ขอระบายหน่อยนะคะ ค่อนข้างยาวนิดนึงค่ะ
เมื่ออาทิตย์ก่อน เรามีเรื่องกับคนข้างบ้านค่ะ
เดิมพ่อเราซื้อบ้านตึกแถวสี่ชั้นไว้เมื่อเกือบยี่สิบปีมาแล้ว
โดยที่ไม่ได้อยู่ทิ้งเอาไว้เฉยๆ แต่อยู่ที่ตึกในซอยถัดไปเดินไปมาหากันได้
ทีนี้คนที่บ้านติดกับตึกสี่ชั้นของเรา (บ้านนี้รุ่นลูกจะอายุสี่สิบกว่าทั้งนั้นค่ะ)
เค้าก็จะเอารถมาจอดหน้าและหลังบ้านเราทุกวันเป็นเวลาสิบกว่าปี
เพราะบ้านนั้นเป็นโรงงานเก็บรองเท้า มีตึกหลายห้องที่ไม่ติดกันในซอยนั้นๆ
ซึ่งมีรถเข้าออก จอดแหมะอยู่ไม่ต่ำกว่าเจ็ดถึงแปดคัน
รวมถึงรถkiaบรรทุกหกล้อใหญ่ๆด้วยค่ะ ซึ่งที่ๆเค้าเอารถไปจอด
ก็เป็นของชาวบ้านหลังอื่นๆที่เค้าไม่มีรถค่ะ
เมื่อปี41 ที่บ้านเรามีรถคันแรกก็เลยเอามาจอดเก็บในบ้านตึกสี่ชั้น
เพราะบ้านที่อยู่สองชั้น จอดรถไม่ได้
ปรากฎว่าเซ็งค่ะ พี่ชายขับมาจะเอารถไปเก็บก็เข้าบ้านไม่ได้
ข้างบ้านเอารถมาจอดปิดหน้าบ้าน แถมถนนมันเอียงเข็นก็ไม่ไป
บางทีก็ดึงเบรคมือในขณะที่บังหน้าบ้านเราไป1/3
พี่เราเลยต้องกดออดให้เค้ามาเลื่อน เค้าก็มาเลื่อนแบบไม่พอใจ
บอกบ้านอีกหลังเข็นมาเค้าไม่รู้เรื่อง วันหลังให้พี่เราเข็นกลับเองสิ
บางทีพี่กลับมาดึกๆใส่เสื้อนักศึกษาต้องมาเข็นรถฝุ่นเยอะๆ
เสื้อดำปิ๊ดปี๋ แล้วก็เอาเราไปนินทาว่ามากดออดรบกวนเค้าดึกๆ นอนผวาทุกคืน
ไอ้เราก็คิด "ขวัญอ่อนจริงนะพี่"
ต่อมาเมื่อสามปีที่แล้ว เราก็ย้ายมาอยู่ตึกสี่ชั้น ตกแต่งอย่างดีเลย
ออกแบบอย่างที่เคยคิดไว้ตอนเด็กๆ
ส่วนหลังบ้านเราก็เลยเอาต้นไม้ที่อยู่หน้าบ้านเดิมมาวางไว้
เพราะบ้านเดิมไม่มีใครอยู่ ไม่มีใครรดน้ำต้นไม้ กลัวว่าจะเฉา
หน้าบ้านตรงมิเตอร์ประปาเราก็ก่อปูนรอบๆเอาไว้
เนื่องจากตอนที่ยังไม่ได้มาอยู่ รถบ้านโกดังรองเท้าถอยมาจอดหน้าบ้านเราแล้วชนแตก
น้ำพุ่งออกมาไม่หยุด เค้าก็ไม่มาบอกเราด้วย
ต้องเป็นบ้านหลังอื่นมาบอก ซ่อมไปสองครั้ง ประตูเหล็กหน้าบ้านยุบไปสองครั้งเช่นกัน
ซ่อมไปหมื่นกว่าบาท
พอเราทำแบบนี้เค้าหาว่าเราเห็นแก่ตัว ไม่มีน้ำใจกับเพื่อนบ้าน
รถเค้าจอดยากขึ้น (ยากตรงไหน แค่ก่อออกมาสองนิ้ว)
มีปัญหากันอย่างนี้เรื่อยๆ แต่ไม่เคยฉะกันซักที
แต่เค้าฉะกับคนในซอยไปสี่หลังแล้วค่ะ ก็เรื่องที่จอดรถเนี่ยแหละ
บางบ้านก็เป็นเพื่อนสมัยเรียนกับเค้าค่ะ ร้านรองเท้ายังยืนชี้หน้าด่าแม่อีกบ้านเลย
บางบ้านที่แม่เราคุยด้วยเค้าก็บ่นแบบนี้เหมือนกัน
บอกทะเลาะกับบ้านรองเท้าทีไร พี่แกมีคนงานผู้ชายตามหลังมาเป็นพรวน
ประมาณล้อมกรอบเค้าเลย บอกบ้านเราถ้ามีเรื่องก็ให้ระวังตัวด้วย
แถมมีคนนึงอยู่ในซอยข้างในเป็นร้านทำผม
ไม่รู้จักกันแต่เค้าเดินมาทักแม่เราตอนที่มีคนเอาเกลือมาใส่กระถางต้นไม้หลังบ้านเรา
แม่เราก็เขี่ยเกลือออกมา คนนั้นก็มาทักว่า เจ๊ ทำไรคะ
แม่เราก็เล่าให้ฟังว่ามีคนแกล้ง เค้าบอกว่าใจร้ายจังนะ
เค้าก็เล่าว่าแต่ก่อนเค้าอยู่ตรงข้ามบ้านเรากะบ้านรองเท้า
แล้วโดนบ้านรองเท้าแกล้งประจำ โดนด่าอีก
เพราะสะใภ้บ้านรองเท้าขึ้นชื่อว่าปากร้ายมาก ด่าเป็นชุด
ตัวเจ้าของบ้านรองเท้าเค้าก็แกล้งเอาของมาวางเกะกะให้เราเอารถเข้าออกยาก
(เนื่องบ้านขณะนี้เค้ากว้านซื้อบ้านอีกข้างขนาบเราไปแล้วค่ะ
ตรงข้ามก็ไปจอดปิดบ้านคนอื่นอีก เท่ากับว่าเราอยู่ตรงกลางพอดี เฮ้อ!)
บางทีคนงานเค้าก็ช่วยเอาของออกให้เราถอยได้ แม่เรากะเราก็ยิ้มขอบคุณให้
จนมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ตัวเขยบ้านรองเท้าอายุต้องมีจะสี่สิบมาด่าเราตอนเราขับรถผ่านหน้าโกดังค่ะ บอกว่าวันหลังเลื่อนของออกเอง ไม่ต้องเรียกคนงานคนอื่นให้ช่วยนะเว้ย
พอเราหยุดรถถามว่ามีอะไรคะ แต่ในใจก็โมโหนะ ปรากฎว่าเค้าเดินเข้ามา
เมีย กะพี่เมียก็เสริมอยู่ด้านหลัง โห ด่าเราเป็นชุด แล้งน้ำใจ ด่าเราหยาบๆด้วย
เราก็บอกด่าคนอื่นดูตัวเองก่อนนะ ยิ่งด่าตามหลังเป็นขบวน
ตะโกนท้าให้เราลงมาจากรถ แต่พอดีมีรถมีร่าตามหลังมา
แถมบีบแตรด้วย เราเลยต้องออกรถไป
หลังจากนั้นสองวัน ก็มีคนเอาน้ำมันเหนียวๆมาเทใส่อ่างปลาหางนกยูงที่เลี้ยงไว้หลังบ้าน(นอกบ้าน)
แม่ก็ต้องมาตักออกอยู่นานกว่าจะหมด
วันต่อมาแม่เราไปเจอคนที่เป็นแม่ของบ้านรองเท้าอายุต้องมีเจ็ดสิบ
เค้ามาบอกแม่เราว่าลูกสาวลื้ออ่ะ นิสัยไม่ดี ร้ายมาก
มาด่าคนงานเค้าทั้งๆที่คนงานมาช่วยยกของออกให้เอารถออกง่ายๆ
ว่าเสือกยกออกให้เองไม่ได้ขอร้องซักหน่อย
แถมยังกลั่นแกล้งลูกเค้าที่แก่กว่าเราสิบกว่าปีว่า ว่าเรานั่งอยู่ในรถแท้ๆ
แต่ไม่ยอมเลื่อนรถให้ทั้งๆที่ลูกเค้าอุ้มเด็กตัวเล็กๆมาเข็นรถเราเพื่อที่เค้าจะได้เอารถออก
แถมอีกข้อหาคือขับรถแล้วทำอวดรวยชูคอขับรถ
(ไม่ได้อวดเลยค่ะ สูงไม่ถึง160 ก็ต้องยืดคอมองทาง
เพราะเค้าชอบเอากล่องรองเท้ากับรถเข็นมาวางไว้ริมทางก็เท่านั้น)
รี่ฟังแม่เล่าแล้วน้ำตาไหลเลย คือแค้นมาก ชั้นไม่ได้ทำซักอย่างเลย
ไม่ได้ทำเลยจริงๆ มีแต่โดนบ้านนั้นเอาเปรียบมาตลอด
เค้ายัดข้อหาแบบจริงจังมากๆ คือบอกว่าให้เอาคนงานเค้ามายืนยันได้เลย
เราคิดว่าถ้าเค้าไปเล่าให้คนอื่นฟัง เราคงดูไม่ดีไปเลย
เรื่องจริงใครจะไปกล้าด่าคนงานผู้ชายที่ช่วยเรา หน้าเค้าก็โหดมากๆด้วยอ่ะ555
คนงานเค้าเป็นผู้ชายตั้งหกเจ็ดคน เราเป็นผู้หญิงอายุยี่สิบกว่าๆ ตัวเล็กจิ๊ดเดียว
ให้ไปยืนด่ากลุ่มคนงานก็ออกจะแรงไปนิด
แต่พอฟังแม่เล่าว่าเจ๊นั่นบอกว่าบ้านเราไม่มีสิทธิ์ตั้งกระถางต้นไม้ไว้หลังบ้าน
เพราะเป็นที่สาธารณะ เราอ่ะขำทั้งน้ำตาเลย
เพราะแนวเดียวกันไอ้บ้านรองเท้ามันจอดรถอยู่สามคันค่ะ
พ่อเราซึ่งใจร้อนมากๆ เค้ากลับบอกเราว่าอย่าคิดมาก ใครเป็นยังไงก็รู้อยู่แก่ใจ
ทุกวันนี้เวลาคิดก็ยังเซ็งๆอยู่ทุกครั้ง พ่อเราก็บอกว่าเค้าก็กำลังดูๆบ้านเดี่ยวใกล้ๆไว้
เพราะไปไกลมากไม่ได้ แม่ขับรถไม่เป็น พ่อก็ไม่ชอบขับรถ
เพราะหาที่จอดยากแล้วหงุดหงิดค่ะ เค้าอยากปลูกต้นไม้ตอนแก่ๆ
เราก็บอกว่าเผื่อบางทีจะเป็นทางออกที่ดีได้
แต่พ่อบอกว่าไม่เกี่ยวหรอก ตั้งใจอยู่นานแล้ว
แต่ติดที่แม่เราเป็นคนที่ชอบบ้านที่มีคนพลุกพล่านไปมาสะดวก
มีของขายเยอะๆ เค้าบอกกลัวตอนแก่จะไปไหนไม่ได้
แต่พอเกิดเรื่องแบบนี้แม่ก็เริ่มจะเอนเอียงบ้างแล้ว
เรื่องที่เล่ายาวมานี่ คือไม่ได้เอาความดีใส่ตนแล้วโยนให้บ้านนั้นเค้าเลวนะคะ
แต่เจอแบบนี้เบื่อไปเลย เป็นความทุกข์ที่เห็นทุกวัน คือไม่ได้มีเรื่องทุกวัน
แต่ต้องผ่านบ้านรองเท้าทุกวันก็นึกเบื่อแล้วค่ะ
จริงๆคือไม่ได้กลัวนะคะแต่ไม่อยากให้เกิดเรื่องรุนแรง
เลยไม่ได้ออกโรงแบบจริงจัง ตั้งแต่มาอยู่ก็ไม่เคยออกไปจุ้นจ้านสร้างความรำคาญให้เพื่อนบ้าน
กลับมาจากร้านพร้อมพ่อกับแม่ ก็เอารถมาเก็บในบ้านแล้วปิดบ้าน แล้วขึ้นข้างบน เนื่องจากชั้นหนึ่งใช้เป็นที่จอดรถสองคัน แม่จะคอยเตือนว่าทำใจให้สบายๆ เอาเวลาไปคิดเรื่องอื่นดีกว่านะ
เลยพยายามควบคุมจิตใจให้อย่าไปคิดค่ะ
ขอบคุณเพื่อนๆที่รับฟังนะคะ