Previous
Next
Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
Results 1 to 6 of 6

Thread: กลูต้าไทโอน อันตรายจริงหรือ ?? (อยากให้เข้ามาอ่านกันคะ บทความดีๆ ไม่อ่านแล้วจะเสียใจ+เสียดายไม่รู้ด้วยน๊า)

Hybrid View

  1. #1
    s's Avatar
    s is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Location
    มีหัวใจ
    Posts
    3,120
    Blog Entries
    4
    เกล็ดความรู้ กลูต้าไทโอน นะ

    Glutathione (กลูตาไทโอน) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ตัวหนึ่งที่ร่างกายสังเคราะห์ได้เอง เกิดจากการจับตัวกันในรูปแบบ Tri-peptides ของกรดอะมิโน 3 ชนิด ได้แก่ Cysteine,Glycine และ Glutamic acid โดยมีหน้าที่หลักๆ สำคัญดังต่อไปนี้
    หน้าที่หลัก มีอยู่ 3 ประการ1 คือ
    1. การขจัดสารพิษ (Detoxification): กลูตาไทโอนช่วยสร้างเอนไซม์ชนิดต่าง ๆ ในร่างกาย
    โดยเฉพาะ Glutathione-S-transferase ที่ช่วยในการกำจัดพิษออกจากร่างกายโดยไปเปลี่ยนสารพิษชนิดไม่ละลายในน้ำ (ละลายในน้ำมัน) เช่น พวกโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง แม้แต่ยาบางชนิด ให้เป็นสารที่ละลายน้ำได้ดีขึ้นและง่ายต่อการกำจัดออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันตับจากการถูกทำลายโดยแอลกอฮอล์ (สุรา) สารพิษจากบุหรี่ ยาพาราเซตามอลเกินขนาด (Overdose) ฯลฯ
    2. ต้านปฏิกิริยาออกซิเดชัน (Antioxidant): กลูตาไทโอนมีคุณสมบัติเป็นสารต้านปฏิกิริยา
    ออกซิเดชัน (Antioxidant) ที่มีความสำคัญตัวหนึ่งในร่างกาย และหากขาดไป วิตามินซีและอี อาจจะทำงานได้ไม่เต็มที่
    3. กระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย (Immune Enhancer): ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์หลายชนิดเพื่อให้ร่างกายต่อต้านสิ่งแปลกปลอม รวมถึงเชื้​อแบคทีเรียและไวรัส นอกจากนี้ กลูตาไทโอนยังช่วยสร้างและซ่อมแซม DNA สร้างโปรตีนและ prostaglandin


    นอกจากนี้ยังทำให้สีผิวขาวขึ้นได้ โดยอาศัยกลไกการทำงานที่มีคุณสมบัติในการไปยับยั้งการทำงานของ Tyrosinase ทำให้ Tyrosine ไม่สามารถเปลี่ยนไปเป็น Dopaquinone เป็นสารต้นแบบของ Dopachrome, Eumelanin (ซึ่งกลุ่มนี้เป็นสารที่ทำสีผิวคล้ำ) แต่ไปเพิ่มการสร้างเม็ดสีชนิดสีอ่อน ซึ่งเรียกว่า Phaeomelanin ในปริมาณมากขึ้น แทนการสร้างเม็ดสีชนิดสีเข้ม ที่เรียกว่า Eumelanin แต่ถือเป็นผลทางอ้อม เป็นการนำผลข้างเคียงมาใช้ ไม่ใช่วัตถุประสงค์ของกลูตาไทโอนโดยตรง และยังไม่พบว่ามีหลักฐานทางการแพทย์ที่ยืนยันชัดเจน ขณะที่สารดังกล่าวก็มีอยู่ในธรรมชาติจากการบริโภคอาหารอยู่แล้ว โดยเฉพาะในเนื้อสัตว์ ผลไม้ เช่น อโวคาโด หากรับประทานอาหารในแต่ละวันอย่างหลากหลายครบทั้ง 5 หมู่ก็เพียงพออยู่แล้ว


    นศภ.ดิษยา วัฒนาไพศาล/รศ.ดร.วันทนา เหรียญมงคล ชนิดและขนาดรับประทาน:
    ปัจจุบันกลูตาไทโอนมีวางจำหน่ายในหลายรูปแบบ เช่น ชนิดเม็ดหรือแคปซูล ชนิดพ่น ชนิดฉีดเข้าเส้นและฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ป่วยโรคต่างๆ ที่ตรวจพบว่ามีการขาดสารนี้ควรใช้ตามแพทย์แนะนำ ในแง่ของการป้องกัน หรือเพื่อต้านปฏิกิริยาออกซิเดชัน ขนาดที่รับประทานคือ 500-1000 มก.ต่อวัน1 สำหรับการใช้เป็น skin whitener ควรใช้ขนาด 20-40 มก./กิโลกรัม/วัน โดยแบ่งให้วันละ 2-3 ครั้ง


    ส่วนที่ผลิตออกมาในรูปของอาหารเสริม หรือกลุ่มยาฉีด ที่ช่วยปรับสีผิวให้ขาวทั้งตัว ที่มีการนำออกมาจำหน่ายในท้องตลาด ก็จะเป็น Glutathione , Vit C และสารสกัดจากเปลือกสนฝรั่งเศส โดยมีรายละเอียดดังนี้


    1.ในรูปของอาหารเสริม Glutathione มักจะไม่มีวางจำหน่ายเดี่ยวๆ มักจะผสมในรูปของอาหารเสริมที่ประกอบด้วยวิตามินซี และสารสกัดจากเปลือกสน เพื่อสะดวกในการรับประทาน โดยพบว่าขนาดยาที่แนะนำให้รับประทานที่เหมาะสม และทำให้สีผิวขาวทั้งตัวได้ คือ ปริมาณGlutathione 500 มก.ต่อวัน + Vit. C 3,000 มก.ต่อวัน โดยมีรายงานวิจัย พบว่า glutathione ควรแบ่งกินขนาด 250 mg เช้า - เย็น หลังอาหาร โดยจะให้ผลในเรื่องการดูดซึมที่ดี และถ้าจะให้ได้ผลดีในการกระตุ้นระดับ Glutathione ในร่างกายให้สูงขึ้น ควรจะทานควบคู่กับวิตามินซี โดยการแบ่งเวลารับประทานให้สะดวกและใกล้เคียงกัน (ส่วนการกิน vit E ร่วมด้วยก็จะไปช่วยให้ vit c ทำงานดีขึ้น) พบว่าหลังรับประทานจะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลงภายใน 3-4 เดือน แต่ควรจะรับประทานต่อเนื่อง เพราะผลที่ได้ไม่ถาวร เนื่องจากปัจจัยการเปลี่ยนสีผิว ยังเกี่ยวข้องกับปัจจัยอื่นๆ ทั้งภายในร่างกายเอง หรือภายนอกร่างกาย เช่น แสงแดด เป็นต้น ซึ่งยังไม่พบรายงานผลข้างเคียงหรือปฏิกิริยาระหว่างยาของกลูตาไทโอนชนิดรับ ประทาน


    2. ในรูปของยาฉีด ซึ่งปัจจุบันมีการนำ Glutathione 600 มก. (4 ซีซี) มาผสมกับวิตามินซี 2 ซีซี นำมาฉีดเข้าเส้นเลือดและเข้ากล้าม พบว่าจะทำให้ได้ผลในเรื่องสีผิวได้เร็วขึ้น ภายใน 1-2 เดือน โดยนำมาฉีดทุกอาทิตย์ การฉีดทั้งสองวิธี จะได้ผลพอๆ กัน แต่นิยมฉีดเข้าเส้นเลือดมากกว่า เพราะไม่ค่อยเจ็บมากนัก แต่ในรายที่เส้นเลือดเปราะบาง หรือหาเส้นเลือดยาก อาจจะใช้วิธีฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (สะโพก) แทน ซึ่งจะเจ็บมากกว่า


    อย่างไรก็ตามในประเทศไทย สารกลูตาไทโอนที่ผ่านการรับรองจาก อย.นั้น เป็นเพียงการอนุญาตให้ใช้ในรูปแบบกรดอะมิโน ที่ใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อใช้กินร่วมกับวิตามินเป็นอาหารเสริมบำรุงร่างกายเท่านั้น5 แต่ไม่มีการขึ้นทะเบียนตำรับยา ไม่อนุญาตให้เป็นยาเดี่ยวหรือยาฉีดเข้าร่างกายและไม่มีการนำเข้ามาในประเทศ ไทย โดยบริษัท โรช (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตยาดังกล่าวได้แจ้งให้ อย.ทราบว่าไม่มีการนำเข้ามาในประเทศเช่นกัน ยาที่มีจำหน่ายอยู่อาจเป็นยาปลอม6นอกจากนี้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ยังไม่รับรองผลความปลอดภัยในการใช้สารกลูตาไทโอนฉีดเข้าเส้นเลือดดำและไม่ เคยมีผลรับ​รองจากสถาบันที่เชื่อถือได้ในต่างประเทศ ดังนั้น จึงไม่ทราบปริมาณที่เหมาะสมในการฉีดเข้าร่างกาย จะสะสมเกิดพิษหรือเกิดผลข้างเคียงทำอันตรายให้ร่างกายในอนาคตอย่างไร แม้ว่าในประเทศอิตาลีจะมีการขึ้นทะเบียนและได้รับอนุญาตถูกต้องแต่เป็นใช้ สารดังกล่า​วในการรักษาโรคมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งกระเพาะ อาหารเท่านั้น ส่วนการทำให้ผิวขาวขึ้นนั้นถือเป็นเพียงผลข้างเคียง


    ซึ่งกลูตาไทโอนที่ใช้ในการรักษาโรคนั้น มีอยู่ด้วยกัน 3 รูปแบบ คือ แบบสูดพ่น ฉีดเข้ากล้าม และฉีดเข้าหลอดเลือดดำ โดยใช้ในการรักษาภาวะแทรกซ้อนจากการฟอกเลือดจากการขาดธาตุเหล็กภาวะแทรกซ้อน จากการผ่​าตัดในผู้ป่วยโรคไต ผู้ป่วยเอดส์ ผู้ที่มี fibrosis ที่ปอด กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน กล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือใช้ร่วมกับยา cisplatin เพื่อป้องกันพิษต่อสมอง เป็นต้น โดยยังไม่มีรายงานอาการข้างเคียงรุนแรง มีเพียง Cutaneous eruptions ในผู้ป่วยบางรายเท่านั้น9 นอกจากนี้การที่ผิวขาวขึ้นนั้นเป็นเพียงผลข้างเคียงของการรักษาเท่านั้น8 ไม่เคยมีข้อมูลทางการแพทย์ว่าการฉีดสารกลูตาไทโอนจะแก้ผิวดำได้อย่างถาวร หากนำสารกลูตาไทโอนมาฉีดเข้าร่างกาย โดยหวังผลให้ผิวขาวต้องใช้ยาในปริมาณที่สูงมากเพื่อให้ผิวเปลี่ยนเป็นสีขาว ได้ ซึ่งจะมีอันตรายทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย เพราะเซลล์สีถูกกดจากสารที่ฉีดก็จะสร้างเม็ดสีน้อยลง โดยเม็ดสีมีความจำเป็นในการป้องกันอันตรายจากแสงอัลตราไวโอเลต และเป็นองค์ประกอบสำคัญของจอตาในลูกตา การฉีดยาที่มีผลให้เม็ดสีลดลงส่งผลกระทบต่อจอตาและการรับแสงโดยตรง และเมื่อลดกระบวนการป้องกันอันตรายจากแสงอัตราไวโอเลต เซลล์ก็จะเสื่อมเร็วขึ้น ผิวขาวมากเกินไปจะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนัง ที่สำคัญคือการฉีดสารชนิดนี้เข้าเส้นเลือดดำโดยตรงในปริมาณมากถือเป็นเรื่อง อันตรายม​าก คนไข้อาจช็อกตายขณะฉีดได้ ซึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นมีรายงานเกี่ยวกับผู้แพ้ยาฉีด กลูตาไทโอนอย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ซึ่งอันตรายขนาดเสียชีวิตได้ทันที หากแพทย์ไม่มีอุปกรณ์กู้ชีพเตรียมพร้อมไว้8

    ลองศึกษากันดูก่อนนะ เผื่อมันจะมีทั้งผลดีผลเสีย

    ที่มา นศภ.ดิษยา วัฒนาไพศาล/รศ.ดร.วันทนา เหรียญมงคล
    จาก http://mornor.com/2009/forum/archiver/?tid-14189.html


    บทความนี้ จากที่อ่าน มีทัศนคติกลางๆ แบบให้ข้อมูลค่ะ ซึ่งข้อมูลที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ ที่ได้เพิ่มเตม มีดังนี้ค่ะ

    - อธิบายผลกระทบต่อกลไกการทำงานของร่างกายละเอียดขึ้น แต่ก็สนับสนุน บทความที่ผ่านมา

    - ได้ตัวเลขปริมาณการทานที่เหมาะสม ทั้งสำหรับผู้ที่ต้องการต้านอนุมูลอิสระ (500-100 มิลิกรัมต่อวัน) และ ผู้ที่ต้องการทานเพื่อให้ผิวขาว (20-40 ต่อ กิโลกรัม ต่อ วัน) ซึ่ง คำว่า "ต่อ กิลโลกรัม" นั้น ยังไม่ชัดเจน ว่าเป็นน้ำหนักของอะไร

    - กลูต้าไทโอนแบบฉีดนั้น ยังไม่ได้รับ อย. ยังไม่รู้ปริมาณสารที่ร่างกายรองรับไหวแน่ชัด จากการฉีดกลูตาไทโอน และผู้ที่ผลิตกลูตาไทโอนเอง ก็ไม่ได้นำเข้ามา ดังนั้น สินค้ากลูตาไทโอนแบบฉีดที่นำเข้ามา น่าจะเป็นของปลอม


    ถึงตรงนี้แล้ว เราเลือกตัด กลูต้าไทโอนแบบฉีดออกจากตัวเลือกการบริโภคแล้วค่ะ เพราะข้อมูลจากหลายบทความ (โดยเฉพาะบทความที่มีการลงชื่อผู้เขียนชัดเจน) ที่บ่งบอกว่า กลูต้าไทโอนแบบฉีด ยังอันตรายอยู่ สำหรับการบริโภคค่ะ

    ส่วนข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ เหลืออยู่อย่างเดียวแล้วค่ะ ว่า สำหรับการทาน เพื่อให้ผิวขาวนั้น จะต้องทานเท่าไร ต่อวันกันแน่


    หลังจากนั่งอ่านเว็บอยู่นาน จากคำค้นเดิม เราก็ยังไม่พบข้อมูลที่เกี๋ยวกับปริมาณที่แน่นอนค่ะ เราก็เลยเปลี่ยนคำค้นเป็น "glutathaione dose kilogram" เพื่อหาข้อมูลในภาษาอังกฤษ ที่เกี่ยวข้องกับปริมาณการทาน จนเจอ บทความนี้ค่ะ
    Last edited by s; 05-21-2012 at 10:48 AM.
    Thanks IAm ขอบคุณ ผู้โพสต์ข้อความนี้

Posting Permissions

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •