ความเอ๋ย ความรัก…
รักเอย..จริงหรือที่ว่าหวาน...?
คนเราเกิดมาทุกคนล้วนแต่แสวงหาความรัก....เราเป็นสัตว์โลกที่ต้องเกี่ยวพันกับความรักมีเอนกประการ...รักแม่ รักพ่อ รักญาติ รักเพื่อน คนรัก รักสามี รักภรรยารักบุตรธิดา...ฯลฯ..ความรักนั้นเป็นดอกไม้แสนสวยทั้งหอมและหวานบนโลกใบนี้แต่กระนั้น..ความรักกลับฆ่าบุคคลทั้งหลายอย่างเลือดเย็นทำให้มีคนมากมายเดือดร้อนเป็นทุกข์ เพราะความรัก.....รักที่ไม่ประกอบ "ปัญญา" นั้นย่อมทำให้คนที่มีรักนั้น หรือแม้แต่คนที่ถูกรักเป็นทุกข์เดือดร้อน..จนต้องมีคำถามว่า..รักเอย..จริงหรือที่ว่าหวาน.. ? รักมากดีไหม ? รักมาก ก็ทุกข์มาก...
แต่เราก็ชอบใจที่เรารักใครมากๆซักคน...ยิ่งถ้าเราถูกใครรักมากๆแล้วเรายิ่งชอบใจใหญ่....
ความรักทำให้เรา "ลืม" ความทุกข์เพราะความหอมหวาน นั่นแหละ ที่ทำให้เราลืมว่ารักนั้นจะทำให้เราต้องตรอมใจในเวลาต่อมาหากรักแล้ว...ไม่สมรัก ก็เป็นทุกข์...
แม้ว่าสมรักแล้วนั่นแหละ..ใจก็ยังหวั่นไหวว่าจะสูญเสีย คนที่รักนั้นไป...ใจก็เดือดร้อนเป็นทุกข์โดยไม่รู้ตัว
พระพุทธองค์ทรงรับสั่งว่า "การประสบสิ่งไม่รัก เป็นทุกข์... ปรารถนาสิ่งใดไม่สมปรารถนาเป็นทุกข์"งานนี้ทุกข์ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนที่ต้องอยู่ในสภาพต้องพบต้องเจออารมณ์หรือบุคลคลที่ตนไม่ชอบ ก็เป็นทุกข์หรือแม้ไม่สมรักก็เป็นทุกข์..เราจึงต้องบริหารความรัก และบริหารใจเราด้วยปัญญาจึงจะสามารถพาจิตใจของตนให้พ้นจากความทุกข์ทั้งหลายได้... ผู้ใดมีปัญญาย่อมมีความสุขทางใจอย่างยิ่ง... เราจะเห็นได้ว่า บางคนมีเงินทองมากมาย รูปสวยรวยทรัพย์ แต่ก็หาความสุขทางใจไม่ได้ เดือดร้อนทุรนทุรายอยู่มิเว้น...
เพราะเราไม่เคยรู้ว่า.....ที่ว่าเรารัก "คนอื่น" น่ะ จริง ๆ แล้วเรารักใคร.. ? พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า"รักอื่นเสมอรักตนนั้นไม่มี"จึงมีบัณฑิตท่านขยายว่าการที่เราเป็นผู้รักตนมากนั่นเองจึงปรารถนาให้คนอื่นมารักตัวเองอย่างที่เราอยากจะให้เขามารักตน..ลองคิดดูว่าจริงไหม.. ?
เราทนไม่ได้......ที่เขาไม่รักเราอย่างที่เราอยากจะให้มารัก ...
เราทนไม่ได้......ที่เขาไม่มาใส่ใจเราเท่าที่เราต้องการ...
อะไร ๆ ก็วิ่งกลับมาไม่พ้น รักตน นั่นเอง...
ถ้ารักคนอื่นจริง ๆ แล้วละก็ .........เขาเป็นสุขอย่างไรก็ต้องมีใจมุฑิตา ยินดีในความสุขของเขาตามแต่ที่เขาจะเป็นมิใช่หรือ? ทำไมต้องดึงให้กลับมาหา..ตัวเอง.. ด้วยเล่า.. ?
ก็เพราะเหตุที่เรา "รักตน"ยิ่งกว่าสิ่งใดมิใช่หรือ.. ? นี้เป็นความจริงที่เราต้องยอมรับ..เมื่อเห็นความจริงอย่างนี้แล้ว เราควรถามตัวเองอีกว่า ที่เรารักตัวเองนั้นเรารักอย่างมีปัญญา หรือรักแบบคนตาบอด
คนมีปัญญาย่อมรักตัวเป็น....กตัญญูต่อตัวเองเป็น... เมตตาตัวเอง ...ไม่ทำร้ายตัวเองด้วยการใส่ใจในสิ่งที่ไม่ควร... จนจิตใจหมองไหม้เป็นทุกข์ตลอดเวลา...เพราะว่าวางใจไม่ถูก...
เรานั้นมักเฝ้าเพรียกหาคนอื่นมาปลอบใจตัวเรา ทั้ง ๆที่เราเองไม่คิดจะช่วยเหลือตัวเองให้พ้นจาก ทุกข์และโทษเลย...ถ้าเรารักตัวเราเป็นแล้ว ..ใยจึงต้องปล่อยใจตัวเองให้ตกจมไปกับทุกข์อย่างนั้นด้วย?. ขนาดเรายังไม่รักตัวเองเลย ประสาอะไรจะให้คนอื่นมารักเราเล่า..? ถ้าเรารักตัวเราเองจริงๆ แล้วละก็เราจะทำร้ายใจตนเองอยู่ทุกวี่ทุกวัน ได้อย่างไร?
เหตุกับผลไม่ตรงกันเลย...หากเราเป็นคนที่รักตัวเอง เมตตาตัวเองเราต้องทำให้ตัวเองมีค่า....
เมื่อเรารักตัวเองได้แล้ว...เราก็จะไม่ถวิลหาคนอื่นให้มารักเราอย่างที่เป็นอยู่... ทำได้แล้วเราจะเป็นสุข...สุขที่มีตนเป็นที่พึ่งไม่ต้องพึ่งรักจากคนอื่น
เลิกทำร้ายตัวเอง หันกลับมารักตัวเองให้เป็นด้วย "ปัญญา" เถิดแล้วเราจะตระหนักถึงคุณค่าแห่งชีวิตอันประเสริฐของเรา.....
ขอบคุณบทความดี ๆ จากรักษาธรรมะ . คอม