่วนผสมนั้น ต้องมีขนาดเล็กมากๆ.... แต่ว่า... เมื่อผ่านเข้าไปถึงชั้นหนังแท้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้กับผิวนะคะ เพราะส่วนที่ต้องบำรุง คือผิวชั้นนอกเท่านั้นค่ะ
ส่วนชั้นสุดท้ายเป็นชั้นไขมัน (3) ซึ่งไม่เกี่ยวกับครีมบำรุงผิวค่ะ อ้อ แถมนิดนึง พวกครีมต่างๆ ที่บอกว่านวดลดไขมันน่ะค่ะ ไม่น่าจะทำได้หรอกค่ะ ดูสิคะ ว่าชั้นไขมันอยู่ลึกแค่ไหน แล้วครีมน้ำมันเหล่านั้นจะผ่านไปได้ยังไง แค่ให้ครีมซึมลงไปที่ผิวชั้นนอกยังไม่ 100% เลยค่ะ ครีมพวกนั้นเน้นการนวด ซึ่งทำให้ผิวชั้นนอกรู้สึกตึงๆ และเกร็ง ก็เลยดูว่าลดลงไปได้หน่อยนึง แต่จริงๆ พอผ่านไปอีกวัน ต้นขาก็กลับมาใหญ่ตามเดิมค่ะ ถ้าไม่ได้ออกกำลังกายจริงๆ ถ้าอยากลดไขมัน ก็ต้องไปดูดไขมันออกเลยค่ะ
(ผิดถูกยังไง เพื่อนๆ ผู้รู้ มาแชร์ข้อมูลกันด้วยนะคะ...)
test test test ทำไมโพสไม่ได้หว่า?
เอาล่ะ บอกตรงนี้ก่อนเลยว่า หลักๆ ของการทำการตลาดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวพรรณ เพื่อให้ลูกค้าประทับใจ คือต้องทำให้ลูกค้า "รู้สึก" ได้ค่ะ รู้สึกว่าผิวดีขึ้น รู้สึกว่าสบายผิว รู้สึกว่าผิวเนียน... อะไรสารพัดจะรู้สึกค่ะ และจะยิ่งดีมากๆ ถ้าสามารถทำให้ลูกค้า "รู้สึกได้ ทันที (immediate effect)" อันนี้ปิดการขายได้ง่ายเลยค่ะ
เพราะฉะนั้น ก็เลยมีผลิตภัณฑ์หลายๆ อย่าง ที่ทำให้ "รู้สึก" เท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้ผิวดีขึ้นเลยค่ะ
ตัวอย่างเช่น
- โทนเนอร์
จุดกำเนิดของโทนเนอร์ ก็คือแอลกอฮอลล์นั่นเองค่ะ จำกันได้ป่าว เมื่อตอนที่มีโทนเนอร์เข้ามาในสู่ตลาดบำรุงผิวเมืองไทยครั้งแรก ยี่ห้อ "ซีบรีส" ในโฆษณาแสดงให้เห็นว่า ใช้โทนเนอร์เช็ดหน้าหลังล้างหน้า แล้วมีคราบดำๆ ติดมา พอเห็นภาพนี้ ผู้บริโภคทั้งหลาย ก็เกิดอาการสยอง ต้องรีบไปซื้อโทนเนอร์มาใช้ เพราะอยากให้ผิวหน้าสะอาดสุดๆ
แต่ต่อมา ใช้แล้วแพ้มั่ง แสบหน้ามั่ง หน้าแห้งมั่ง ก็แหงล่ะ เล่นเอาแอลกอฮอล์ไปทาหน้าซะทุกวันเช้าเย็นอย่างนั้น น้ำมันที่อยู่บนผิวหน้าก็หลุดลอยหายไปกับแอลกอฮอล์ ก็ทำให้ผิวแห้ง และระคายเคืองง่ายขึ้น
โทนเนอร์รุ่นใหม่ๆ ก็เลยไม่ผสมแอลกอฮอล์ อ้าว พอเอาแอบกอฮอล์ออกไป คราวนี้ก็เหลือแต่ "น้ำ" เท่านั้นค่ะ
โทนเนอร์ในยุคปัจจุบันก็คือ น้ำ ผสมน้ำหอม และส่วนผสมบางอย่าง ที่ทำให้ "รู้สึก" สบายผิว (soothing) เช่นส่วนผสมจากแตงกวา หรือว่านหางจรเข้
โทนเนอร์ก็อาจจะทำให้ผิวสะอาดขึ้นได้บ้าง เพราะเหมือนกับเอาสำลีชุบน้ำไปเช็ดหน้าอีกทีหลังล้างหน้า ลองใช้สำลีชุบน้ำเช็ดดูสิคะ ก็จะสามารถเช็ดส่วนที่ยังตกค้างอยู่บนผิวหน้าได้เหมือนกันค่ะ
แต่โทนเนอร์ไม่ได้ช่วยให้เซลผิวเปิด เตรียมรับครีมบำรุงอะไรเลยค่ะ ถ้าอยากให้ผิวเปิดจริงๆ ต้องทำให้ผิวถลอก อย่างเช่นการทำ derma roller ค่ะ ให้ผิวชั้นนอกถลอก เลือดซิบกันเลยค่ะ ถึงจะเปิดจริงๆ
สรุปว่าโทนเนอร์ ก็ทำให้ผิว "รู้สึก" สบายขึ้นเท่านั้นค่ะ แต่ที่ยังมีขายกันอยู่ทุกวันนี้ เพราะว่า "มันมีมาแต่เดิม" และได้ทำการตลาดไปหลายปีแล้ว ได้บอกผู้บริโภคไปแล้ว ว่าโทนเนอร์เป็นส่วนหนึ่งของการบำรุงผิว แล้วถ้าจะมาเอาออกไปจากกระบวนการบำรุงผิว มันก็ดูกระไรอยู่นะคะ แล้วมันก็ช่วยสร้างยอดขายได้อย่างที และที่สำคัญ กำไรเยอะมากๆ ค่ะ (ก็แค่น้ำใส่ขวดน่ะ ขายตั้งกี่บาท....) ก็เลยต้องขายกันต่อไป...
- "ตัว"ปรับสภาพผิว
ก็มีเรื่องราวเช่นเดียวกับโทนเนอร์ค่ะ คือแค่ทำให้ผิว "รู้สึก" ดีขึ้นค่ะ
- "ตัว" เติมน้ำให้ผิว
ก็คือมอยส์เจอร์ไรเซอร์เข้มข้น ซึ่งถ้ามอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ใช้อยู่ สามารถทำให้ผิวชุ่มชื้นดีพอแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ค่ะ ยิ่งโดยเฉพาะในเมืองไทย ซื้ออากาศร้อนชื้นอยู่แล้ว ไม่จำเป็นเลยค่ะ ยกเว้นว่าจะเป็นช่วงที่ผิวหน้าแห้งอย่างสาหัส ประมาณว่าหน้าลอก นั่นก็อาจจะต้องใช้ตัวนี้ช่วยกันบ้าง
ให้สังเกตว่า แม้แต่ผู้ผลิตเอง ก็ยังไม่รู้จะเรียกผลิตภัณฑ์นั้นว่าอะไร เพราะไม่รู้ว่าจัดอยู่ในการบำรุงผิวประเภทไหน (ก็มันไม่ได้ช่วยบำรุงอ่ะค่ะ) จะเรียกว่าโลชั่น หรือครีมบำรุงก็ไม่ใช่ จะเป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดก็ไม่ใช่ เพราะมันช่วยให้ "รู้สึก" ดีแค่นั้น ก็เลยเรียกว่า "ตัว" ไปซะอย่างนั้น....
- ซีรั่ม (Serum)
ซีรั่ม ส่วนมากเป็น ซิลิโคนออยล์ ค่ะ ซึ่งจะไปอุดตามรูขุมขน เมื่อปิดรูขุมขนแล้ว ผิวก็ดูเรียบ เนียนขึ้น แต่ก็ทำให้ผิวเนียนได้แค่ไม่เกิน 3-4 ชั่วโมงค่ะ ไม่ได้ทำให้ผิวเนียนถาวร ที่ "รู้สึก" ว่าผิวลื่นๆ เพราะมันเป็นออยล์ พอล้างออกแล้ว รูขุมขน ก็กว้างเหมือนเดิม
สำหรับซีรั่มนี่ ถ้าทาก่อนแต่งหน้า ก็จะดีค่ะ เพราะทำให้ผิวเรียบขึ้น แต่งหน้าง่าย
ซีรั่มก็อาจจะทำให้ผิวหายแห้งได้ด้วยค่ะ ถ้ามีส่วนผสมของออยล์เยอะหน่อย ก็เหมือนกับเอาน้ำมันมาทาหน้าค่ะ ซึ่งจะทำให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น แต่ก็อย่างที่บอก ถ้ามอยส์เจอร์ไรเซอร์ให้ความชุ่มชื้นพอ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ซีรั่มค่ะ
ส่วนที่ว่า ซีรั่มจะลดริ้วรอยเส้นเล็กๆ (แสดงวัย) ได้มั้ย ต้องบอกเลยว่า "ไม่ได้" ค่ะ แต่ที่เห็นว่า ทาปุ๊บ ริ้วรอยหายวับไปเลย นั่นเป็นเพราะออยล์เข้าไปให้ความชุ่มชื้น และซิลิโคน ไปเติมเต็มตามร่องริ้วรอยค่ะ ซึ่งก็จะให้ผลระยะสั้น ล้างออกริ้วรอยก็อยู่ตามเดิม ก็เพราะริ้วรอยแห่งวัยนั่นมันมากับความเสื่อมของกล้ามเนื้อค่ะ แหม... ก็คุณใช้กล้ามเนื้อส่วนนี้มาตั้งกี่ปี ในแต่ละปียิ้มตั้งหลายครั้ง มันก็ต้องเสื่อมกันบ้างค่ะ ถ้าจะลดริ้วรอยให้หายไป ต้องโบท๊อกซ์เท่านั้น เพราะไปหยุดกล้ามเนื้อกันเลยทีเดียวค่ะ
ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ "รู้สึก" เท่านั้นค่ะ
สรุปว่า ผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นจริงๆ ก็น่าจะเป็น
1. ทำความสะอาด
ล้างเครื่องสำอางค์ออกได้ ล้างสิ่งสกปรกบนผิวออกได้ ซึ่งผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดนี่ไม่ได้ช่วยบำรุงผิวเลยค่ะ ไม่ว่าจะใส่ส่วนผสมอะไรลงไปก็ตาม เพราะยังไงก็จะถูกล้างออกไปอยู่ดีค่ะ เพราะฉะนั้น เลือกยี่ห้อที่ใช้แล้วสบายหน้า ไม่แพ้ ไม่แสบ ก็โอเคแล้วค่ะ
ส่วนออยล์ หรือครีมล้างหน้า เมื่อใช้แล้ว ผิวอาจจะรู้สึกลื่นๆ อยู่บ้าง ก็เพราะมีการตกค้างอยู่ที่ผิวบ้าง เพราะน้ำล้างออกไม่หมด (น้ำกับน้ำมันมันรวมกันได้ซะที่ไหนล่ะคะ) ซึ่งก็อาจจะต้องใช้ผลิตภัณฑ์ชำระล้าง (สบู่ หรือโฟม) ล้างซ้ำอีกครั้งค่ะ
2. ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวชั้นนอก
ก็มอยส์เจอร์ไรเซอร์ค่ะ เลือกที่ใช้แล้วให้ความชุ่มชื้นพอดีกับผิวเรา ไม่แห้งเกิน ไม่มันเกิน ก็โอเคละค่ะ
3. กันแดด
อันนี้จำเป็นค่ะ แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นยี่ห้อแพง ก็เลือกที่เราใช้แล้วไม่แพ้ ไม่อุดตันก็พอค่ะ (ส่วนเรื่อง SPF กับ PA เพื่อนๆ คงทราบอยู่แล้วนะคะ)
(ผิดถูกยังไง เพื่อนๆ ผู้รู้ มาแชร์ข้อมูลกันด้วยนะคะ...)
อ่ะ มาต่อเรื่องส่วนผสมต่างๆ
ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ จะมีส่วนผสมอยู่ 2 อย่าง
1. Active Ingredient คือส่วนผสมที่ให้ผลกับผิวจริงๆ
2. Emotive Ingredient คือส่วนผสมที่ใส่ให้ดูดี ให้ผู้บริโภค"รู้สึก"ว่าใส่อะไรเยอะดี
Active Ingredient หลักๆ ก็จะเป็น น้ำ และน้ำมัน ค่ะ ส่วนส่วนผสมอื่นๆ จะต้องใส่ในปริมาณมากพอสมควร ถึงจะมีผลกับผิวได้ เช่น AHA จะต้องมี x% ขึ้นไป (โทษที จำ% ไม่ได้ค่ะ ใครรู้ช่วยบอกหน่อยนะคะ...) แต่ก็อย่างที่บอก ถ้าใส่มากเกิน ก็จะถูก classified เป็นยา ต้องขายในร้านขายยาเท่านั้น
Emotive Ingredient ก็พวก สารสกัดจากโน่นนี่นั่น ซึ่งส่วนมากจะใส่แค่ไม่เกิน 1% ซึ่งก็จะไม่มีผลต่อผิวแต่อย่างใดค่ะ
ให้สังเกตดูนะคะ ในโบร์ชัวร์มักจะเขียนว่า
"ครีมนี้ มีส่วนผสมของสารสกัดจาก abc ซึ่งสารสกัดจาก abc นี้ มีคุณสมบัติทำให้ผิว xyz" แต่จะไม่เขียนว่า "ครีมนี้ สามารถทำให้ผิว xyz" เพราะจริงๆ แล้ว ใส่สารสกัดจาก abc น้อยมาก จนไม่มีผลอะไรกับผิวไงคะ เลยไม่สามารถ claim ได้ แค่บอกเฉยๆ ว่าสารสกัดจาก abc นั้นมีคุณสมบัติอะไร เหมือนเป็นการให้ความรู้ผู้บริโภคมากกว่า แต่ไม่เกี่ยวกับคุณสมบัติของครีม และก็แค่บอกว่า ครีมนี้ ใส่สารสกัดนั้น เท่านั้นเองค่ะ
เพราะฉะนั้น อย่าไปตื่นเต้นกับส่วนผสมมากค่ะ เพราะถ้าไม่ได้ใส่ในปริมาณเยอะจริง ก็ไม่มีผลอะไรเลยค่ะ
ส่วนที่บอกว่า "บำรุงลึก กระตุ้นเซลผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน" ในความเป็นจริง ครีมบำรุงทำไม่ได้หรอกค่ะ เพราะ
1. เซลผิวชั้นนอก เป็นเซลที่ตายแล้ว จะไปกระตุ้นยังไง ก็ไม่มีผลอะไรค่ะ ก็มันตายแล้ว ครีมบำรุงทำได้แค่เพียงทำให้เซลชุ่มชื้น และทำให้เซลผิวเก่าหลุดลอกออกไปเร็วขึ้น จะได้ทำให้เห็นเซลผิวใหม่ที่ใสๆ ค่ะ (ภาษาการตลาด "เผยผิวใหม่ที่สดใสมีน้ำมีนวล")
2. คอลลาเจนอยู่ลึกมาก อยู่ในชั้นผิวแท้ ถึงแม้ครีมบำรุงผิวจะเป็นเทคโนโลยีนาโน ไมโคร ไมครอน อะไรต่างๆ ก็อาจจะผ่านไปถึงชั้นผิวแท้ได้นิดเดียว แล้วอีกอย่าง คอลลาเจน ก็เป็นสารที่ "ร่างกายสร้างเอง" ค่ะ ครีมบำรุงไม่ได้ช่วยกระตุ้นการสร้างได้
การ claim นี้ ก็เป็นไปอย่างที่เขียนไปแล้ว ว่าเป็นการ claim ที่ส่วนผสม ไม่ได้ claim ที่ตัวครีมค่ะ
ถ้าจะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน หรือเซลผิวจริงๆ ก็ต้องเป็นสิ่งที่ "กิน" หรือ "ฉีด" เข้าไป ถึงจะเข้าไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างได้ค่ะ แต่ว่ากินคอลลาเจนโดยตรงก็ไม่ได้เวิร์คมากอะไร เพราะกินไปแล้วน้ำกรดน้ำย่อยก็ย่อยสลายไปหมดแล้ว ต้องกิน "อาหารที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน" เช่นพวกถั่วเหลือง เนยแข็ง ชีส ผักเขียว ผลไม้ที่วิตามินซีสูงๆ ปลาแซลมอน ส่วนเรื่องการฉีด ก็ต้องระวังแพ้นิดนึงค่ะ
การทำเลเซอร์ ก็กระตุ้นได้ค่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องมาจากร่างกายที่แข็งแรงด้วย อันนี้ได้ทราบมาจากประสบการณ์ตรงค่ะ เมื่อปีที่แล้ว ทินีเป็นไทรอยด์ชนิดไฮเปอร์ คือร่างกายเผาผลาญมากกว่าปกติ ทำให้ผอมแห้ง ผิวแห้ง ไม่แข็งแรง ทินีไปหาหมอที่คลีนิคผิวหนัง อยากจะทำเลเซอร์ให้ผิวใส แต่หมอไม่ทำให้ค่ะ หมอบอกว่า ร่างกายทินีไม่แข็งแรง ยังไงๆ ผิวก็ไม่สร้างใหม่ได้เร็ววันค่ะ เพราะเลเซอร์ คือการทำให้ผิวเสียหาย (โดยใช้ความร้อน) เมื่อผิวเสียหาย ก็ส่งสัญญานไปที่ร่างกาย ว่าต้องสร้างเซลผิวใหม่แล้วนะจ๊ะ ผิวเสียหายไปแล้วจ้ะ นี่ก็เป็นหลักการคร่าวๆ ของเลเซอร์ในการกระตุ้นการสร้างเซลผิว ที่คุณหมอบอกมาค่ะ
(ผิดถูกยังไง เพื่อนๆ ผู้รู้ มาแชร์ข้อมูลกันด้วยนะคะ...)
ยาวมาก.... พักก่อน เพื่อนๆ อ่านเหนื่อยแล้ว... เดี๋ยวคืนนี้มาต่อค่ะ
ป.ล. จะโดนผู้ผลิตมาตื๊บมั้ยเนี่ย มาแฉหักหลังเค้าซะอย่างนี้....