Previous
Next
Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก Downtown
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
กระทู้แนะนำล่าสุดจาก
Results 1 to 6 of 6

Thread: กลูต้าไทโอน อันตรายจริงหรือ ?? (อยากให้เข้ามาอ่านกันคะ บทความดีๆ ไม่อ่านแล้วจะเสียใจ+เสียดายไม่รู้ด้วยน๊า)

Threaded View

  1. #2
    s's Avatar
    s is offline Trusted Member
    Join Date
    Apr 2010
    Location
    มีหัวใจ
    Posts
    3,120
    Blog Entries
    4
    ผู้จัดการออนไลน์ 30 พฤศจิกายน 2550 15:06 น.
    ศ.ดร.นพ. ปิติ พลังวชิรา
    Ph.D. (Dermatology), วุฒิบัตรตจวิทยา (แพทยสภา),
    American board of Anti-Aging Medicine

    ศ.ดร.นพ. ปิติ พลังวชิรา ผู้อำนวยการศูนย์ผิวหนังมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ระบุสารกลูต้าไทโอนไม่ใช่สารพิษที่ประชาชนหลายคนเข้าใจตามกระแสข่าวที่เกิด ขึ้นในระย​ะนี้ ทั้งยังเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทำให้ร่างกายเกิดความสมดุล และยังเป็นตัวขจัดข้อเสียหรือสารพิษที่เข้าสู่ร่างกาย ฝากถึงนักวิจัยที่ทำงานด้านยาหรือการรักษา หากต้องการใช้ยาประเภทกลูต้าไทโอน ควรจะได้ทำการวิจัยให้จริงจัง
    ศ.นพ.ปิติ พลังวชิรา ผู้อำนวยการศูนย์ผิวหนังมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวถึงสารกลูตาไทโอน (glutathione) ว่า คนไทยจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกไม่ดีกับสารตัวนี้ คนจำนวนมากเข้าใจพิษคิดว่าสารตัวนี้เป็นสารพิษ ซึ่งในความเป็นจริงสารกลูตาไทโอนสารแอนติออกซิเดนซ์ หรือสารที่ต้านอนุมูลอิสระ ร่างกายมนุษย์จะได้รับสารชนิดนี้จากการบริโภคอาหารประเภทโปรตีน ไข่และนม รวมถึงผลไม้ประเภท อะโวคาโด และจะถูกเก็บไว้ที่ตับ
    ทั้งนี้ สารกลูตาไทโอนนี้ เป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายทำให้ร่างกายเกิดความสมดุล โดยเฉพาะเมื่อร่างกายต้องรับสารอนุมูลอิสระเข้าไป สารต้านอนุมูลอิสระก็จะช่วยปรับให้สภาพร่างกายเกิดความสมดุล และยังเป็นตัวขจัดข้อเสีย หรือสารพิษที่เข้าสู่ร่างกาย ตั้งแต่สารปรอท ยาฆ่าแมลง หรือยาบางชนิดที่เราต้องกินเข้าไป และเหลือตกค้าง ตับจะทำหน้าที่ขับสารพิษออกมาโดยสารกลูต้าไทโอนมีบทบาทสำคัญ
    ดังนั้น จึงอยากทำความเข้าใจว่า ยาที่มีส่วนส่วนประกอบของกลูตาไทโอนไม่ได้น่ากลัว ยาที่อยู่ในกลุ่มของยากินนั้นในต่างประเทศมีขายอยู่ตามร้านขายยาทั่วๆ ไป ในเมืองไทยสารกลูตาไทยโอนอยู่ในผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ แต่ยาที่อยู่ในรูปของการฉีด เพื่อรักษาฝ้านั้นในเมืองไทยยังไม่มีการวิจัย จึงอยากฝากถึงนักวิจัยที่ทำงานด้านยาหรือการรักษา หากต้องการใช้ยาประเภทกลูต้าไทยโอน ควรจะได้ทำการวิจัยให้จริงจัง
    “ระดับกลูตาไทโอนของคนที่ป่วยด้วยโรคบางชนิด เช่น โรคทางสมอง อย่างพากินซัน โรคหัวใจบางชนิดหรือบางคนกินยาแก้ปวดอย่างพาราเซตามอลบ่อยๆ ความเครียด หรือคนที่ได้รับสารพิษบ่อยๆ ระดับกลูต้าไทโอนจะลดลง การกินยาที่มีสารประเภทกลูต้าไทโอนจะถูกซึมเข้าสู่ร่างกายได้น้อยกว่าการฉีด ซึ่งทำให้ผู้ที่ใช้ยาประเภทนี้นิยมฉีดและที่สำคัญ ต้องฉีดเข้าเส้นเลือด ซึ่งต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ที่มีความรู้ความชำนาญ นอกจากฉีดเข้าเส้นแล้วยังสามารถฉีดเข้ากล้ามเนื้อ หรือใช้สูดดมได้อีกด้วยขึ้นอยู่กับโรคในแต่ละโรคว่าเหมาะกับการใช้ยาชนิดนี้ ด้วยวิธี​การไหน
    อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยากลูตาไทโอนที่ใช้ในการรักษาฝ้านั้น ยังถือว่าผิดกฎหมาย เพราะการนำเข้ายาประเภทนี้เข้ามายังไม่ได้ขึ้นทะเบียน อย.และหากจะใช้ยาชนิดนี้เพื่อรักษาฝ้าควรจะนำเข้ามาให้ถูกกฎหมายและขึ้น ทะเบียนยาให้ถูก​ต้องด้วย ถ้าต้องนำมาใช้ในการรักษาฝ้าควรจะมีการค้นคว้าวิจัย ซึ่งคนที่เป็นฝ้าจำนวนมากพอใจกับการรักษาด้วยยา กลูต้าไทโอน เนื่องจากกลูต้าไทโอนจะไปเปลี่ยนยูเมลานินซึ่งเป็นสีผิวที่คล้ำ ให้กลายเป็นฟีโอเมลานิน ซึ่งจะทำให้สีผิวจางหรือขาวขึ้น

    จาก http://www.jaideeclinic.com/index.php-la...274552.htm

    หลังจากที่เราะได้ ขอบเขตของข้อมูล ส่งผลต่อการตัดสินใจ เราเลยขอเลือกพิจารณาเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องนะคะ ที่เหลือตัดทิ้งก่อนค่ะ

    บทความนี้ มีทัศนคติ บวก กับสารอาหารกลูต้าไทโอนค่ะ ซึ่ง ข้อมูลที่ได้จากบทความนี้ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ มีดังนี้ค่ะ

    - กลูต้าไทโอน ช่วยร่างกายในการต้านอนุมูลอิสระ และช่วยตับในการขับสารพิษที่ตกค้างอยู่ในร่างกาย
    - กลูต้าไทโอน มีฟังชั่นในการเปลี่ยนชนิดของเมลานิน ซึ่งเปลี่ยนจากชนิดที่มีสีคล้ำ ให้เป็น ชนิดที่มีสีขาว
    - กลูต้าไทโอน แบบทานนั้น สามารถดูดซึมได้ น้อยกว่าการฉีด
    - กลูต้าไทโอน แบบฉีดนั้น ปัจจุบัน มีคนนำมารักษาฝ้าในเมืองไทย แต่งานวิจัยยังไม่พอ และ อย. เองก็ยังไม่ได้รับรอง การนำเข้าก็ยังผิดกฏหมาย
    Last edited by s; 05-21-2012 at 10:47 AM.
    Thanks IAm ขอบคุณ ผู้โพสต์ข้อความนี้

Posting Permissions

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •