Previous
Next
Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
Results 1 to 8 of 8

Thread: ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนเข้ามาอ่านกันเยอะๆนะ

  1. #1
    MamyNongJ's Avatar
    MamyNongJ is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    11
    Warning Points:
    0/5

    ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนเข้ามาอ่านกันเยอะๆนะ

    เสียงไซเรน ณ โรงพยาบาลวชิระ ในคืนวันที่ 7 ตุลาคม 2551

    เป็นสัญญาณบอกถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในเมืองฟ้าอมร กรุงเทพมหานคร

    หมอและพยาบาลในชุดขาว ต่างทำหน้าที่กันอย่างหนักเพื่อรักษาผู้บาดเจ็บ

    ที่ร่างกายล้วนนองเลือด โดยไม่สนใจว่าคนๆนั้นจะใส่ชุดสีกากี หรือ สีเหลือง

    บุรุษในเสื้อสีเหลือง ร้องโอดโอยจากการมีรอยแผลลึกที่หน้าแข้ง

    และ ตามตัวหลายแห่ง ขณะที่ตำรวจซึ่งใส่ชุดสีกากีนั้น หมดสติไปแล้ว

    จากการถูกของของแข็งบางอย่างฟาดเข้าตามร่างกาย

    หลังจากเข้าทำการรักษาในห้องผู้ป่วยฉุกเฉิน พยาบาลได้เปลี่ยนชุดทั้งคู่เป็นชุดของโรงพยาบาล และ พาเข้าพักฟื้นในห้องเดียวกัน ในห้องมีครอบครัวของทั้ง 2 ฝ่ายมาเยี่ยมตามคาด แต่ต่างไม่ได้คุยกันด้วย ไม่รู้จักกันมาก่อน มีเพียงม่านบางๆกั้นระหว่างความเป็นส่วนตัวของครอบครัวทั้ง 2

    “พ่อเป็นไงบ้าง เจ็บไหม?” เสียงเล็กๆที่บริสุทธิ์ดังมาจากฝั่งหนึ่งของห้อง

    “เจ็บนิดหน่อยลูก” เสียงผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ในชุดของโรงพยาบาล พยายามพูดเพื่อปลอบใจลูกรัก

    “หนูไม่อยากให้พ่อออกไปทำงานอีกแล้ว ทำไมเขาถึงต้องตีพ่อด้วย” เสียงเล็กๆยังถามต่อไปด้วยความไม่ประสีประสาเรื่องของผู้ใหญ่

    “มันเป็นงานนะลูก ….พ่อเป็นตำรวจชั้นผู้น้อย หัวหน้าสั่งก็ต้องทำ มันเป็นหน้าที่ มันเป็นกฎ ”

    คำสนทนาเหล่านี้ดังเพียงพอที่จะทำให้เพื่อนร่วมห้องของเขาต้องเงี่ยหูฟังด้วยความสนใจ

    “ถึงพ่อไม่ชอบพ่อก็ต้องทำเหรอ”

    “พ่อไม่อยากจะทะเลาะกับคนไทยด้วยกันเลยลูก บ้านเราก็ไม่ได้ชอบรัฐบาลนี่ ”

    “แล้วพ่อจะออกไป ให้เขาทำร้ายแบบนี้ทำไม” เสียงเล็กๆเริ่มสั่นเครือ เพราะไม่เข้าใจเหตุผลที่พ่อของเธอพยายามจะอธิบาย

    บรรยากาศในห้องเริ่มผู้ป่วยเริ่มเงียบงัน มีเพียงเสียงโทรทัศน์ที่บรรดานักวิจารณ์

    ต่างพร่ำบอกกับสังคมว่า ตำรวจรังแกประชาชน ประชาชนบาดเจ็บ เสียชีวิต ตรงกันข้าม

    กับภาพที่เด็กน้อยเห็นเบื้องหน้า เธอกับพ่อของเธอต่างหากที่ถูกทำร้าย

    เสียงเล็กๆในห้อง กำลังร่ำไห้บอกกับโทรทัศน์ บอกกับคนที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้นว่า

    แล้วพ่อหนูล่ะ ….พ่อหนูอยู่ที่นี่ นอนอยู่ตรงนี้ บอกหน่อยได้มั้ยว่า แล้วพ่อหนู ไม่ใช่คนไทยหรือไง

    ใครทำพ่อของหนู???

    ทันใดนั้นม่านบางๆซึ่งกั้นระหว่างเตียงของ บุรุษผู้รักชาติและผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ ได้ถูกเปิดขึ้น

    คุณตำรวจ….ผมขอโทษ” คำพูดสั้นๆคำแรกที่บรรยายความรู้สึกนับพัน หลุดออกมาจากความรู้สึกของชายมีอายุผู้รักชาติคนนั้น

    นายตำรวจในชุดผู้ป่วย แปลกใจกับสิ่งที่ตัวเองเพิ่งจะได้ยิน

    ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา กับการต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มพันธมิตรทุกวี่วัน

    เขาเคยชินซะแล้วกับคำพูดถากถางต่างๆ จากฝ่ายที่ได้ชื่อว่าเป็นฝ่ายตรงข้าม หรือ เป็นฝ่ายรักชาติอะไรก็ตามแต่

    “คุณลุงเป็นใครคะ ?” เสียงใสๆถามด้วยความสงสัย

    “ลุงก็อยู่กลุ่มเดียวกับคนที่ทำให้พ่อหนู เข้าโรงบาลนั่นแหละ” เสียงชายสูงอายุพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ

    “แล้วเพื่อนคุณลุงทำร้ายพ่อหนู ทำไม?” เสียงเล็กๆเริ่มถามอย่างคาดคั้น

    “บางครั้งหนูก็ไม่เข้าใจ มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่กับความถูกต้อง วันหน้าหนูจะได้อยู่ในสังคมที่ดีนะหนูนะ”

    “แล้วลุงไม่คิดเหรอคะว่า ถ้าพ่อหนูตาย …ลุงได้สังคมทีดี แล้วหนูต้องเป็นเด็กกำพร้า…..หนูทำผิดอะไร ?” เด็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรต่อ นอกจากให้น้ำตา แทนคำพูดที่เหลือทุกๆอย่าง


    “บางครั้งเมื่อลุงอยู่กับเพื่อน ลุงอยู่กับคนคิดเหมือนกัน …

    ลุงเห็นคนข้างหน้าคือศัตรู ที่ต้องจัดการ ลุงเห็นคนใส่เสื้อไม่เหมือนลุงคิดไม่เหมือนลุง เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น…..พอวันนี้เราใส่เสื้อเหมือนกัน …..ได้ฟังหนูกับพ่อคุยกัน ลุงว่า….ลุงเหมือนพึ่งจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา ลุงต้องขอโทษหนูจริงๆ...” เสียงกับแววตาของชายสูงอายุ มีท่าทีสำนึกต่อเสียงเล็กๆนั้น

    “ผมก็ต้องขอโทษด้วยเหมือนกัน ถ้าทำอะไรให้ประชาชนอย่างคุณโกรธ หรือ เข้าใจผิด...

    หลายวันที่ผ่านมานี้ ผมโดนเสียดสีและยั่วโมโหจากผู้คนและสังคมมากมาย

    เหมือนผมไม่ใช่คน เหมือนเป็นสัตว์ร้ายอะไรสักอย่าง ผมเสียใจจริงๆ ผมไม่เคยคิดจะทำร้ายใคร

    ผมก็มีลูกเมีย ผมอยากกลับบ้าน อยากพาลูกเมียไปเที่ยว ผมก็ไม่ได้ทำ ผมต้องออกมาทำงาน

    ทุกวันในรอบ 1 เดือนมานี้ ผมคิดถึงลูกเมียผมมาก ภาวนาว่าขอให้เรื่องนี้มันจบๆเสียที

    จะได้กลับไปเห็นหน้าลูกเมีย พึ่งจะเห็นหน้าลูกครั้งแรกก็ตอนที่ลูกต้องมาเยี่ยมผมที่โรงพยาบาล....

    แต่ถ้าคุณเข้าใจผม ผมคิดว่านาทีนี้ ตรงนี้มันคุ้มค่ามาก ” เสียงคุณตำรวจ พูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยมิตรไมตรี

    วันนั้นภายในพื้นที่เล็กๆของห้องพักฟื้นสี่เหลี่ยม หัวใจของชาย 2 คนทำให้ห้องนี้ดูกว้างขวางขึ้น

    อย่างน้อยก็ดูกว้างกว่าที่ทำเนียบ หรือ รัฐสภา กรอบที่พันธนาการคนทั้งคู่ไว้ด้วยหัวโขนที่แต่ละคน

    ใส่อยู่ด้วยความโกรธและเกลียด ถูกทำลายลงหลังจากที่ได้มีการพูดคุย และตระหนักต่อความรู้สึกของการเป็นมนุษย์ด้วยกัน ... ใช่แล้ว!!!เรายังคุยกันด้วยภาษาไทย และมีพ่อคนเดียวกัน

    ทำไมเราถึงคุยกันไม่ได้ ทำไมปากของเรา ความเห็นของเราถึงถูกใช้เพื่อนำพาไปสู่ความขัดแย้ง แทนที่จะเป็นความสามัคคี น้ำตาหยดนี้จะไม่มีวันไหลเลย ถ้าเราหยุดคิดสักนิดเพื่อพูดจากัน เปิดใจรับความเห็นต่างกันบ้าง?

    วันต่อมาสงครามทางความคิดยังคงอยู่ แต่คนที่ได้รับ forward mail นี้จะได้ตระหนักมากขึ้นว่าการให้อภัย และ เห็นความจริงในมุมเล็กๆที่ไม่มีใครคาดคิด ก็คงจะตอบคำถามได้ว่า เรากำลังสู้ทำไม สู้เพื่อใคร และ ถามด้วยเหตุผลต่อทั้ง 2 ฝ่ายว่า วันนี้คุณเห็นคุณค่าน้ำตาหยดนั้นแค่ไหน ชัยชนะของประชาชนหรือตำรวจในวันนี้ แลกกับหยดน้ำตาของคนอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าฝ่ายไหน คุณจะเรียกมันว่าชัยชนะ หรือ ความพ่ายแพ้
    My BB Pin : 21A812BD

  2. #2
    wawe's Avatar
    wawe is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    685
    Warning Points:
    0/5
    ต่างคนต่างความคิด ต่างคนก็ว่าความคิดตนเองถูกต้องเสมอ ต่อต้านคนคิดไม่เหมือน ทั้ง ๆ ที่ทุกคนก็มีเลือด มีเนื้อเหมือนกัน ก็ได้แต่ภาวนาให้ประเทศไทยสุข สงบเสียที เพื่อให้พ่อหลวงสบายพระทัย สาธุ สาธุ สาธุ
    ความง่ายอยู่ที่ปาก ความยากอยู่ที่ทำ
    การรู้จักปล่อยวาง เป็นวิถีทางแห่งความสุขสงบ
    มนุษย์ย่อมได้รับผลของการกระทำของตนเสมอ อาจจะเร็วหรือช้าเท่านั้น

  3. #3
    Join Date
    May 2010
    Posts
    0
    Warning Points:
    0/5

    อันนี้ก็สร้างสรรค์ดีค่ะ...

    ขอบคุณนะคะสำหรับเรื่องราวดีๆ ...

    ลองอ่านอันนี้ดูนะคะ ยาวหน่อยแต่ทำให้มีความหวังขึ้นมาได้..

    ขออนุญาติ จขกท แจมกระทู้นี้เพื่อการเมืองแบบสร้างสรรค์นะคะ...


    “สุนทรียสนทนา” รากฐานแห่งประชาธิปไตยและการเมืองใหม่

    สถานการณ์บ้านเมืองในยามนี้
    ตามความรู้สึกของผมถือว่า วิกฤติสุดๆ

    ช่วงที่ผ่านมายอมรับว่ากระแสการตื่นตัวเรื่องการเมืองของคนไทย (รวมทั้งผมด้วย)
    มีเพิ่มขึ้นมาก หลังจากเหตุการณ์พันธมิตรยึดทำเนียบฯ
    แต่สิ่งที่ทำให้ผมตั้งข้อสงสัยหนักขึ้นทุกวันก็คือ
    วิกฤติครั้งนี้มันจะจบลงอย่างไร???

    ตอนนี้ผมรู้สึกว่า เรากำลังมาถึง “ทางแยก” แล้วครับ ไม่ใช่ “ทางตัน” อย่างที่หลายๆฝ่ายพูด

    ทางที่หนึ่ง - ผมขอเรียกว่า “ทางแห่งความแตกแยก”
    บนเส้นทางสายนี้ ผู้คนเดินทางกันอย่างหวาดระแวง
    ด้วยความเคียดแค้นชิงชังที่มีต่อคนที่คิดไม่เหมือนตัว หรือพวกตัว
    บนทางสายนี้ จุดหมายคงอยู่ไม่ไกลนักหรอกครับ
    ไม่นานคงได้เห็น ประเทศไทยเหนือ กับ ประเทศไทยใต้ เหมือนเกาหลีไง
    ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้กระแสเกาหลีจะลุกลามจากวงการบันเทิง เข้ามาถึงการเมืองโดยไม่รู้ตัว

    ทางที่สอง – ผมขอเรียกว่า “ทางแห่งความสมานฉันท์”
    สำหรับทางสายนี้ ผู้คนต่างเดินทางกันอย่างมีความสุข
    อบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่ง “กัลยาณมิตร”
    เราต่างยอมรับในความแตกต่าง
    เคารพในคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ของกันและกัน
    ผู้คนมีอิสระ มีเสรีภาพทางความคิดโดยสมบูรณ์
    แต่ก็ไม่มีใครแหกคอกนอกกฏ
    ทุกคนเสมือนหนึ่งครอบครัวเดียวกัน

    ถึงตรงนี้ อยากให้ทุกท่านเตรียม “เลือก” ว่าอยากไปเส้นทางไหนดี
    แต่ก่อนที่จะเลือก ผมมีความเห็นบางอย่างที่จะขออนุญาตแลกเปลี่ยนมุมมองกันครับ...

    เกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา นับจากผมได้รู้จัก เรียนรู้
    และพยายามฝึกฝนกระบวนการ “สุนทรียสนทนา” หรือ “Dialogue” มาอย่างต่อเนื่อง
    มันคือกระบวนการในการสนทนาที่เน้นการฟังเป็นหลัก
    ผนวกกับการคิดไตร่ตรองอย่างปราศจากอคติ ฐานความคิด หรือสมมติฐานใดๆ
    สุดท้ายก็มีการนำเสนอความคิดอย่างสร้างสรรค์ ไม่เน้นการเอาชนะคะคานกันด้วยเหตุผล
    (หากท่านใดยังไม่คุ้นกับเรื่องดังกล่าวลองถามสาวยาคูลท์ เอ้ย!...ถามกูเกิ้ลดูนะครับ)

    กระบวนการนี้มันทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนแปลงไปมาก ทั้งวิธีคิด ทัศนคติการมองคน มองโลก
    ผมคงไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด เพราะมันค่อนข้างเป็นเรื่องเฉพาะตน
    คงต้องให้แต่ละท่านได้พยายามหาโอกาสพิสูจน์กันเอง

    แต่ผมเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่า กระบวนการสุนทรียสนทนา นี่แหละ
    ที่จะนำพาชาติให้รอดได้ในอนาคต
    และนำพาองค์กรให้เข้มแข็ง
    และทำให้เรามีความสุขกับชีวิตมากขึ้น

    เท่าที่ผมพอจะบอกได้คร่าวๆ ในตอนนี้ คือ
    กระบวนการสุนทรียสนทนา มันมีความเชื่อมโยงบางอย่างกับ “ประชาธิปไตย”
    เดี๋ยวผมจะขอขยายความนะครับ
    แต่ขออนุญาตพูดถึงความเข้าใจของคนส่วนใหญ่ที่เกี่ยวกับ “ประชาธิปไตย” กันก่อน

    ก่อนหน้านี้.... (ที่ผมจะรู้จักสุนทรียสนทนา)

    เมื่อมีคำถามว่า เมื่อคุณนึกถึง “ประชาธิปไตย” คุณจะนึกถึงอะไร?
    ผมคงตอบไปว่า...
    “เสียงส่วนใหญ่” “การเลือกตั้ง” “รัฐสภา” “ผู้แทนฯ” “รัฐธรรมนูญ” หรือ “ประชามติ” เป็นต้น

    ผมขอเรียนด้วยความเคารพว่า
    หากท่านได้เคยมีโอกาสเข้าร่วมวง “สุนทรียสนทนา” ดีๆ สักครั้ง
    ท่านคงต้องกล่าวเหมือนผมว่า
    นิยามของประชาธิปไตยข้างต้นนั้นมัน “ชิวๆ” “ผิวๆ” “เดะๆ”

    แต่ตอนนี้ หากมีใครมาถามผม (ด้วยความหมั่นไส้เล็กๆ) ว่า
    “แล้วไอ้ประชาธิปตง ธิปไตยในแบบที่เอ็งว่ามันคืออะไรฟะ?”
    ผมคงจะตอบไปด้วยคำประมาณนี้ครับ
    มันคือ “การรับฟังอย่างไม่ตัดสิน (ผิด/ถูก/ดี/เลว)”
    “ทุกคนมีอิสรภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี”
    “เคารพในความเท่าเทียม และคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ของทุกคน”

    ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นคือนิยามของ ประชาธิปไตย ในแบบของผมครับ
    และนิยามดังกล่าว ก็เป็นสิ่งที่จับต้องได้ รู้สึกได้ สัมผัสได้ ในวงสุนทรียสนทนา
    ผมคงไม่ขยายความอะไรมากกว่านี้เพราะป่วยการที่จะพูดให้มากความ
    ประสบการณ์เท่านั้นคือเครื่องยืนยัน

    ในวงสุนทรียสนทนา
    ผมพบว่า ผู้คนในวงล้วนมีความคิดดีๆ ที่ไหลรินออกมาอย่างต่อเนื่อง
    กระแสความคิดแห่งการสร้างสรรค์ได้เผยตัวออกมา
    พลังแห่งความไว้เนื้อเชิ่อใจได้ร้อยเรียงคนในกลุ่มให้มีพลัง
    เจาะทะลุเกราะกำแพงแห่งตัวตนให้มลายไป
    ณ ที่นั่น เราจะรู้สึกได้ถึงคำว่า “ชุมชน”

    ผมเริ่มปิ๊งว่า
    ด้วยกระบวนการคุยกันแบบง่ายๆ นี่เอง
    ที่จะทำให้ “รากหญ้า” อย่างเราๆ ท่านๆ นี่แหละ ที่จะพัฒนาเติบใหญ่กลายเป็น “รากหญ้าแฝก”
    อันมีรากที่ยาว และแตกแขนงร้อยรัดกวัดเกี่ยวกันอย่างแน่นหนา
    และอาจพัฒนาเติบใหญ่กลายเป็น “รากแก้ว” แห่ง “ประชาธิปไตย” ในที่สุด

    ขอวกกลับมาที่สถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันหน่อยนะครับ
    ใครที่ได้ดูการประชุมสองสภา เพื่อหาทางออกแก้วิกฤติชาติ คงต้องส่ายหน้าไปตามๆกัน
    เพราะทำให้เห็นทางตันแทนที่จะช่วยกันหาทางออก
    เราชอบบ่นกันไปเรื่อยเปื่อยว่า
    นักการเมืองไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีคุณภาพ
    เพราะส่วนใหญ่มาจากระบบอุปถัมภ์ เส้นสาย อิทธิพล
    (หากใครไม่เป็นก็ไม่ต้องเดือนร้อนนะครับ)

    แต่เราก็ลืมมองดูไปว่า ผู้แทนก็สะท้อนภาพของสังคมไทย
    มันคือกระจกเงาที่ดีที่สุดในการสะท้อนว่าสังคมไทยเป็นอย่างไร
    ภาพการอภิปรายในแบบสาดโคลน ขุดคุ้ย ค่อนแคะ เหน็บแนม กันในสภาของทั้งสองฝ่าย
    ก็ไม่ต่างอะไรกับสภาพที่เกิดขึ้นกับสังคมไทยในปัจจุบัน

    บางทีเราก็ไปหวังแบบลมๆ แล้งๆ ว่า
    จะต้องมีการเมืองใหม่ การปฏิรูปการเมือง รัฐธรรมนูญใหม่ หรือเครื่องมืออะไรใหม่ๆ
    ที่จะทำให้เราได้ผู้แทนที่ดีขึ้นมาเป็นผู้นำพาประเทศนี้

    แต่บางที เราก็ลืมมองไปว่า
    หากปราศจาก “ราก” ที่แข็งแรง ไม้ใหญ่ย่อมไม่อาจยืนหยัดต้านแรงลม
    หากปราศจาก “เสาเข็ม” ที่ดี แล้วไซร้ ตึกสูงใหญ่ย่อมโค่นล้ม
    หากปราศจาก “เหตุ” ที่ดี แล้วจะไปคาดหวัง “ผล” ที่เป็นเลิศได้อย่างไร

    แล้วอะไรล่ะ คือ “รากฐาน” ที่แท้จริงของ “ประชาธิปไตย”
    อะไรล่ะ ที่จะนำเราไปสู่การเมืองใหม่

    ผมว่าคำตอบอาจอยู่ในวง “สุนทรียสนทนา” นั่นเองครับ
    หากเราต้องการให้สังคมไทยเป็น “สังคมอุดมปัญญา” ได้จริงละก็
    เราจะต้องเลิกหวังกับสิ่งไกลตัว
    แต่เราจะต้องให้ความสนใจกับ ตัวเอง กับครอบครัว กับชุมชน กับหน่วยงานที่เราอยู่
    เพราะสิ่งเหล่านี้คือ “รากฐาน” ของประเทศ
    หากตราบใดที่ ยังมีความขัดแย้งในตัวเอง ในครอบครัว ในชุมชน ในหน่วยงาน
    อย่าไปหวังเลยว่าประเทศนี้จะสงบสุข

    แต่...สิ่งท้าทายประการเดียวคือ เราทั้งหลายพึงตระหนักร่วมกันว่า
    กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียวฉันใด
    “ประชาธิปไตย” และ “การเมืองใหม่” ก็ไม่อาจได้มาในเวลาอันสั้น
    คงไม่ได้มาง่ายๆ เพียงแค่การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ หรือผู้แทนหน้าใหม่
    แต่จะได้มาก็ต่อเมื่อ เราได้สร้าง “รากหญ้า” ให้แข็งแรง

    ผมประเมินว่า หากอยากสร้างรากฐานกันอย่างจริงจัง
    เราอาจเห็นผลได้ในระยะเวลา 10 ปีขึ้นไป
    ดังนั้นสิ่งเดียวที่ทำได้ในขณะนี้คือ
    เชื่อมั่น และ รอคอยอย่างอดทนว่า
    พรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้

    ก่อนจะเพ้อเจ้อไปมากกว่านี้
    ผมจะขอเปิดเผยความลับประการหนึ่ง....ของสุนทรียสนทนาก็ว่าได้
    ส่วนตัวผมไม่ค่อยอยากจะเปิดเผยนักหรอกเพราะมันสุ่มเสี่ยงมากๆ
    ต่อการดำเนินกระบวนการนี้ในอนาคต
    นี่หากไม่ปวารณาตัวกันเป็นกัลยาณมิตรผมก็คงไม่เปิดเผยหรอกนะครับว่า...

     สุนทรียสนทนา คือ เครื่องมือในการกระจาย “อำนาจ”

    หลายท่านอาจจะสงสัยว่า ลำพังการตั้งวงพูดคุยสนทนา
    มันจะเป็นการกระจายอำนาจได้อย่างไร
    ก็คงต้องกลับมาตั้งคำถามว่า “อำนาจ” คืออะไร

    หากเราเชื่อในสุภาษิตโบราณว่า “ความรู้คืออำนาจ”
    เราก็จะเชื่อมโยงได้ว่า คนที่มีความรู้มากก็ย่อมมีอำนาจมากตาม”

    ก็ต้องถามต่อว่า แล้ว “ความรู้” คือ อะไร?
    ผมว่า ความรู้ไม่ได้อยู่ที่การเรียนจบด๊อกเตอร์
    ไม่ได้อยู่ที่การจบเมืองนอก หรือสถาบันชั้นนำหรอกครับ
    แต่ผมว่า ความรู้ คือ ผลผลิตที่ได้จาก “กระบวนการคิด”

    ดังนั้นจึงอาจเชื่อมโยงได้ว่า
    หากเรามี “กระบวนการคิด” ที่ดี
    เราก็ย่อมมี “ความรู้” ที่ดี
    และจะทำให้เรามี “อำนาจ” ในที่สุด

    ก็จะมีคำถามต่อเนื่องมาอีกว่า อะไรทำให้คนมีกระบวนการคิดที่ดีได้ ?
    จริงๆต้องขอออกตัวก่อนว่า ผมก็ยังไม่ทราบเหมือนกัน ตามทฤษฎีมันคงมีหลายปัจจัย
    แต่จะขออ้างอิงจากประสบการณ์ที่ได้จากวงสุนทรียสนทนาว่า...

    ภายใต้กฎกติกา และบรรยากาศของสุนทรียสนทนา
    ในเบื้องต้น มันคล้ายๆกับจะทำให้เราเกิดการ “คิดแนวข้าง” (Lateral Thinking)
    ซึ่งเป็นแนวคิดที่ ดร.เอ็ดเวิร์ด เดอ โบโน เจ้าของทฤษฎีผู้โด่งดังระดับโลก
    ได้เขียนไว้เป็นหนังสือ Best Seller
    และขายเป็นหลักสูตรฝึกอบรมที่แพงหูฉี่ตาฉี่
    ขอบอกว่า ท่านไม่ต้องไปเสียเงินเข้าคอร์สแพงๆ ของเขาหรอกครับ
    แค่ลองมานั่งในวงสุนทรียสนทนา แล้วตั้งใจฟังสิ่งที่คนในวงได้พูดให้เราฟัง
    เราก็จะได้รับรู้มุมมองอื่นๆ ที่ไม่ใช่ของตัวเองได้อย่างง่ายๆ
    เพียงแค่ “ตั้งใจฟัง” จากคนข้างๆ ให้ดี แล้วเราจะ “คิดแนวข้าง” ได้เอง

    ในลำดับต่อมา หากเรามีการนำสิ่งที่คนอื่นพูด มาคิดไตร่ตรองอย่างมีสติ
    โดยไม่ยึดเอา ความคิด ความเชื่อของเราเป็นฐานคติ
    เราก็จะสามารถคิดได้อย่างอิสระ แจ่มชัด คิดพิจารณาได้ตามความเป็นจริง
    ผมว่านี่แหละ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของ “ปัญญา”

    เมื่อเห็นคำว่า ปัญญา ก็หวลนึกถึงสุภาษิตอีกบทหนึ่งที่ความหมายคล้ายๆ กับบทแรก
    “ปัญญาประดุจดัง อาวุธ”


    ดังนั้นคงพอสรุปสั้นๆ จากการชักแม่น้ำที่ยืดยาวได้ว่า

    กระบวนการสุนทรียสนทนา ทำให้เกิดกระบวนการคิดที่ดี
    ช่วยให้เกิดปัญญาเห็นตามความเป็นจริง
    ซึ่งทำให้เรามีองค์ความรู้ และนั่นทำให้เรามี “อำนาจ” และ “อาวุธ” ในที่สุด

    ต้องขอบอกว่า นี่คือความลับที่ผมอยากแบ่งปันให้เหล่ากัลยาณมิตรได้รับรู้โดยทั่วกัน
    แต่ก็ไม่อยากให้ใครบางคนรู้!!!

    ท่านอาจสงสัยว่าใครกันเหรอ???

    ก็คนที่ชอบรวบอำนาจ
    คนที่ชอบควบคุมทุกอย่างไว้ในมือ
    ชอบสั่งการทุกอย่างราวกับว่า คนอื่นๆ เปรียบเสมือนหุ่นยนต์ที่ไร้สมองคิด
    คนที่คิดว่า ตัวเองฉลาดสุดๆ อยู่เพียงคนเดียว คนอื่นๆ ล้วนโง่ไปหมด
    (หวังว่าคงไม่มีใครกินปูนร้อนท้องนะครับ)

    ผมว่านี่คือ “อาวุธ” อันทรงอานุภาพ ที่จะทำให้เราสามารถต่อสู้กับความไม่ชอบธรรมต่างๆ ได้
    และมันคือ “อำนาจ” ที่ทำให้เราสามารถร่วมกันกำหนดชะตากรรมของตัวเอง ของสังคม และของประเทศนี้ได้

    ลองคิดดูเล่นๆ สิครับว่า หากคนในประเทศนี้มีปัญญากันหมด
    แล้วจะเขาจะไปเลือกคนไม่มีปัญญามาเป็น ส.ส. ได้อย่างไรกัน
    และถัดไป ส.ส. ก็ต้องเลือกนายกที่เพียบพร้อมด้วยเช่นกัน
    “การเมืองใหม่” “การเมืองภาคประชาชน” หรือ “ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม”
    ต้องมีรากฐานจากตรงนี้ครับ

    หรือกรณีคนในองค์กรล้วนมีปัญญากันหมด ใครจะมาเป็นผู้นำก็ต้อง
    เป็นผู้มีปัญญาเสมอกัน หรือสูงกว่าถึงจะมาปกครองได้
    ไม่งั้นจะไปมีอำนาจบารมี ให้เป็นที่เคารพนับถือได้อย่างไร เสียศักดิ์ศรีผู้นำแย่เลย
    (อาจใช้คำว่า “ขาดความชอบธรรม” ที่กำลังฮิตอยู่ในขณะนี้ได้)
    และนี่ก็อาจตอบคำถามของการสรรหาผู้นำสูงสุดของรัฐวิสาหกิจต่างๆ ได้ว่า
    หากต้องการจะได้ผู้นำที่เก่งและเพียบพร้อมด้วยคุณธรรม
    เราก็คงต้องมุ่งมั่น และเอาจริงเอาจังกับการทำให้คนในองค์กร
    มี “อาวุธ (ทางปัญญา)” และ “อำนาจต่อรอง (ทางความคิด)”

    แต่ก็ไม่ต้องไปเคืองแค้น น้อยใจ ในโชคชะตาปัจจุบันหรอกนะครับ
    ที่เรายังมีผู้แทน หรือผู้นำที่ “ขาดความชอบธรรม” อยู่ไม่ใช่น้อย
    ทั้งนี้ก็เพราะ ตัวเราก็ยังอ่อนแอ สับสน โง่เขลา และรุนแรง
    ความสัมพันธ์ในครอบครัวบางครั้งก็ระส่ำระสาย
    หน่วยงานก็ยังไม่เข้มแข็ง
    องค์กรก็กำลังจะล่มจม
    ประเทศชาติก็กำลังย่อยยับ
    อย่างไปโทษใครคนใดคนหนึ่งเลยครับ
    เราทุกคนล้วนต้องรับผิดชอบต่อทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

    มาถึงตรงนี้ต้องขอบอกว่า ชักรู้สึกกังวลเหมือนกันที่ได้เปิดเผยความลับ
    ที่อาจเรียกได้ว่า “ลับที่สุด” ของสุนทรียสนทนา
    เหตุเพราะมันสุ่มเสี่ยงต่อการถูก “คนพวกนั้น” ต่อต้าน และขัดขวาง
    ด้วยเหตุว่า เมื่อคนคิดได้ คิดเป็น และรวมพลังกันได้
    พวกเขาจะสามารถสร้าง “อำนาจต่อรอง” ได้
    และบรรดาชนชั้นปกครองที่มีนิยมลัทธิเผด็จการ ซึ่งมีจิตใจคับแคบ
    คงจะรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง
    พวกเขาไม่ปรารถนาจะเห็นคนโน้นคนนี้ ลุกขึ้นมาแสดงความคิดความเห็นอย่างอิสระ
    ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการทำให้เขาเสีย “อำนาจ” ไปในที่สุด

    แต่ในฐานะคนรากหญ้า อย่างเราๆ ท่านๆ
    ผมว่านี่คือแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์อย่างแท้จริง
    นี่คือ “อาวุธ” และ “อำนาจ” ที่จะทำให้เรายืนหยัดอย่างสมศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ได้อีกครั้ง
    และมันจะช่วยทำให้พวกเราสามารถควบคุมชะตากรรม ความเป็นไปต่างๆได้
    และผมขอยืนยันว่า
    สุนทรียสนทนาคือ กระบวนการที่จะนำไปสู่การยึดอำนาจ “อธิปไตย” คืนจากชนชั้นปกครอง
    มาสู่เหล่า “ประชาชน” คนรากหญ้าอย่างพวกเราโดยแท้
    และนี่คือกระบวนการเพื่อการ “ปฏิวัติ” ไปสู่ “ประชาธิปไตย” ที่แท้จริง

    สุดท้ายนี้ก็มาถึงเวลาของท่านแล้วที่จะต้อง “เลือก” แล้วล่ะ
    แต่ก่อนจะเลือก อยากให้ท่านลองถามตัวเองหน่อยเถอะว่า

    ท่านจะยังคงพฤติกรรมที่สื่อสารกับคนรอบข้าง ในครอบครัว ที่ทำงาน หรือกับคนในสังคม
    ด้วยคำพูดที่เต็มไปด้วยคำเสียดสี ทิ่มแทง หยาบคาย ให้ร้ายป้ายสี ต่อไปหรือไม่
    และท่านจะยังคงยึดติด กับความคิด ความเชื่อ หรือมุมมองอันคับแคบของตน
    จนไม่อาจฟังเสียงแห่งความแตกต่างจากผู้อื่นได้หรือไม่

    หากท่านยังคงหวงแหนพฤติกรรมเหล่านี้ 
    ท่านคงต้องเลือกต่อแล้วล่ะ ว่าท่านอยากอยู่ในประเทศไทยเหนือ หรือไทยใต้

    แต่หากท่านยังอยากอยู่ในประเทศไทย (อันแบ่งแยกมิได้)
    ท่านคงพอจะทราบนะครับว่าต้องทำยังไง 

    ถึงเวลาแล้วที่ “คนไทย” ทุกคนต้อง “เลือก”
    หวังว่าเราคงไม่ต้องแต่งเพลงชาติกันใหม่
    และออกแบบธงชาติกันใหม่นะ

     ด้วยความปรารถนาดีแด่กัลยาณมิตรทุกท่าน 
    นพรัตน์
    14 ก.ย. 51

  4. #4
    due's Avatar
    due is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    64
    Warning Points:
    0/5
    Quote Originally Posted by MamyNongJ View Post

    ทำไมเราถึงคุยกันไม่ได้ ทำไมปากของเรา ความเห็นของเราถึงถูกใช้เพื่อนำพาไปสู่ความขัดแย้ง แทนที่จะเป็นความสามัคคี น้ำตาหยดนี้จะไม่มีวันไหลเลย ถ้าเราหยุดคิดสักนิดเพื่อพูดจากัน เปิดใจรับความเห็นต่างกันบ้าง?

    เห็นด้วยมักมักค่ะ

    อยากให้ทุกฝ่ายรักกัน

    อย่าแบ่งแยกกันอีกเลย
    เรารักอะไรก็จะทุกข์เพราะสิ่งนั้น
    เพราะว่าสิ่งทั้งหลายล้วนแปรปรวนทั้งสิ้น
    ไม่มีอะไรคงที่อยู่ได้ตลอดเวลา

  5. #5
    hut2211's Avatar
    hut2211 is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    1,986
    Warning Points:
    0/5

    Talking เห็นด้วยอีกคนครับ คนไทยด้วยกัน รักและสามัคคีกันนะ

    ขออนุญาติ จขกท เพิ่มเติมนะครับ เห็นว่าเป็นเรื่องเดียวกัน

    ข้อคิดจากเงินสิบบาท...

    ถ้ามีเงินอยู่ 10 บาท ซื้อของ 3 บาท จะได้รับเงินทอนเท่าไร?
    ครูคนหนึ่งตั้งคำถามกับเด็กว่า 'ถ้ามีเงินอยู่ 10 บาท ซื้อของ 3 บาทจะได้รับเงินทอนเท่าไร'
    เด็กส่วนใหญ่ตอบว่า '7 บาท' แต่มีเด็ก 2 คนที่ตอบไม่เหมือนกับคนอื่น
    คนหนึ่งตอบว่า '2 บาท'
    อีกคนหนึ่งตอบว่า 'ไม่ต้องทอน'

    ครูถามเด็กคนแรกว่าทำไมถึงได้เงินทอน 2 บาท
    คำตอบที่ได้ก็คือภาพในใจของเขาสำหรับเงิน 10 บาท
    คือ เหรียญห้า 2 เหรียญ เมื่อซื้อของราคา 3 บาท เขาก็ให้เหรียญห้า 1 เหรียญ
    ดังนั้น จึงได้เงินทอน 2 บาท

    ถามเด็กคนที่สองว่าทำไมไม่เหลือเงินทอนเลย
    คำตอบก็คือเด็กคนนี้คิดว่าในกระเป๋ามีเหรียญบาท 10 เหรียญ
    เมื่อซื้อของราคา 3 บาท เขาก็ส่งเหรียญบาทให้ 3 เหรียญ
    เพราะฉะนั้น คนขายจึงไม่ต้องทอนเงินให้เขา

    โชคดีที่เป็นการถาม-ตอบในห้องเรียน
    ลองนึกดูสิครับว่าถ้าโจทย์นี้เป็นข้อสอบที่มีคำตอบเป็น ก-ข-ค-ง
    เด็ก 2 คนนี้ก็คงไม่ได้คะแนนจากคำตอบที่ผิดเพี้ยนจากคนส่วนใหญ่

    การสร้างโจทย์ที่ 'เสมือนจริง' จินตนาการของ 'ครู' อาจถูกจำกัดเพียงแค่ 'ตัวเลข'
    แต่สำหรับเด็กจินตนาการของเขาไร้กรอบ

    10 บาท จึงสามารถเปลี่ยนเป็นเหรียญสิบ เหรียญห้า หรือเหรียญบาท
    เมืองไทยมีเหรียญ 2 บาท เราจึงได้คำตอบเพิ่มอีก 1 คำตอบ คือ ได้เงินทอน 1 บาท

    โลกในห้องเรียนกับโลกของความเป็นจริงนั้นแตกต่างกัน
    โลกในห้องเรียน ทุกคำถามส่วนใหญ่มีเพียง 1 คำตอบ
    แต่โลกของความเป็นจริง ทุกคำถามอาจมีคำตอบที่ถูกต้องได้เกิน 1 คำตอบ..
    ลองมองและเข้าใจคำตอบของคนอื่นดูบ้าง ยอมถอยคนละก้าว เพื่อบ้านเมืองนะ

    จงทำกับเพื่อนมนุษย์
    เขา...เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของเรา..
    เขา...เป็นเพื่อน เวียนว่าย อยู่ในวัฏฏสงสาร ด้วยกันกับเรา..
    เขา...ก็ตกอยู่ใต้ อำนาจกิเลส เหมือนเรา ย่อมจะพลั้งเผลอไปบ้าง..
    เขา...ก็มีราคะ โทสะ โมหะ ไม่น้อยไปกว่าเรา..
    เขา...ย่อมพลั้งเผลอบางคราว เหมือนเรา..
    เขา...ก็ไม่รู้ว่า เกิดมาทำไม ไม่รู้จักนิพพาน เหมือนเรา..
    เขา...ก็ตามใจตนเอง ในบางอย่าง เหมือนที่เราเคยกระทำ..
    เขา...โง่ในบางอย่าง เหมือนที่เราเคยโง่..
    เขา...ก็อยากดี เหมือนเรา ที่อยาก ดี เด่น ดัง..
    เขา...ก็มักจะกอบโกย และ เอาเปรียบ เมื่อมีโอกาส เหมือนเรา..
    เขา...มีสิทธิที่จะ บ้าดี เมาดี หลงดี จมดี เหมือนเรา..
    เขา...เป็นคนธรรมดา ที่ยึดมั่น ถือมั่น อะไรต่าง ๆ เหมือนเรา
    เขา...ไม่มีหน้าที่ ที่จะเป็นทุกข์ หรือ ตายแทนเรา..
    เขา...เป็นเพื่อนร่วมชาติ ร่วมศาสนา กับเรา..
    เขา...ก็ทำอะไร ด้วยความคิดชั่วแล่น และ ผลุนผลัน เหมือนเรา..
    เขา...มีหน้าที่รับผิดชอบ ต่อ ครอบครัวของเขา ไม่ใช่ของเรา..
    เขา...มีสิทธิ ที่จะมีรสนิยม ตามความพอใจของเขา..
    เขา...มีสิทธิ ที่จะเลือก (แม้ศาสนา) ตามความพอใจของเขา
    เขา...มีสิทธิ ที่จะเป็น โรคประสาท หรือ เป็นบ้า เท่ากับเรา
    เขา...มีสิทธิ ที่จะขอความช่วยเหลือ เห็นอกเห็นใจจากเรา..
    เขา...มีสิทธิ ที่จะได้รับอภัยจากเรา ตามสมควรแก่กรณี..
    เขา...มีสิทธิ ที่จะเป็นสังคมนิยม หรือ เสรีนิยม ตามใจเขา..
    เขา...มีสิทธิ ที่จะเห็นแก่ตัว ก่อนเห็นแก่ผู้อื่น..
    เขา...มีสิทธิ แห่งมนุษยชน เท่ากันกับเรา สำหรับอยู่ในโลกนี้..
    ถ้า...เราคิดกันอย่างนี้ จะไม่มีการขัดแย้งใด ๆ เกิดขึ้น..
    บุคคลผู้มีศีลเป็นพื้น ใจย่อมอยู่สบาย......
    อย่าเรียกร้องในสิ่งที่ไม่มี แต่จงภูมิใจในสิ่งที่มีอยู่...
    โกงเค้าชาตินี้ 1 ต้องใช้เค้าชาติหน้าเป็น พัน ทำทำไม?
    ศาสนาไม่ได้เสื่อม แต่คนเสื่อมจากศาสนา

    ธรรมนิยายธรรมะผู้สละโลก
    http://groups.google.com/group/DhammaSawasdee/web/%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81


  6. #6
    SuperMonkey's Avatar
    SuperMonkey is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    81
    Warning Points:
    0/5
    รักกันๆ เห็นใจกันๆ

  7. #7
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    10
    Warning Points:
    0/5

    Talking

    รักกันไว้เถิด เราเกิดร่วมแดนไทย
    [SIGPIC][/SIGPIC]

    จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด
    จะรักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง
    จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง
    จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา

  8. #8
    AAA is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    19
    Warning Points:
    0/5
    อยากให้ทุกอย่างจบลงอย่างสันติ และโดยเร็ววัน

    ใครจะแพ้ ใครจะชนะ .... ผลสุดท้ายคนไทยทุกคนก็แพ้

    ..... เสียน้ำตา เสียเลือด เสียเนื้อ เสียเวลา เสียโอกาส

    ...... เสียทุกอย่าง .... เศรษฐกิจถดถอย...

    ประชาชนเดือดร้อน....:cry:
    __________________________________________
    ***We love Baleniciaga ...............................***

    สังคมเริ่มแตกแยก ความคิดเริ่มแตกต่าง คนไทยเริ่มไม่รักในสิ่งเดียวกัน
    เกิดจากอะไร สาเหตุมาจากไหน จุดจบจะเป็นอย่างไร
    ในเมื่อสิ่งที่รักสิ่งที่บูชา ไม่ใช่สิ่งเดียวกันอีกต่อไป

Comments from Facebook

Posting Permissions

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •