ชอบกระทู้นี้มากค่ะ ขอชมเชยคุณมุกนะค่ะที่กล้าจะตั้งกระทู้นี้มา เราว่าโดนใจใครหลายๆคน
ขออนุญาตยกข้อความบางตอนของ เดอะท็อป ซีเคร็ต เขียนโดย ทันตแพทย์สม สุจีรา
ระวังความคิดบวกเทียม
ความคิดบางอย่างก็ดูเหมือนจะเป็นความคิดบวก แต่แท้จริงลบ เช่นความคิดว่าตนเองฉลาด คนที่คิดเช่นนั้นแสดงว่าเริ่มจะไม่ฉลาดแล้ว คิดว่าตนเองเก่งก็คือไม่เก่ง ส่วนคนที่คิดลบจริงๆเช่น ฉันด้อย ฉันไม่สวย ฉันไม่เก่ง ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ และถ้าความคิดนั้นฝังลึกจนเป็นความรู้สึกด้วยแล้ว ความก้าวหน้าในชีวิตแทบไม่มี
คนที่คิดบวกเพราะการเปรียบเทียบ แท้จริงแล้วก็คือคนที่คิดลบนั้นเอง เป็นบวกเทียมๆแต่ทุกข์จริง เพราะเขามีความภาคภูมิใจในตนเองต่ำ คนแบบนี้จะมีอารมณ์แปรปรวนมาก ความทุกข์สุขของเขาจะผันแปรไปตามการเปรียบเทียบ และชอบถามคำถามที่ไม่สมควรกับคนอื่น เช่น เธอเงินเดือนเท่าไร บ้านใหญ่แค่ไหน ขับรถรุ่นอะไร คำถามเหล่านี้คนคิดบวกจะไม่ถามกัน เพราะคำตอบไม่ว่าทางใดก็จะสร้างความรู้สึกลบขึ้นในใจ เช่น การถามเพื่อนว่าเธอเงินเดือนเท่าไร ถ้าน้อยกว่าคนถามก็จะลำพองใจ แต่ถ้าเพื่อนตอบว่ามากกว่า คนถามก็จะกลายเป็นเสียใจ ทั้งความรู้สึกเสียใจและลำพองใจเป็นความรู้สึกลบด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการถามคำถามที่จะทำให้คิดลบ
พระพุทธองค์ก็ทรงเห็นบวกเทียมของความสุขทางโลกทั้งหลาย มีฝ่ายสุขนิยมบางคนกล่าวหาว่าพระพุทธเจ้าทรงมองโลกในแง่ร้าย เห็นแต่ทุกข์และความตาย มีอะไรบนโลกนี้ที่น่ามองกว่านั้นตั้งเยอะ คนกลุ่มนี้จะแสวงหาสิ่งสนองกิเลสตัณหาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งหมดนี้คือบวกเทียม ลองตั้งคำถามตัวเองดูว่า สิ่งต่างๆเหล่านั้นทำให้เรามีความสุขที่จริงแท้ได้หรือ ผู้คนสมัยสุโขทัยกับกรุงเทพมหานคร ใครจะมีความสุขมากกว่ากัน ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ทั้งๆที่สุโขทัยไม่มีไฟฟ้า ไม่มีรถยนต์ เครื่องบิน พิชซ่า น้ำหอม เครื่องเสียง ที่นอนสปริง ฯลฯ
การคิดบวกเพราะไปเทียบกับลบไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง เพราะนั้นไม่ใช่บวกที่แท้จริง เหนือฟ้ายังมีฟ้า เมื่อใดเราไปเปรียบเทียบกับสิ่งที่ดีกว่าหรือสูงกว่า ความคิดเราจะกลายเป็นลบทันที ยกตัวอย่างเช่น เราเงินเดือนหนึ่งหมื่นบาท ไปถามเพื่อนรวมรุ่นคนหนึ่งได้แปดพัน เราจะรู้สึกบวก แต่พอไปถามเพื่อนอีกคนบอกหมื่นห้า เราก็รู้สึกลบ คนที่กำหนดความคิดบวกแบบนี้จะมีจิตใจไม่มั่นคง เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายหงุดหงิดง่าย และสนใจความรู้สึกสังคมมากเกินไป
คนที่คิดลบเหมือนคนใส่แว่นสีน้ำตาลจะมองอะไรก็เห็นแต่สีนั้น ส่วนคนที่คิดบวกมากเกินไปก็ไม่เห็นตามความเป็นจริงเช่นกัน เหมือนคนที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก ที่เปรียบเปรียบว่ามองอะไรเป็นสีชมพูไปหมด เห็นแต่ส่วนบวกของคู่รัก การที่จะทำให้เรามองเห็นโลกตามความเป็นจริงต้องไม่มีบวก ไม่มีลบ คือการใส่แว่นสีใส ความคิดลบจะดึงดูดทำให้เรากลายเป็นคนเช่นนั้น เช่นคนที่คิดว่าคนอื่นเห็นแก่ตัว ก็คือคนเห็นแก่ตัวนั้นเอง ดังที่โบราณบอกไว้ว่า ผีย่อมเห็นผีด้วยกัน ส่วนความคิดบวกเพียงอย่างเดียว ก็จะทำให้เรา เห็นผีเป็นเทวดาได้
การเห็นผีเป็นเทวดาก็คือสภาวะที่เรียกว่าบวกเทียม เพราะเกิดในช่วงที่ขาดสติ หรือมีอวิชา แต่การที่คิดบวกที่แท้จริงต้องเกิดในสภาวะที่มีปัญญาและสติสัมปชัญญะเท่านั้น