Previous
Next
Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
Page 1 of 3 1 2 3 LastLast
Results 1 to 10 of 23

Thread: คนมีลูก..คนกำลังจะมีลูก..และคนที่ยังไม่มี..สำคัญมากลองอ่านดู

  1. #1
    rowling's Avatar
    rowling is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    0

    คนมีลูก..คนกำลังจะมีลูก..และคนที่ยังไม่มี..สำคัญมากลองอ่านดู

    เห็นว่าดีมีประโยชน์เลยเก็บมาฝากค่ะ

    อุทาหรณ์จากการยัดเยียดการเรียนเกินไปทำให้เด็กสติขาด เรื่องจริงที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต
    ก่อนอื่นจะเล่าเรื่องให้ฟังค่ะ...เพิ่งได้รับทราบมาเหมือนกันจากปากของเพื่อน ทั้งน้ำตา...และคิดว่ามี
    ประโยชน์ไม่มากก็น้อย...เพื่อนคนนี้ไม่ได้ติดต่อมานานประมาณ เกือบ ๆ 4 ปีเห็นจะได้...
    คือไม่สนิทเท่าไร แต่พูดคุยกันได้ และตอนนี้เพื่อนมีลูกแล้วค่ะ...แต่มีเพื่อนน้อย
    เพื่อนแต่งงานกับวิศกร (สามี) ที่เก่งมากค่ะ และตัวเพื่อนเองก็จบมหาลัยเอกชน ก็เกียรตินิยมอันดับ 2

    ด้านภาษาต่างประเทศค่ะ คือเหมาะสมถึงไม่รวยมาก แต่ก็เกินปานกลางนะคะ พอแต่งงานก็ไม่ได้ติดต่อ
    ใคร
    แต่ทราบว่ามีลูก ณ.ปัจจุบันก็ 7 ขวบกว่าแล้วค่ะ ได้โทรไปหาเพื่อน เพราะตอนนี้เรามีลูก 4 ขวบกว่า
    ค่ะ
    ก็หาข้อมูลเรื่องการเรียนในนี้เป็นหลัก และอาศัยถามคนอื่นด้วยและไม่อายที่จะถามด้วย เพราะคิดว่ายิ่ง
    รู้มาก
    ก็ยิ่งดี จึงได้โทรไปหาเพื่อนค่ะ และถามเรื่องลูก สิ่งที่ได้รับ คือ การปล่อยโฮอย่างแรง
    ร้องไห้จะเป็นจะตายเดี๋ยวนั้น เราก็ตกใจ เฮ้ยแกเป็นไร....

    มันบอกว่ามันอึดอัด มันจะบ้าอยู่แล้วปรึกษาใครก็ไม่ได้ ทุกวันนี้มันถูกตราหน้าว่าเป็นคนผิด...
    'ผิดอย่างร้ายกาจ’ จากครอบครัวสามี และแม่ตัวเอง มันปรึกษาใครก็ไม่ได้
    เพราะพื้นฐานคือ...ทั้งสามีและเพื่อนเป็นคนเสียเงินเท่าไรเท่ากัน
    แต่อาย หรือไม่สมบูรณ์ไม่ได้ ดังนั้นมันจึงไม่ปรึกษาใครเลย เพราะมันอายและไม่อยากให้ใครดูถูกมัน
    เรื่องคือ...
    ลูกชายเข้าเรียนตอน 3 ขวบ กว่านิด ๆ ได้เข้าเรียนในระดับโรงเรียนดังเลย ค่าเทอมเป็นแสน
    คอมพร้อม เพื่อนดี สังคมดูดี เพอร์เฟ็กและโรงเรียนเป็นที่หมายตามากค่ะ
    ที่นี้โรงเรียนดัง พ่อแม่ต่างก็ผลักและดันกันสุดฤทธิ์ (มันบอกอย่างนี้ค่ะ)
    เงินพร้อมซะอย่าง ก็คุยกัน ต้องติวอย่างนั้น ต้องครูคนนี้ ฝรั่งคนนี้ ต้องเรียนนี้เสริม เจ๋งค่ะ
    เพื่อนก็เป็นเช่นนั้น
    ที่นี้... ลูกเรียนวันจันทร์– ศุกร์ ยัน 6 โมงเย็นและเป็นอย่างงี้ มาตั้งแต่ อนุบาล 1 ถึง 3...
    เข้านอน ไม่เกิน 3 ทุ่ม เพราะต้องตื่นเช้าไปส่ง ตื่นตอน... ตี 5 ครึ่ง
    เพราะเพื่อนมีบ้านในหมู่บ้านใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่นอกเขตและห่างจากโรงเรียนค่อนข้างมาก
    ออกจากบ้านไม่เกิน 6 โมงเช้าเท่านั้น และไปถึงโรงเรียนประมาณเกือบ 7 โมง
    วันเสาร์...เรียนพิเศษเสริม เริ่ม 8 โมงเช้า ถึง บ่ายโมง
    และ ตอนบ่าย 3 เรียนว่ายน้ำ จึงได้กลับบ้าน
    ส่วนวันอาทิตย์...ครึ่งวันเช้า เรียนที่สถาบันคุมองต์เสริม ครึ่งวันหลังผักผ่อน...
    ตอน 1 ทุ่มวันอาทิตย์ ต้องทบทวนงานและเตรียมความพร้อม
    เพื่อไปเรียนวันจันทร์ ไม่เกิน 3 ทุ่มเข้านอน
    และเหตุการณ์ที่มันเล่าแบบสะเทือนใจตอนหลังคือ....ลูกไม่มีเพื่อนในหมูบ้านเลยสักคนเดียว...
    เพราะ ไม่ได้คุยกับใครอยู่แล้ว (สังคมเมืองของแท้) ปั่นแต่จักรยานของเค้าเท่านั้น
    วันนั้น...วันอาทิตย์ลูกก็ปั่นจักยานไม่ยอมเข้าบ้านแม่ก็เรียกให้มาอาบน้ำได้แล้ว 6 โมงเย็นแล้ว
    เตรียมกินข้าว และทบทวนการบ้าน. ลูกก็ไม่ฟัง เพื่อนและสามีโมโห
    บอกว่า 'เข้าบ้านเดียวนี้ เข้าบ้านเลย ทำไมดื้ออย่างนี้ ยิ่งโตยิ่งดื้อ'
    (เพื่อนว่าลูก) จะไม่ให้ขี่จักรยานอีกต่อไป ตัวสามีก็ไปดึงจักรยานออกจากลูก และแม่มาจับลูกเข้า
    บ้าน
    สามีบอกว่า...ป๋าจะโยนจักรยานทิ้งซะ ถ้าทำอย่างนี้อีก
    ลูกชายเข้าไปกอดขาพ่อ... และยกมือไหว้ “ป๋าอย่าทำ หนูไม่มีเพื่อนที่ไหน
    จักรยานคือเพื่อนของหนู หนูมีจักรยาน เป็นเพื่อนเท่านั้น...ป๋าอย่าทำนะ” ทั้งเพื่อนและสามีก็ไม่ใส่ใจ
    อะไร เพียงต้องการให้เข้าไปอ่านหนังสือเท่านั้น
    และ...อีกเหตุการณ์หนึ่งกว่าจะจับใจความได้ มันร้องไห้ไม่หยุด เพื่อนร้องไห้เหมือนจุดพลุเลย...
    ลูกกลับจากโรงเรียน คุยกับพ่อและแม่ อยากดูอุลตร้าแมน มดเอ๊กช์ บ้างเพื่อน ๆ คุยกัน
    ที่โรงเรียน...
    เค้าไม่รู้เรื่องเลย เพื่อนยังบอกว่าที่บ้านไม่มีทีวีหรือไง (เด็กอนุบาลนะค่ะ)
    ทำให้เค้าไม่ มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน ๆ... เค้าได้ดูแต่การ์ตูนเสริมความรู้
    เช่น ถ้าดู UBC ก็ประมาณ ดอร่า หมาบลู ประมาณนี้...สามีและเพื่อนบอกว่า
    “ลูกอย่าทำตัวไร้สาระได้หรือเปล่า ตอนนี้เพื่อน ๆ ลูกอยากทำอะไรก็ปล่อยเค้าไป
    การ์ตูนมีแต่ความรุนแรง ไม่เสริมความรู้อะไรเลย
    เราได้เปรียบ...เราใช้เวลาทบทวนและเรียน...ในขณะที่คนอื่นเค้าไร้สาระ...
    ลูกลองคิดดู...โตขึ้น ลูกก็จะเป็นนายของคนพวกนี้ และคน
    พวกนี้จะไม่เหนือลูกเด็ดขาด” การสอนจะประมาณนี้ตลอด...
    แต่เพื่อนบอกว่า เค้าและสามีทำดีที่สุดและให้ในสิ่งที่ดีที่สุดที่คนทั่วไป บางทีก็ให้ไม่ได้ด้วยซ้ำไป...

    ที่นี้หนักสุด... ต้องติวเข้า ป. 1 ที่นี้เวลาเล่นแทบน้อยมาก...แต่ก็ได้ ติดที่ ป. 1 ตามที่หวังไว้
    แต่ก็ต้องเรียนเสริมเหมือนเดิม...ฯลฯ จนถึงวันที่ลูกทนไม่ได้...จนลูกโกรธจนตัวสั่น... และพูดว่า
    เค้าจะไม่เป็นคนดี... เค้าเบื่อที่สุดแล้ว...เค้าอยากเล่นฟุตบอล...เค้าอยากวิ่งเล่น...
    อยากดูการ์ตูน...อยากอ่านขายหัวเราะให้พ่อแม่อนุญาตอ่านให้ฟัง...
    เค้าเกลียดพ่อและแม่...ทำไมต้องบังคับ... ทำไมต้องอาย...ทำไมเค้าจะเป็นคนชั่ว...
    (เพื่อนมันบอกว่าลูกพูดจนลิ้นพันกัน ตัวสั่นไปหมด จับลำดับคำพูดยาก (ป1)
    อะไรก็พูดๆๆๆๆ ออกมา ร้องไห้หน้าแดง กำหมัด ขว้างข้าวของ เสียงดัง ในระหว่างนั้นสามีและเพื่อน
    ก็ใช้เสียงดังเพื่อหยุดพฤติกรรม แต่ไม่เป็นผล ยิ่งดัง ก็ยิ่งดังใส่ จนเด็กเป็นลม คงสะสมมานาน

    พอผ่านไปสักระยะ...จนทางโรงเรียนมีจดหมายมาถึงเพื่อเชิญผู้ปกครองไปพบ
    พอไปถึงโรงเรียน ทางครูบอกว่า...ตอนนี้น้อง มีอาการเหม่อลอย...ไม่มองกระดาน...
    และไม่มีปฎิสัมพันธ์กับเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียว...ให้ทำอะไรทำได้หมดแต่ทำไปอย่างให้จบไป
    ไม่มีอารมณ์ร่วมแม้แต่น้อย บางครั้งก็มีน้ำตาเอ่อ...แต่ไม่ไหลออกมาเป็นระยะ
    และพูดน้อยลงใช้สายตาและท่าทางคิดมากขึ้น....ฯลฯ
    เพื่อนและสามีไม่ยอมรับและไม่เชื่อ ก็สักพักใหญ่ๆ จึงไปพบหมอที่สมิติเวช หมอแจ้งว่า...น้องกระทบ
    กระเทือนทางจิตใจอย่างแรง บวกกับเก็บกดภายในสิ่งที่ฝืนความรู้สึกมานาน...
    จนระเบิดออกมาเหมือนคนเสียสติ เค้าไม่ได้บ้า...หรือพิการทางสมอง...แต่เค้าปิดกั้นทุกสิ่งทุก
    อย่างเอง... ไม่รับเอง...ไม่เอาเอง...ซึ่งตรงนี้น่าวิตกคือแล้วเมื่อไรเค้าจะรับ และเปิดใจกลับมา
    เหมือนเดิม สมาธิและจิตใจได้ถูกตัดด้วยตัวเค้าเอง...เค้าอยากอยู่แต่ในโลกจินตนาการที่เค้าคิดว่านั้น
    คือความสุข
    ของเค้า...ไม่อยากออกมาเลยด้วยซ้ำ... คงต้องใช้เวลามากเพราะถ้าเรารู้ว่าเค้าสมาธิสั้น...
    เรามีทางแก้ ถ้าเค้าเป็นดาวน์...เรารู้วิธี แต่เค้าเลือกเองที่จะปิดตัวเองอย่างเด็ดขาด...
    ถ้าปล่อยไว้จะกลายเป็นคนวิกลจริตทางความคิดในอนาคต ทุกวันนี้ผลคือ...สามีก็ยอมรับในระดับหนึ่ง
    แต่ก็เริ่มโทษภรรยา มากกว่าโทษตัวเอง ตอนนี้มันรับกรรมเต็ม ๆ
    ลูกไม่สามารถเรียนได้แล้วคะ...ต้องพบจิตแพทย์เด็กโดยตรง ถึงตรงนี้มันบอก
    ว่ามันเรียกลูกกลับมาไม่ได้แล้วจริง ๆ มันเศร้ามากค่ะ มันก็กำชับไม่ให้ดิฉันบอกใครเพราะมันอาย...

    แต่เรื่องนี้มีความรู้มากไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่าอาย...เมื่อทุกท่านได้อ่านเรื่องนี้จบแล้ว อย่าเก็บเรื่องนี้เอา
    ไว้คนเดียว
    ไปบอกกับใครก็ได้หรือญาติพี่น้องของเราก็ได้เผื่อว่าเหตุการณ์ที่เล่ามานี้จะได้ไม่เกิดกับบุคคลที่ท่าน
    รัก...เป็นรายต่อไป ..........

  2. #2
    coral's Avatar
    coral is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    0

    Unhappy

    พูดไม่ออก บอกไม่ถูก
    แต่รู้สึกสงสารเด็กมาก ๆ ค่ะ

  3. #3
    ting_ja's Avatar
    ting_ja is offline Senior Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    1,347

    Wink

    เป็นอุทาหรณ์ค่ะ เราอย่าคาดหวังกะเค้ามาก แต่เราต้องเอาใจใส่ให้ดีก็พอค่ะ

    ขอแค่ลูกเราเป็นคนดี ของสังคม รับผิดชอบตัวเองได้ดี เป็นเด็กดีของพ่อแม่ เราก็ดีใจแล้ว

  4. #4
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    190

    Angry

    จะแข่งกันไปถึงไหนไม่รู้ น่าสงสารเด็กมากๆไม่เข้าใจ เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้กันเยอะเลย
    8-O มามะ 21464CBA

  5. #5
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    28
    สงสารเด็กจังเลย

    เด็กมีชีวิตจิตใจ และเปราะบางมากกว่าผู้ใหญ่หลายเท่านัก

    สงสารน้องเค้าจัง อยากให้พ่อแม่เค้ายอมรับรู้บ้างว่าเป็นความผิดของเค้าเอง "ทั้งคู่" ไม่ใช่โทษกันไปมาอีก

    แล้วอย่างงี้เมื่อไหร่น้องเค้าจะหายเนี่ย

    แต่เคสที่เราเคยได้ยิน ถ้าการเยียวยาทางใจจากคนรอบข้างดีพอ แล้วเป็นไปเพื่อเด้าจริงๆด้วยใจจริง เค้าหายได้นะคะ เคสที่เราเคยได้ยิน เนี่ยเงียบแบบเหมือนเป็นใบ้เป็นปีเลยก็มี ส่วนบางคน พัฒนาการก็หยุดชะงักไปเลย แล้วก็รับรู้อะไรเพิ่มเติมไม่ได้ กลายเป็นแค่ หิวก็ร้อง ง่วงก็นอน ทำได้แค่นั้น
    คนไข้ทางจิตหลายรายที่เป็นเพราะเจอภาวะช็อคมากๆ เป็นอาการอย่างนี้ไปทั้งชีวิตเลยก็มี

    แต่เราเชื่อจริงๆค่ะ ว่าถ้าพ่อแม่เค้ารักลูกจริงๆ แล้วยอมรับความผิดตัวเองแล้วแก้ไข เลี้ยงลูกใหม่ด้วยความรัก "ไม่ใช่"เพื่อหน้าตาในสังคมและความสำเร็จของตนเอง ถ้าทำได้เช่นนั้นน้องเค้าน่าจะมีโอกาสกลับมาได้ในเร็ววันค่ะ

  6. #6
    rowling's Avatar
    rowling is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    0
    กลับมาคิดถึงตัวเอง เวลาดุลูกมากๆ แล้วรู้สึกเสียใจเหมือนกัน ทีหลังเราจะไม่ดุลูกมากๆอีกแล้วหละ (เราเป็นคุณแม่ที่ดุมากๆ ลูกเราบอกอ่ะ)

  7. #7
    rowling's Avatar
    rowling is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    0
    เราคิดว่านะ ..
    อย่างเคสนี้ พ่อกับแม่ต้องหันหน้าเข้าหากัน แล้วปรึกษากัน ร่วมมือกัน น่าจะช่วยได้
    แต่ถ้าพ่อแม่ยัง โยนบาปให้แก่กัน ยากมาก ลำพังคนเดียว คงลำบาก ค่ะ
    สิ่งที่เด็กต้องการมากที่สุดในตอนนี้น่าจะความเข้าใจ และ เวลาที่ พ่อกับแม่มีให้กับเค้า
    และความอบอุ่น
    เด็ก 1-6 ขวบ ถ้าไม่จำเป็นอย่าไปอัดวิชาการให้เค้ามาก จะเป็นการทำลายสมอง จริงๆนะคะ
    คุณครูท่านนึง อยู่โรงเรียนมีนประสาท แถวๆ มีนบุรี เค้าจบจิตวิทยาเด็กมาแล้วบอกดิฉันว่า
    เด็ก 1-6 ขวบ ต้องให้เล่น เล่นมากๆ เล่นเป็นหลัก เรียนเป็นรองค่ะ
    แล้วพอถึงเวลา สมองเค้าจะเรียนรู้เต็มที่ และเหมาะสมด้วย

    เราโชคดีมากที่ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ เลยไม่เคยให้เรียนพิเศษเลย
    แต่ให้ลูกเล่นกีฬามากกว่าค่ะ

    อยากให้เด็กทุกคน เติบโตมาอย่างมีความสุข และพร้อมที่จะเป็นคนดีในสังคม
    เพื่อประเทศชาติค่ะ ถ้าคนพัฒนา ประเทศชาติก็จะพัฒนาไปด้วย (แต่อย่าลืม สอนคุณธรรมนะคะสอนแค่ ศีล 5 ก็พอค่ะ)

  8. #8
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    10

    Talking

    สงสารเด็กจังเลยค่ะ เริ่มต้นดีทุกอย่าง คิดว่าน่าจะเป็นเด็กที่มีความสุขแท้ๆ
    แล้วได้พาเด็กไปพบนักจิตเวชเด็กรึยังคะ นิวว่าถ้าพาไปพบสม่ำเสมอน่าจะหายได้นะคะ
    เพราะว่าน้องเค้าก็ยังเล็กอยู่ แต่คุณพ่อ กับคุณแม่ต้องมีกำลังใจที่เข้มแข็งด้วยค่ะ
    ไม่ใช่ว่าจะมามัวอาย ไม่กล้าให้คนอื่นรู้ เดี๋ยวมันจะยิ่งไปกันใหญ่
    นอกจากเด็กจะมีปัญหาแล้ว ผู้ใหญ่ยังต้องมาทะเลาะกันอีก เสียสุขภาพจิตกันไปหมด

    ส่วนตัวนิว ลูกชายอายุ2ขวบกว่าแล้ว เดือนหน้าจะให้เข้าเรียนเตรียมอนุบาล
    แต่นิวก็พูดกับสามีไว้ตั้งแต่ลูกยังอยู่ในท้องเลย ว่า จะไม่ให้ลูกเริยนพิเศษ
    ไม่ว่าจะโตแค่ไหนก็ตาม จะไม่บังคับ ถึงเค้าจะเรียนไม่เก่ง จะสอบตก
    ถ้าเค้าไม่ได้เป็นคนขอว่าอยากจะเรียนพิเศษเอง จะไม่ส่งลูกเรียนพิเศษ

    เพราะนิวคิดว่า เด็กจะเก่ง จะฉลาด ไม่จำเป็นต้องเรียนดีและไม่ต้องเรียนพิเศษก็ได้
    มันอยู่ที่ว่าเค้าสนใจในเวลาเรียนแค่ไหน ถ้าเค้าไม่ชอบ ไม่สนใจ บังคับไปก็เปล่าประโยชน์ และถึงลูกนิวจะเรียนไม่เก่ง แต่เค้าก้ต้องมีอะไรดีซักอย่างล่ะน่า

    เพราะมีเคสตัวอย่างที่ใกล้ตัวมากๆ คือน้องชาย ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของนิวเองอ่อนกว่านิว1ปี บ้านอยู่ใกล้กัน
    นิวต้องตื่นตี่4ครึ่ง ตั้งแต่อนุบาล เพื่อไปโรงเรียนที่สามเสน แต่บ้านอยู่นนท์
    ส่วนน้องชาย พ่อ แม่เค้าให้เรียนโรงเรียนวัด ที่ไม่มีชื่อเสียง แต่ใกล้บ้าน เค้าตื่น7โมงก็ไปทัน
    กลับมาบ้านนิวต้องทำการบ้านอีก แต่น้องชายไม่เคยต้องทำ ไม่ว่าจะเรียนชั้นไหน ก็ไม่เคยเห้นทำการบ้าน
    นิวเคยถาม ว่าไม่ทำการบ้านเหรอ เค้าบอกว่าเสร็จตั้งแต่อยู่โรงเรียนแล้ว เวลานิวนั่งทำการบ้าน
    น้องเค้าก็จะมีเวลา ไปเล่นกับเพื่อนแถวบ้าน แต่นิวไม่มี
    เสาร์-อาทิตย์ น้อต้องเรียนพิเศษ วิชาต่างๆ แต่น้องชาย ไม่เคย มีเวลาเล่นเกมส์ หรือกิจกรรมที่เค้าอยากทำ
    ก่อนสอบ นิวต้องอ่านหนังสือ แต่น้องไม่เคยอ่าน ถามว่าทำไมไม่อ่านหนังสือสอบ
    น้องบอก นั่งเรียนในห้องก้รู้เรื่องแล้ว จำได้หมดแล้ว ทำไมต้องอ่าน
    สรุปน้องชายเอนท์ ติด วิศวเกษตร นิวไม่ต้องเอนท์ เพราะรู้ตัวว่าไม่ติดชัวร์
    น้องชายเรียนได้เกรดเฉลี่ย3.5 ขึ้นตลอด อย่างเลวที่สุดก้3.2 ส่วนนิว ไม่เคยเกิน2.5เลย
    ไม่ต้องซ้ำชั้นก้บุญแล้ว ตอนม.3 ตกอังกฤษเสริม กับเลขเสริมด้วย555
    [SIGPIC][/SIGPIC]

    จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด
    จะรักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง
    จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง
    จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา

  9. #9
    due's Avatar
    due is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    64
    พี่อยู่แม่กลอง ที่นี่มีบางครอบครัวส่งลูกไปอยู่รร.ประจำต้ังแต่ป.4
    เพราะได้เข้ารร.ราชินี สงสารเด็กจัง ถ้าเป็นเรา เราคงอยากอยู่
    กับพ่อแม่ และคิดถึงบ้านมาก
    เรารักอะไรก็จะทุกข์เพราะสิ่งนั้น
    เพราะว่าสิ่งทั้งหลายล้วนแปรปรวนทั้งสิ้น
    ไม่มีอะไรคงที่อยู่ได้ตลอดเวลา

  10. #10
    Join Date
    Apr 2010
    Posts
    156
    ส่งสารจังค่ะ มีลูกเล็กเหมือนกัน
    ความทรงจำ คอยย้ำเตือน
    ..

Page 1 of 3 1 2 3 LastLast

Posting Permissions

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •