Previous
Next
Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
Page 1 of 2 1 2 LastLast
Results 1 to 10 of 77

Thread: บทเรียนจากห้องอาหารตา

Hybrid View

  1. #1
    noo_pizza's Avatar
    noo_pizza is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    1,683
    เข้าใจคุณมุกเลย ไม่ผิดค่ะที่คุณมุกคิดแบบนั้น
    คนเราตราบใดยังเป็นแค่มนุษย์ปุถุชน
    ความอยากได้อยากมีเป็นเรื่องธรรมดา ตัดกิเลสได้มากได้น้อย
    แล้วแต่ว่าจะบริหารจิตใจตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน



    quote=bombasiclove;479203]ในหลวงเคยตรัสเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียงไว้ว่า

    คำว่าพอเพียงของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน พอเพียงไม่ใช่การกัดก้อนเกลือกิน
    แต่เป็นการอยุ่ได้ด้วยตัวเอง พึ่งพาตัวเอง โดยไม่เดือดร้อนถึงผู้อื่น

    ตราบใดที่เราซื้อกระเป๋า ต่อให้ไปละเป็นล้าน แต่ถ้าไม่ทำให้ใครเดือดร้อน
    ไม่ต้องให้ลูกเดือดร้อน เพราะไม่มีตังค์จ่ายค่าเทอม
    ไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน เพราะเงินหมด
    คือเรามีเงินอย่างพอเพียงที่จะใช้จ่ายในแบบของเรา

    [/quote]

    ชอบความคิดเห็นน้องคนนี้จัง เห็นว่ายังเรียนอยู่ คิดได้แบบนี้
    น่ารักจังค่ะ ภูมิใจแทนคนเป็นพ่อเป็นแม่น้องจังค่ะ
    ถูกต้องที่สุด ถ้าเราซื้อกระเป๋า
    ภายใต้ที่เราและครอบครัวไม่เดือดร้อน

    Quote Originally Posted by DenMark View Post
    เห็นด้วยนะคับ ว่าคนเราต้องรู้จักพอใจสิ่งที่เรามีค๊าบ

    อย่างไรก็ดีลองอ่าน กฎ และ วัตถุประสงค์ของห้อง show off ดีๆ นะคับ

    หน้าห้องเขียนว่า................
    Show Off : ห้อง อาหารตา
    ซื้ออะไรมาใหม่ ไปชอปอะไรกันมา ของแบรนด์เนมสวยๆจะมือหนึ่ง หรือ มือสอง เอามาแบ่งกันดูด่วนๆค่ะ นอกจากนี้มีกระเป๋าใบไหนซื้อมาน่าใช้ดีไม่ดียังไงแวะมารีวิวกันที่นี่ค่า จะได้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนๆค่ะ

    กฎห้องอาหารตานะครับ http://forum.siambrandname.com/showthread.php?t=19585
    และจะแจ่มที่ซู๊ดดดด ถ้าใช้ห้องอาหารตา ตามวัตถุประสงค์แรกนะคะ
    เราเอง เข้าดูเวลาจะหาซื้อใบใหม่ค่ะ มันเป็นข้อมูลที่หาไม่ได้ใน shop นะคะ
    มีบ้างที่เข้าไปชมเพลิน ๆ

    โชคดีนะคะ อยู่กับจิตใจ และความเป็นจริงของเรา
    มีความสุข ด้วยตัวของเราเอง

    "หาหัวใจให้เจอก็เป็นสุข"


    __________________________

    "ทำเสียงอย่างนี้ ซื้อมาอีกใบแล้วสิ"

    #### รู้ทันอีกแล้ว เซ็ง ####

  2. #2
    noo_pizza's Avatar
    noo_pizza is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    1,683
    ต่ออีกหน่อย

    สำหรับเรา นอกจากประโยชน์ในการเลือกซื้อกระเป๋าแล้ว ก็เอาไว้แบบนี้ค่ะ

    เปิดกระทู้ที่แฟนซื้อให้ ให้คุณแฟนดู แล้วกรี๊ดดดด...
    บอกว่า "ตัวเองดูดิ แฟนน้องคนนี้น่ารักเนอะ ซื้อรุ่นนี้ให้ อยากได้มั่งจัง"
    แล้วเอาหัวไปซุก ๆ ไหล่สักสองจึ๊ก....

    แฟนเราก็จะหันมาดูแล้วถามว่า " เท่าไรอ่ะ...." บอกราคา เค้าก็จะ "อืม ๆ เดี๋ยวรอบหน้าวันเกิด เค้าซื้อให้นะคะ "

    (อันนี้กรณีที่อยู่ภายใต้ราคาที่เราสองคนจ่ายได้ ไม่เดือดร้อนนะคะ)

    มีบ้าง ที่รุ่นที่เราอยากได้ ใบแสนกว่า แต่เราก็ยังไม่ตัดสินใจซื้อ
    เพราะเงินจำนวนเท่านี้ เรามีอย่างอื่นจำเป็นจะต้องใช้มากกว่า
    ก็มองไว้ก่อนค่ะ แล้วทำแบบเดิม แต่คำพูดเราจะเปลี่ยนไปเป็น

    เรา >> "ไว้เราหาเงินได้มากกว่านี้ เค้าขอซื้อสักใบนะที่รัก"

    แฟน >> " เหอ เหอ ขอทำงานมากขึ้นเป็นวันละ 48 ชม.ได้ไหม จะได้ซื้อได้เร็ว ๆ แล้วไว้จะต่อตู้เก็บกระเป๋าให้นะ "

    มองต่างมุมดูบ้าง เราไม่ได้ได้ทุกอย่าง ตามที่เราอยากได้
    แต่เราก็เป็นสุข ในมุมที่เราเป็นค่ะ

    __________________________

    "ทำเสียงอย่างนี้ ซื้อมาอีกใบแล้วสิ"

    #### รู้ทันอีกแล้ว เซ็ง ####

  3. #3
    kalliez's Avatar
    kalliez is offline Junior Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    0
    ชอบกระทู้นี้มากค่ะ และขอบคุณคุณมุก เพื่อนๆพี่ๆทุกคนที่เข้ามาให้ความเห็นจังค่ะ
    เพราะเราเชื่อว่าทุกคนที่เข้าไปดูก็คงมีความรู้สึกอยากได้ อยากมีบ้างไม่มากก็น้อย อยู่ที่ว่าเราจะควบคุมกิเลสของตัวเอง และรู้จักคำว่าพอเพียงได้มากแค่ไหน เห็นด้วยกับความเห็นที่ว่า "บางคน"ที่ซื้อของราคาแพงๆก็เพราะว่าเค้าต้องการเติมเต็มอะไรบางอย่างที่ขาดหายไปในชีวิตของเค้า หรือ"บางคน"ซื้อก็เพราะว่าต้องการได้รับการยกย่อง เชิดหน้าชูตาในสังคม ไม่ได้รักชอบอะไรในตัวกระเป๋าอย่างแท้จริงหรอกค่ะ

  4. #4
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    1
    เมื่อก่อนก้อเป็นอ่ะค่ะ เห็นรูปกระเป๋าคนอื่นแล้วอยากได้ อยากมี กะเค้ามั่ง รุ่นโน้นก้อสวย สีนั้นก้อน่ารัก
    แต่พอมามองดูตัวเอง ทำงานที่บ้าน ออกจากห้องก้อเดินไม่กี่ก้าวถึงออฟฟิศแล้ว โอกาสที่จะใช้กระเป๋าทุกวัน แต่งตัวสวยๆ ออกจากบ้าน เหมือนคนอยู่เมืองไทย แทบไม่มีเลยอ่ะค่ะ ยกเว้นตอนออกไปธุระ หรือว่าโรงงาน
    หลังๆมาเริ่มคิดได้ กลับไทยเดือนละครั้ง ก้อเอากระเป๋ากลับมาใช้ทีละใบ สลับไปสลับมาแค่นี้ ความคิดอยากได้โน่นนี่เลยค่อยๆลดลง
    ตอนนี้กลายเป็นว่า จะซื้อกระเป๋าที่ใช้ได้นานๆ ไม่แฟชั่นมากเท่าไหร่ เก็บตังไว้ซื้อ หรือลงทุนอย่างอื่นดีกว่า เผื่อวันหน้าเกิดอะไรที่ไม่ได้คาดคิด จะได้มีเงินส่วนนี้ไว้สำรองค่ะ
    เขียนไปซะยาว สรุปแล้วคือ มองดูความจำเป็นของตัวเอง ดีกว่ากิเลสอยากได้อยากมีค่ะ ไม่งั้น หมดตัวแน่ๆ
    Lookin 4: Chanel
    Grand Shopping Tote in Light Beige/White
    Kelly (any color)
    10" Classic Flap (any color, except black)

  5. #5
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    19
    สุขไม่สุขอยู่ที่ใจจ้า
    RhaJib @ SiamBrandName

  6. #6
    nimnim's Avatar
    nimnim is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    1

    พอใจในสิ่งที่มีอยุ่

    กระทู้นี้ดีมากๆค่ะ อ่านแล้วได้ข้อคิดดีๆมากมาย

    ส่วนตัวชอบเข้าไปห้องอาหารตา เพื่อจะดูของสวยๆงามๆอยู่เป็นประจำ เห็นแล้วก็มีอาการ หูยย อยากได้บ้างจัง โดยเฉพาะกับรุ่น หรือยี่ห้อที่กำลังเล็งอยู่ในช่วงนั้นๆ บางช่วงไม่ได้เล็งอะไรอยุ่เป็นพิเศษ ก็ชอบที่จะเข้าไปดูของสวยๆงามๆ อารมณ์เหมือน window shopping ยังไงยังงั้น

    เห็นด้วยกับหลายๆความเห็นค่ะ ว่าความพอเพียง ความสุขกับสิ่งที่เรามีอยู่เป็นอยู่ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด

    ส่วนตัวเองก็ไม่ได้มีกระเป๋าอะไรมากมาย สมัยยังเรียนหนังสือหาเงินเิองไม่ได้ ยังซื้อมากกว่านี้ เพราะไม่ได้ใช้เิงินตัวเองซื้อ อิอิ แต่พอมีงานทำ หาตังค์ใช้เอง ความงก เริ่มปรากฎ ซื้อยากขึ้นกว่าเดิมเพราะรู้ค่าของเงินมากขึ้น
    <a href=http://i217.photobucket.com/albums/cc97/nimnimm/i76f-horz-1.jpg target=_blank>http://i217.photobucket.com/albums/c...76f-horz-1.jpg</a>

  7. #7
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    6
    ถูกต้องแล้วค่ะ แต่ก่อนตอนเราหากระเป็ เราชอบดูมากๆ ของสวยๆงามๆเนี่ย แต่พอรู้สึกว่ามีพอแล้ว ถึงเงินจาไม่เป้นอุปสรรค ก็ไม่ได้รู้สึกอยากได้ หรืออยากดูอีกอ่ะค่ะ โชคดีที่รู้สึกว่าพอได้อ่ะค่ะ สามใบพอค่ะ หมุนแทบมิทันเลย

    ฮะๆๆๆ ว่าไป เด๋วใบที่สี่ มะเกินปลายปี จ๋อยยยยย

  8. #8
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    4
    เคยเป็นบ้างเหมือนกันคับ แต่ผมไม่คิดไรมากอ่ะคับ ขำ ๆ
    รู้สึกแบบว่า แฟนเค้าใจดีจัง ประมาณเนี้ยอ่ะคับ (กลัวเข้าตัว พอถึงตาตัวเองมั่ง หุหุ)
    แต่ผมเคยนับ ๆ ของที่ซื้อไป ซึ่งก็ไม่มากเพราะรายได้จำกัดคับ รวมแล้ว
    ใจหายว่า เฮ้ยยยยยย นี่มันได้ทองกี่บาทเนี่ย เอาเก็งกำไรซื้อขายได้อีก
    ก็รู้สึกผิดไประยะนึง แต่พอถามตัวเองว่า ถ้าเราเปลี่ยนเป็นซื้อย่างอื่นแทน
    เราจะมีความสุขไม๊ เราจะหยุดอยากได้ของพวกนี้รึป่าว คำตอบก็คือไม่คับ
    ก็เลยเปลี่ยนเป็นซื้อให้น้อยลงไปอีก (แบ่งเงินมาหาทุนเพิ่ม เพื่อเอาไปสอยต่อ....ล้อเล่นค้าบ)
    คิดมาก ๆ ก่อนซื้อว่าอยากได้ + จำเป็น + เหมาะกะชีวิตหรือไม่ แล้วก็ออมเงินให้มากขึ้น ยิ่งตอนนี้ต้องเรียนต่อด้วยคับ
    ตอนนี้เลยรู้สึกพอดีกะชีวิตมากเลยคับ

  9. #9
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    0
    Quote Originally Posted by due View Post
    เราว่าคนที่ซื้อเยอะๆ แล้วเอามาโชว์ที่ห้องอาหารตา
    เค๊าจะมีความสุขตอนโชว์ค่ะแต่จะเป็นทุกข์ในวันที่ใบแจ้งหนี้บัตรเครดิตมาอ่ะ แงแงแง
    เหมือนเราเอง 555 เพราะฉะนั้นอย่าไปอิจฉาเค๊าเลยค่ะ
    555555 ขำคุณ Due ค่ะ ตอนสลิปบัตรเรามาก็แนวนั้นเลยค่ะ จริงๆเราก็ไม่ได้ออกแนวอิจฉาแบบ แหมมมม รวยเหรอยะ เอามาโชว์ แต่เป็นแนว โห อิจฉาเพื่อนคนนี้จัง คุณแม่เค้าน่ารั๊ก น่ารัก ซื้อนาฬิกาสวยจัง ราคาก็แพ๊งแพงให้ด้วย ประมาณเดียวกับ โห อิจฉาอั้ม ทำไมสวยจัง หรือ หมิวแฟนหล่อจังอะไรเงี๊ยะจ้ะ

    Quote Originally Posted by poshy View Post
    ไม่เคยอิจฉาเลยค่ะ เพราะเจอมาเยอะแล้ว คนรวยแต่ไม่มีความสุข
    แล้วหาซื้อวัตถุสิ่งของมาชดเชย แต่ในที่สุดเธอเหล่านั้นก็ยังไม่มีความสุขอยู่ดี
    Quote Originally Posted by Oan_Klom View Post
    คนเราจะมี หรือไม่มี มันก็อยู่ที่ใจของเราเอง ว่าพอ หรือไม่พอ................
    ใครจะมีเท่าไหร่ก็มีกันไป รู้แต่ว่าเรามีได้แค่นี้ เท่านี้ ก็พอแล้ว
    ชอบกระทู้นี้คะ เราเองก็เป็นคนนึงที่มีกิเลส เกิดความหลงใหลในรูปของกระเป๋า
    และอิจฉาเล็กๆ สำหรับเพื่อนๆๆ ที่มีกระเป๋ากันมากมาย
    สวยจริงๆๆ อยากได้ก็อยากได้ แต่สุดท้ายได้แต่มอง พอได้มา แต่ละใบกว่าจะได้ก็อยากได้แล้วอยากได้อีก
    จนบางทีหายอยากไปก็มี ซึ่งแต่ละใบที่ซื้อมา (อะไรที่เป้นของเรามันก็เป็นของเราแหล่ะ จะดิ้นรนมากมายไปทำไม)
    ก็จะดูด้วยความชื่นชมกับตัวเองว่าน้ำพักน้ำแรงเราเองนะเนี่ย (อีกส่วนถูกเก็บให้เจ้าตัวน้อยไว้แล้วด้วย อดข้าวเพื่อกระเป๋าเราทำได้ เพื่ออะไรเนี่ย...................)
    (สามีเอาแต่พูด จะเอาใบไหนก็บอกสิ เดี๋ยวซื้อให้ จนซื้อมากี่ใบแล้วก็ไม่เคยออกสักที 555)

    สรุป เพียงจิตเห็นจิต รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ก็เป็นสิ่งที่ดีแล้วคะ (เห็นว่าจิตตัวเองมีตัณหา กิเลส ราคะ.........รู้ว่าเกิดกิเลสความอยากได้แล้ว สามารถดับมันก็ดี ถ้าไม่สามารถจิตก็กระวนกระวายไม่มีที่สิ้นสุด)

    ต้องค่อยๆๆ ฝึกฝนกันไป
    ชอบค่ะ

    Quote Originally Posted by noo_pizza View Post
    ต่ออีกหน่อย

    สำหรับเรา นอกจากประโยชน์ในการเลือกซื้อกระเป๋าแล้ว ก็เอาไว้แบบนี้ค่ะ

    เปิดกระทู้ที่แฟนซื้อให้ ให้คุณแฟนดู แล้วกรี๊ดดดด...
    บอกว่า "ตัวเองดูดิ แฟนน้องคนนี้น่ารักเนอะ ซื้อรุ่นนี้ให้ อยากได้มั่งจัง"
    แล้วเอาหัวไปซุก ๆ ไหล่สักสองจึ๊ก....

    แฟนเราก็จะหันมาดูแล้วถามว่า " เท่าไรอ่ะ...." บอกราคา เค้าก็จะ "อืม ๆ เดี๋ยวรอบหน้าวันเกิด เค้าซื้อให้นะคะ "

    (อันนี้กรณีที่อยู่ภายใต้ราคาที่เราสองคนจ่ายได้ ไม่เดือดร้อนนะคะ)

    มีบ้าง ที่รุ่นที่เราอยากได้ ใบแสนกว่า แต่เราก็ยังไม่ตัดสินใจซื้อ
    เพราะเงินจำนวนเท่านี้ เรามีอย่างอื่นจำเป็นจะต้องใช้มากกว่า
    ก็มองไว้ก่อนค่ะ แล้วทำแบบเดิม แต่คำพูดเราจะเปลี่ยนไปเป็น

    เรา >> "ไว้เราหาเงินได้มากกว่านี้ เค้าขอซื้อสักใบนะที่รัก"

    แฟน >> " เหอ เหอ ขอทำงานมากขึ้นเป็นวันละ 48 ชม.ได้ไหม จะได้ซื้อได้เร็ว ๆ แล้วไว้จะต่อตู้เก็บกระเป๋าให้นะ "

    มองต่างมุมดูบ้าง เราไม่ได้ได้ทุกอย่าง ตามที่เราอยากได้
    แต่เราก็เป็นสุข ในมุมที่เราเป็นค่ะ
    คุณแฟนตอบได้น่ารักมากค่ะ คุณแฟนเราอะเหรอ เธอมีแค่ 2 แขนไม่ใช่เหรอ จะเอาไปทำไมกระเป๋า 4 ใบ

  10. #10
    oum_ja's Avatar
    oum_ja is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    290
    ชอบกระทู้นี้มากค่ะ ขอชมเชยคุณมุกนะค่ะที่กล้าจะตั้งกระทู้นี้มา เราว่าโดนใจใครหลายๆคน

    ขออนุญาตยกข้อความบางตอนของ เดอะท็อป ซีเคร็ต เขียนโดย ทันตแพทย์สม สุจีรา

    ระวังความคิดบวกเทียม

    ความคิดบางอย่างก็ดูเหมือนจะเป็นความคิดบวก แต่แท้จริงลบ เช่นความคิดว่าตนเองฉลาด คนที่คิดเช่นนั้นแสดงว่าเริ่มจะไม่ฉลาดแล้ว คิดว่าตนเองเก่งก็คือไม่เก่ง ส่วนคนที่คิดลบจริงๆเช่น ฉันด้อย ฉันไม่สวย ฉันไม่เก่ง ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ และถ้าความคิดนั้นฝังลึกจนเป็นความรู้สึกด้วยแล้ว ความก้าวหน้าในชีวิตแทบไม่มี

    คนที่คิดบวกเพราะการเปรียบเทียบ แท้จริงแล้วก็คือคนที่คิดลบนั้นเอง เป็นบวกเทียมๆแต่ทุกข์จริง เพราะเขามีความภาคภูมิใจในตนเองต่ำ คนแบบนี้จะมีอารมณ์แปรปรวนมาก ความทุกข์สุขของเขาจะผันแปรไปตามการเปรียบเทียบ และชอบถามคำถามที่ไม่สมควรกับคนอื่น เช่น เธอเงินเดือนเท่าไร บ้านใหญ่แค่ไหน ขับรถรุ่นอะไร คำถามเหล่านี้คนคิดบวกจะไม่ถามกัน เพราะคำตอบไม่ว่าทางใดก็จะสร้างความรู้สึกลบขึ้นในใจ เช่น การถามเพื่อนว่าเธอเงินเดือนเท่าไร ถ้าน้อยกว่าคนถามก็จะลำพองใจ แต่ถ้าเพื่อนตอบว่ามากกว่า คนถามก็จะกลายเป็นเสียใจ ทั้งความรู้สึกเสียใจและลำพองใจเป็นความรู้สึกลบด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการถามคำถามที่จะทำให้คิดลบ

    พระพุทธองค์ก็ทรงเห็นบวกเทียมของความสุขทางโลกทั้งหลาย มีฝ่ายสุขนิยมบางคนกล่าวหาว่าพระพุทธเจ้าทรงมองโลกในแง่ร้าย เห็นแต่ทุกข์และความตาย มีอะไรบนโลกนี้ที่น่ามองกว่านั้นตั้งเยอะ คนกลุ่มนี้จะแสวงหาสิ่งสนองกิเลสตัณหาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งหมดนี้คือบวกเทียม ลองตั้งคำถามตัวเองดูว่า สิ่งต่างๆเหล่านั้นทำให้เรามีความสุขที่จริงแท้ได้หรือ ผู้คนสมัยสุโขทัยกับกรุงเทพมหานคร ใครจะมีความสุขมากกว่ากัน ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ทั้งๆที่สุโขทัยไม่มีไฟฟ้า ไม่มีรถยนต์ เครื่องบิน พิชซ่า น้ำหอม เครื่องเสียง ที่นอนสปริง ฯลฯ

    การคิดบวกเพราะไปเทียบกับลบไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง เพราะนั้นไม่ใช่บวกที่แท้จริง เหนือฟ้ายังมีฟ้า เมื่อใดเราไปเปรียบเทียบกับสิ่งที่ดีกว่าหรือสูงกว่า ความคิดเราจะกลายเป็นลบทันที ยกตัวอย่างเช่น เราเงินเดือนหนึ่งหมื่นบาท ไปถามเพื่อนรวมรุ่นคนหนึ่งได้แปดพัน เราจะรู้สึกบวก แต่พอไปถามเพื่อนอีกคนบอกหมื่นห้า เราก็รู้สึกลบ คนที่กำหนดความคิดบวกแบบนี้จะมีจิตใจไม่มั่นคง เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายหงุดหงิดง่าย และสนใจความรู้สึกสังคมมากเกินไป

    คนที่คิดลบเหมือนคนใส่แว่นสีน้ำตาลจะมองอะไรก็เห็นแต่สีนั้น ส่วนคนที่คิดบวกมากเกินไปก็ไม่เห็นตามความเป็นจริงเช่นกัน เหมือนคนที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก ที่เปรียบเปรียบว่ามองอะไรเป็นสีชมพูไปหมด เห็นแต่ส่วนบวกของคู่รัก การที่จะทำให้เรามองเห็นโลกตามความเป็นจริงต้องไม่มีบวก ไม่มีลบ คือการใส่แว่นสีใส ความคิดลบจะดึงดูดทำให้เรากลายเป็นคนเช่นนั้น เช่นคนที่คิดว่าคนอื่นเห็นแก่ตัว ก็คือคนเห็นแก่ตัวนั้นเอง ดังที่โบราณบอกไว้ว่า ผีย่อมเห็นผีด้วยกัน ส่วนความคิดบวกเพียงอย่างเดียว ก็จะทำให้เรา เห็นผีเป็นเทวดาได้
    การเห็นผีเป็นเทวดาก็คือสภาวะที่เรียกว่าบวกเทียม เพราะเกิดในช่วงที่ขาดสติ หรือมีอวิชา แต่การที่คิดบวกที่แท้จริงต้องเกิดในสภาวะที่มีปัญญาและสติสัมปชัญญะเท่านั้น
    Love is life.
    And if you miss love,
    you miss life.


    ความรักคือชีวิต
    ถ้าคุณพลาดโอกาสที่จะรัก ก็เท่ากับ
    คุณพลาดโอกาสที่จะใช้ชีวิต


    Leo Buscaglia


Page 1 of 2 1 2 LastLast

Posting Permissions

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •